ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 529 ผู้สร้างตะวันแห่งสวรรค์ไท่หวง

ตอนที่ 529 ผู้สร้างตะวันแห่งสวรรค์ไท่หวง

ร่างสองซีกของแม่ทัพมารฟ้าร่วงลงมาจากเวหาก่อนที่เขาจะได้หายใจเฮือกสุดท้ายเสียอีก เมื่อเขาร่วงลงมาเขาก็บิดกระตุกอีกสองสามที

เขาเป็นยอดฝีมือในขั้นชาวสวรรค์และมีหัวงอกเงยขึ้นมาทั้งสี่หัว ฉินมู่ได้ใช้เนตรหยกจันทราเพื่อเฉือนตัดเขาออกครึ่งหนึ่ง แต่ด้วยพลังชีวิตอันทรงพลังของเขา เขาก็ไม่ได้ตายไปในทันที

หัวทั้งสี่ของเขาจ้องไปที่ฉินมู่อย่างอาฆาตดุดัน แต่ไม่นานเขาก็หมดพลังงานและก็ตายจากไป

ในบริเวณโดยรอบ ผู้ฝึกวิชาเทวะมากมายแห่งสวรรค์ไท่หวงไม่อาจลบความตื่นตระหนกออกจากสีหน้า พวกเขาจ้องมองไปด้วยสายตาว่างเปล่าไปยังเด็กหนุ่มที่กำลังง่วงคำนวณเรื่องของตนเองอยู่ท่ามกลางสนามรบอันนองเลือด

แม่ทัพมารฟ้าอันดุร้ายน่ากลัวได้เป็นยอดฝีมือสูงล้ำแห่งขั้นชาวสวรรค์ ทั้งยังเป็นยอดฝีมือเยาว์ที่โด่งดังท่ามกลางเผ่ามาร กำลังฝีมือของเขาทั้งลึกล้ำและไร้ปรานี ดังนั้นหากว่าเขาได้ลงมือโจมตี ผู้คนนับร้อยก็คงตกตายบนแท่นสังเวยนี้ ทว่าเขาถูกหยุดยั้งไว้ได้

“นี่คือใคร” ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวงผู้หนึ่งถามด้วยเสียงเบา

ข้างๆ เขา บางคนกล่าว “เขาคือศิษย์ของมารเทวะฟู่ยื่อลัว และท่ามกลางยอดฝีมือมารแห่งขั้นชาวสวรรค์ เขาจัดอยู่ในอันดับที่เจ็ด เขามีชื่อเสียงว่าเป็นผู้ฝึกปรือฝีมือแกร่งที่จะเติบโตเป็นมารเที่ยงแท้ ศิษย์รักที่สุดของฟู่ยื่อลัว…”

“ไม่ ข้าหมายถึงเขา”

“ข้าไม่รู้เหมือนกัน…”

เด็กสาวเปียยาวดึงฉินมู่ให้ลุกขึ้นด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเพิ่งสังหารฟู่อวี่เซียว เจ้าหมอนี่มีตำแหน่งอันสูงส่งท่ามกลางเหล่ามารแห่งขั้นชาวสวรรค์ เจ้าได้ทำความชอบอันยิ่งใหญ่!”

ฉินมู่ปรายตามองศพนี้ด้วยความตื่นตระหนก “ตำแหน่งเขาสูงหรือ มิน่าล่ะเขาถึงแข็งแกร่งนัก หากว่าข้ามิได้เรียนกระบวนท่าหนึ่งจากนักบุญคนตัดไม้ ข้าก็คงไม่สามารถแม้แต่จะต้านรับกระบวนท่าเดียวจากเขาได้”

เขานั่งยองๆ ลงอีกครั้งและคำนวณต่อ

เด็กสาวเปียยาวมองไปที่เนตรหยกและถามอย่างสงสัย “เจ้าสังหารเขาอย่างไร ลูกตานี้…”

“มันถูกสร้างโดยเทพเจ้าในยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง พวกเขาก่อสร้างวงจรพยุหะบนดวงจันทร์เพื่อใช้พลังงานของมัน” ฉินมู่กล่าวก่อนที่จะมุ่งสมาธิกับการคำนวณของเขาอีกครั้ง “ฟู่อวี่เซียวมีสี่หัวซึ่งใช้ควบคุมร่างกายพร้อมๆ กัน นี่ทำให้เกิดความขัดแย้งกันของสำนึกรู้ แต่เมื่อเขาเผชิญหน้ากับบางอย่างหัวทั้งสี่ของเขาก็ไม่ควบคุมร่างกายแยกจากกัน”

“ปฏิกิริยาตอบโต้ของเขานั้นน่าจะเป็นความทรงจำกล้ามเนื้อ ข้าเพียงแต่ต้องคิดคำนวณมันตามทักษะเทวะและกระบวนท่าของเขา ว่ากล้ามเนื้อของเขาจะเคลื่อนที่อย่างไรเมื่อตกอยู่ในอันตราย หลังจากที่รู้เช่นนั้น ข้าก็กระตุ้นการทำงานของเนตรหยกจันทรานี้ เมื่อเขากระโดดขึ้นไปบนอากาศ เขาก็จะปะทะเข้ากับรังสีแสง และเอาตัวมาตายเอง”

เด็กสาวเปียยาวมองไปที่เขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง ความตื่นตระหนกฉายชัดบนใบหน้าของนาง เขาจะกระโจนเข้าไปใส่การโจมตีและเอาตัวมาตายเอง?

การคำนวณสามารถใช้เช่นนั้นได้ด้วยหรือ เขาคำนวณมันออกมาได้อย่างไร

“เจ้ามีผู้เชี่ยวชาญด้านพีชคณิตอยู่ที่นี่ไหม” ฉินมู่เปิดถุงเต๋าตี้ของเขา และอาวุธวิญญาณสำหรับการคำนวณก็บินกลับเข้าไปข้างใน เขาขมวดคิ้วและกล่าว “เพื่อสร้างสะพานโลก จำต้องอาศัยการคำนวณเป็นจำนวนมาก หากว่ามีเพียงข้าคนเดียวที่ทำ ข้าคะเนว่าคงต้องอาศัยเวลาครึ่งปีถึงจะคำนวณสมการสำหรับการแปรรูปและการเปลี่ยนผ่านของพลังงานเซ่นสังเวย ถึงตอนนั้นข้าจึงจะค่อยเริ่มสร้างตัวแบบพีชคณิตห้วงมิติสำหรับสะพานที่ทอดยาวข้ามระหว่างสองโลกได้”

รอบข้างเงียบกริบ

ผ่านไปสักพัก เด็กสาวเปียยาวก็ถามด้วยเสียงอันขมขื่น “เจ้าพูดว่าอะไรนะ สมการ?”

“สมการ สมการคณิตศาสตร์ใช้เพื่อค้นหาค่าของตัวแปร…ตัวแปร? พวกเจ้าไม่รู้หรือว่าตัวแปรคืออะไร ตัวแปรคือของที่เราไม่รู้ ในพีชคณิต มันคือค่าที่เราไม่รู้”

ฉินมู่เงยหน้าขึ้นและมองไปยังสีหน้าของผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์จักพรรดิไท่ ผู้คนเหล่านั้นมองมาที่เขาราวกับกำลังรับฟังคัมภีร์สวรรค์

เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสังหรณ์ไม่ดีและถามหยั่ง “พวกเจ้าไม่มีสิบตำราคำนวณที่นี่หรอกหรือ เก้านิพนธ์พื้นฐานที่สุดสำหรับการคำนวณล่ะ? ก็ไม่เคยเรียนพวกมันเหมือนกันหรือ เช่นนั้นพวกเจ้าได้เรียนตำราคำนวณสตรีพื้นเมืองหรือเปล่า อย่างน้อยพวกเจ้าก็น่าจะได้เรียนสมการวงโคจรหมู่ดาวใช่ไหม นี่คือการคำนวณที่แพร่หลายไปในด้านการคำนวณปราฏการณ์บนฟากฟ้านะ!”

ทุกคนในบริเวณรอบๆ ส่ายหัวด้วยความเหม่อลอย

เด็กสาวเปียยาวกล่าว “เรียนคำนวณไปมีประโยชน์อะไร”

คนอื่นๆ ก็ผงกหัวและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกเราต่อสู้บนสนามรบตลอดเวลา แล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปเรียนเรื่องพวกนั้น วิธีการที่รวดเร็วที่สุดในการเพิ่มพูนกำลังฝีมือคือฝึกฝน เรียนทักษะเทวะ และตรึกตรองทำความเข้าใจพวกมัน!”

ฉินมู่มองไปที่พวกเขาด้วยความขัดเคือง “พวกเจ้าไม่คำนวณปรากฏการณ์บนฟากฟ้ากันหรอกหรือ อย่างน้อยพวกเจ้าก็น่าจะได้คำนวณวงโคจรของดวงดาวทั้งหลายบนฟากฟ้าสิ ใช่ไหม”

สีหน้าของทุกคนแปลกประหลาด และฉินมู่ก็งุนงงกับเรื่องนี้ ทันใดนั้น ผู้ฝึกวิชาเทวะคนหนึ่งก็กล่าว “บนท้องฟ้าไม่มีดาวสักดวง ทำไมพวกเราจะต้องคำนวณด้วย”

ฉินมู่ตกตะลึงและเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า

ท้องฟ้าแห่งสวรรค์ไท่หวงนั้นเป็นสีดำสนิทโดยปราศจากดวงดาวใดๆ มีก็แต่ดวงตะวันสองครึ่ง

ฉินมู่มองเห็นสิ่งก่อสร้างใหญ่มหึมาบนพื้นผิวดวงตะวันนั้น แต่พวกมันไม่สมบูรณ์ ครึ่งหนึ่งของดวงตะวันถูกหลอมสร้างขึ้นมา แต่อีกครึ่งหนึ่งก่อขึ้นมาตามธรรมชาติ!

สิ่งที่ทำให้เขาไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร่ำไห้ดีก็คือว่า อีกครึ่งหนึ่งของดวงตะวันแม้จะเป็นทรงกลมก็ไม่เป็น!

เมื่อเขามาที่นี่ในครั้งก่อน เขามองไม่เห็นดวงตะวันก็เพราะว่ามาในเวลากลางคืน มีแต่ก็คราวนี้ที่เขาได้เห็นว่าดวงตะวันของสวรรค์ไท่หวงได้สร้างขึ้นมาจากสองซีกที่แยกจากกัน และไม่ว่าซีกไหนก็ไม่เป็นทรงกลม! ซีกหนึ่งนั้นดูค่อนข้างคล้ายลูกบาศก์ และอีกซีกก็ดูเป็นทรงรี และทั้งสองนั้นบิดเบี้ยวในพื้นที่เดียวกัน!

ฉินมู่คันไม้คันมือสุดๆ อยากจะบินขึ้นไปบนท้องฟ้าและทำลายดวงตะวันทั้งสองซีกนั้นเสีย!แม้ว่าปรากฏการณ์บนฟากฟ้าของสันตินิรันดร์จะเป็นของปลอม แต่พวกมันทั้งหมดคือกระบวนพยุหะ และเทพกับมารทั้งหลายที่ก่อสร้างพวกมันขึ้นมาเพื่อตบตาผู้คนก็จริงจังในการสร้างมันเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นดวงตะวันหรือดวงจันทร์ พวกมันก็กลมดิกไร้ที่ติ

แม้แต่ดวงดาว จักรราศี และดาราจักรบนท้องฟ้าก็ถูกสร้างขึ้นมาอย่างแจ่มชัด ซ่อนธรรมชาติปลอมของมันจากนักพรตทั้งหลายแห่งสำนักเต๋ามาได้ถึงสองหมื่นปี อันเป็นผลให้จิตเต๋าของเจ้าสำนักเต๋าหลินเสวียนพังทลายลงไปครู่หนึ่งหลังจากที่ได้รับรู้ความลับนี้

แต่ที่สวรรค์ไท่หวงนั้นยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ ดวงตะวันสองครึ่งของพวกเขาถูกสร้างขึ้นมาอย่างส่งๆ ขอไปที!

ด้วยจิตใจโล่งว่าง ฉินมู่สลัดหัว ผลกระทบจากภาพที่เขาเห็นนั้นรุนแรงเสียยิ่งกว่าครั้งแรกที่เขาได้เห็นเรือตะวัน แน่ล่ะการเห็นเรือตะวันทำให้เขาตกตะลึงจากงานฝีมือวิศวกรรมประสิทธิ์ ขณะที่อันนี้เป็นความตกตะลึงจากความชุ่ยของช่างฝีมือ!

“ไม่มีดาวเลยสักดวง นับว่าพวกเจ้าไม่จำเป็นต้องใช้สมการวงโคจรหมู่ดาวอย่างแท้จริง…”

ฉินมู่ผงกหัวหงึกๆ และเขาก็นึกถึงกิเลนมังกรขึ้นมา ผู้ฝึกวิชาเทวะในโลกใบนี้ไม่มีความสำเร็จสูงส่งเชิงพีชคณิต หากเพียงแต่ว่าข้าได้พามังกรอ้วนมาด้วย เรื่องก็คงจะง่ายกว่านี้…

ผู้ฝึกวิชาเทวะในโลกแห่งนี้ต่อสู้ทุกวี่วันก็เพราะการรุกรานของเผ่ามารอสูร หากว่าพวกเขาต้องการมีชีวิตอยู่ พวกเขาก็จะต้องเพิ่มพูนกำลังฝีมืออย่างไม่หยุดยั้ง วิธีที่ดีที่สุดก็คือการฝึกทักษะเทวะของพวกเขา เสริมสร้างความแข็งแกร่งของร่างกาย และหลอมสร้างอาวุธวิญญาณที่ดีกว่าเดิม

สำหรับพวกเขาพีชคณิตมิได้สลักสำคัญอะไร และมันยังเป็นสิ่งที่แห้งแล้งและชืดชาอีกด้วย มันไม่ได้ช่วยเพิ่มพูนกำลังฝีมือให้พวกเขาเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นเมื่อสืบผ่านมารุ่นต่อรุ่น ความสำเร็จของพวกเขาในเชิงพีชคณิตก็ยิ่งย่ำแย่ลงไปทุกที

ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวงขึ้นมาบนแท่นสังเวยมากขึ้นทุกที และมองลงไปข้างล่าง พวกเขาล้วนแต่นำธนูยาวออกและน้าวสายธนูเพื่อยิงไป แสงลูกศรพุ่งทะลวงผ่านสนามรบและสังหารมารอสูรมากมาย

และยังมีผู้ฝึกวิชาเทวะที่เงื้อไจกระบี่กับไจมีดขึ้นเพื่อโจมตีศัตรูจากระยะไกลเช่นกัน

ฉินมู่พลันนึกถึงบางสิ่งขึ้นมา และถามอย่างเร่งร้อน “แล้วพวกเจ้าหลอมสร้างแท่นสังเวยนี้ขึ้นมาได้อย่างไร”

เด็กสาวเปียยาวเองก็เชี่ยวชาญในวิชาธนูและกำลังน้าวสายธนูเพื่อยิงใส่ปรปักษ์ “แท่นสังเวยนี้มีมาอยู่ตั้งนานแล้ว ข้าได้ยินจากพ่อของข้าว่ามันถูกทิ้งไว้ในสวรรค์ไท่หวง เพื่อไว้เป็นไม้ตายสุดท้ายตอนที่พวกเราอาจจะสิ้นเผ่าพันธุ์ ในตอนนั้น พวกเราสามารถอัญเชิญเทพเจ้าครูบาศักดิ์สิทธิ์ผู้ซึ่งจะออกหน้ามาช่วยเหลือพวกเรา”

“บัดนี้สวรรค์ไท่หวงกำลังจะล่มสลาย ดังนั้นทวยเทพแห่งเมืองนวลอาภาจึงติดตั้งแท่นสังเวยนี้เอาไว้ที่ใจกลางสนามรบ ด้วยความตายของทุกๆ คนที่ต่อสู้กันที่นี่ พวกเขาก็จะเซ่นสังเวยเลือดและเนื้อมากเพียงพอ…”

สีหน้าของนางตกวูบ ผู้คนมากมายที่มาเซ่นสังเวยก็เป็นผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวง

“แท่นสังเวยที่ถูกทิ้งไว้เมื่อสองหมื่นปีก่อน” ฉินมู่มองไปยังนักบุญคนตัดไม้ผู้ซึ่งกำลังต่อสู้อยู่ไกลๆ ตรงนั้น การต่อสู้ยิ่งดุเดือดเลือดพล่าน นักบุญคนตัดไม้เข้าไปถล่มฐานทัพศัตรู!

“นักบุญคนตัดไม้น่าจะเป็นผู้ทิ้งแท่นสังเวยนี้เอาไว้ให้แก่สวรรค์ไท่หวง เพื่อใช้อัญเชิญเขามาเมื่อที่นี่มิอาจต้านทานการโจมตีได้อีกต่อไป ถ้าเช่นนั้น เป้าหมายของเขาก็น่าจะเป็นการยืดเวลาให้แก่สันตินิรันดร์…”

ฉินมู่ติดตั้งเนตรหยกจันทราและปรับทิศทางของมัน รังสีแสงพุ่งออกไปและสังหารยอดฝีมือหลายคนแห่งเผ่ามาร

ระยะโจมตีของเนตรหยกจันทรานั้นยิ่งไกลกว่าธนูเสียอีก และพลานุภาพของมันก็เหนือล้ำกว่าเช่นกัน เขาสังหารยอดฝีมือแห่งเผ่ามารได้อย่างง่ายดาย และฉินมู่ก็เล็งโจมตีมารระดับแม่ทัพเป็นส่วนใหญ่ เมื่อแม่ทัพเหล่านั้นตาย เหล่ามารก็จะสูญเสียผู้นำและขาดการบัญชาการ ทำให้พวกเขายากที่จะรุกคืบไปข้างหน้าต่อ

แม้กระนั้น ก็ยังคงมีมารฟ้ามากมายที่ไหลบ่ามาทางแท่นสังเวย ผู้คนไม่มีเวลาที่จะยิงแต่มารอันอยู่ไกลๆ และจำเป็นต้องยิงอะไรก็ได้อยู่ข้างใต้พวกเขา

ข้างใต้แท่นสังเวย ซากศพก่ายกองเป็นภูเขา แต่ฝูงมารคลาคล่ำเป็นคลื่นดำก็ยังคงซัดโถมมาใส่พวกเขา พวกมารเหล่านั้นเกือบจะบุกมาถึงยอดแท่นสังเวยแล้ว

ฉินมู่เก็บเนตรหยกจันทรากลับไปและคว้าไจกระบี่ของตนมาเพื่อป้องกันแท่นสังเวยเอาไว้ ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอย่างดุเดือดบนยอดแท่นสังเวย

ฝูงมารฟ้านั้นห้าวหาญอย่างอัศจรรย์ ทหารของพวกเขาไม่เกรงกลัวความตาย และหากว่ามิใช่เพราะกำลังฝีมืออันเลิศล้ำเหนือธรรมดาของผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวง ก็คงยากที่จะต่อต้านการโจมตีของฝูงมาร

ข้างๆ ฉินมู่และเด็กสาวเปียยาว ผู้ฝึกวิชาเทวะล้มตายไปทีละคนสองคน แม้แต่สถานการณ์ของฉินมู่และเด็กสาวเปียยาวก็ย่ำแย่ พวกเขาเฉียดตายไปตั้งหลายหนจากการโจมตีของศัตรู

พวกเดียวกันกับเขาเหลือน้อยลงทุกทีบนแท่นสังเวย และไม่นานนักก็เหลือเพียงยี่สิบสามคน ทันใดนั้น เสียงตะโกนเลื่อนลั่นสะท้านโลกก็ดังมาจากที่ไกลๆ และมารทั้งหลายที่บุกฮือกันมายังแท่นสังเวยได้ยินข่าวสารที่ส่งมา พวกเขาก็รีบล่าถอยอย่างรวดเร็ว

ราวกับว่ายกภูเขาออกจากบ่าของทุกๆ คนบนแท่นสังเวย พวกเขาสูดลมหายใจและทรุดลงไปนั่งกับพื้น ทุกคนล้วนแต่ตัวโชกไปด้วยเลือด

ข้างหลังพวกเขา เสียงเพรียกอันกังวานไกลของแตรเขาสัตว์ดังมา กองทัพนับหมื่นพุ่งออกมาจากเมืองนวลอาภาเพื่อไล่ล่ากองทัพมารอันหลบหนี

เด็กสาวเปียยาวดิ้นรนลุกขึ้น หมายจะไล่ล่าตามมารแตกทัพไปเช่นกัน แต่ขาของนางอ่อนปวกเปียก และก็ได้แต่นั่งลงไปอีกครั้ง

ฉินมู่มองไปที่กองทัพแห่งเมืองนวลอาภาที่กำลังพุ่งไปในทิศไกลๆ เมื่อเขาทำเช่นนั้น ก็พลันนึกขึ้นมาได้ “พวกเราผ่านความเป็นความตายมาด้วยกันถึงสองครั้งสองหน แต่ข้าก็ยังไม่รู้ชื่อเจ้าเลย ข้าชื่อฉินมู่ แล้วเจ้าล่ะ?”

เด็กสาวเปียยาวนอนแผ่อยู่ในกองเลือด พลางมองไปที่ครึ่งตะวันที่บิดเบี้ยวครึ่งหนึ่ง นางผ่อนลมหายใจและกล่าว “ชื่อของข้าคือซังฮั่ว ในวันนั้น ข้าพูดกับเจ้าตั้งหลายอย่าง แต่เจ้าไม่ได้ยินอะไรเลย ข้าโชคดีที่มีเจ้าอยู่ข้างๆ และเพราะอย่างนั้นข้าจึงอดทนกัดฟันสู้ศึกมาได้ มิเช่นนั้นข้าคงยืนหยัดได้มานานขนาดนั้นหรอก ลองเดาดู!” นางหันกลับมาด้วยลักยิ้มสองข้างบนแก้ม “ลองเดาดูสิ ว่าข้าพูดกับเจ้าว่าอะไร”

ฉินมู่ส่ายหัว “ระหว่างเรามีโลกสองโลกคั่นกลาง ข้าไม่อาจได้ยินอะไรเลย”

ซังฮั่วมองไปที่ท้องฟ้า “ดูสิ ดวงตะวันใหญ่ขนาดนี้ สวรรค์จักพรรดิไท่ของเราไม่มีดวงตะวัน แต่สองดวงนั้นถูกพวกเราสร้างขึ้นมาด้วยความช่วยเหลือของเทพตนหนึ่ง พวกเราเรียกเขาว่า ผู้สร้างตะวัน แต่ไม่ทันที่เขาจะสร้างมันเสร็จสิ้น เทพสร้างตะวันก็ถูกพวกมารเทวะสังหาร…ดวงตะวันพวกนี้ยิ่งใหญ่อลังการ ใช่ไหม”

“เอ้อ ยิ่งใหญ่อลังการ…” ฉินมู่พูดเออออขัดกับมโนสำนึกของเขา ก่อนที่จะคันในหัวใจอยากรู้ขึ้นมา “งั้นเจ้าพูดอะไรกับข้าล่ะในคืนนั้น”

………….

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท