ร่างสองซีกของแม่ทัพมารฟ้าร่วงลงมาจากเวหาก่อนที่เขาจะได้หายใจเฮือกสุดท้ายเสียอีก เมื่อเขาร่วงลงมาเขาก็บิดกระตุกอีกสองสามที
เขาเป็นยอดฝีมือในขั้นชาวสวรรค์และมีหัวงอกเงยขึ้นมาทั้งสี่หัว ฉินมู่ได้ใช้เนตรหยกจันทราเพื่อเฉือนตัดเขาออกครึ่งหนึ่ง แต่ด้วยพลังชีวิตอันทรงพลังของเขา เขาก็ไม่ได้ตายไปในทันที
หัวทั้งสี่ของเขาจ้องไปที่ฉินมู่อย่างอาฆาตดุดัน แต่ไม่นานเขาก็หมดพลังงานและก็ตายจากไป
ในบริเวณโดยรอบ ผู้ฝึกวิชาเทวะมากมายแห่งสวรรค์ไท่หวงไม่อาจลบความตื่นตระหนกออกจากสีหน้า พวกเขาจ้องมองไปด้วยสายตาว่างเปล่าไปยังเด็กหนุ่มที่กำลังง่วงคำนวณเรื่องของตนเองอยู่ท่ามกลางสนามรบอันนองเลือด
แม่ทัพมารฟ้าอันดุร้ายน่ากลัวได้เป็นยอดฝีมือสูงล้ำแห่งขั้นชาวสวรรค์ ทั้งยังเป็นยอดฝีมือเยาว์ที่โด่งดังท่ามกลางเผ่ามาร กำลังฝีมือของเขาทั้งลึกล้ำและไร้ปรานี ดังนั้นหากว่าเขาได้ลงมือโจมตี ผู้คนนับร้อยก็คงตกตายบนแท่นสังเวยนี้ ทว่าเขาถูกหยุดยั้งไว้ได้
“นี่คือใคร” ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวงผู้หนึ่งถามด้วยเสียงเบา
ข้างๆ เขา บางคนกล่าว “เขาคือศิษย์ของมารเทวะฟู่ยื่อลัว และท่ามกลางยอดฝีมือมารแห่งขั้นชาวสวรรค์ เขาจัดอยู่ในอันดับที่เจ็ด เขามีชื่อเสียงว่าเป็นผู้ฝึกปรือฝีมือแกร่งที่จะเติบโตเป็นมารเที่ยงแท้ ศิษย์รักที่สุดของฟู่ยื่อลัว…”
“ไม่ ข้าหมายถึงเขา”
“ข้าไม่รู้เหมือนกัน…”
…
เด็กสาวเปียยาวดึงฉินมู่ให้ลุกขึ้นด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเพิ่งสังหารฟู่อวี่เซียว เจ้าหมอนี่มีตำแหน่งอันสูงส่งท่ามกลางเหล่ามารแห่งขั้นชาวสวรรค์ เจ้าได้ทำความชอบอันยิ่งใหญ่!”
ฉินมู่ปรายตามองศพนี้ด้วยความตื่นตระหนก “ตำแหน่งเขาสูงหรือ มิน่าล่ะเขาถึงแข็งแกร่งนัก หากว่าข้ามิได้เรียนกระบวนท่าหนึ่งจากนักบุญคนตัดไม้ ข้าก็คงไม่สามารถแม้แต่จะต้านรับกระบวนท่าเดียวจากเขาได้”
เขานั่งยองๆ ลงอีกครั้งและคำนวณต่อ
เด็กสาวเปียยาวมองไปที่เนตรหยกและถามอย่างสงสัย “เจ้าสังหารเขาอย่างไร ลูกตานี้…”
“มันถูกสร้างโดยเทพเจ้าในยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง พวกเขาก่อสร้างวงจรพยุหะบนดวงจันทร์เพื่อใช้พลังงานของมัน” ฉินมู่กล่าวก่อนที่จะมุ่งสมาธิกับการคำนวณของเขาอีกครั้ง “ฟู่อวี่เซียวมีสี่หัวซึ่งใช้ควบคุมร่างกายพร้อมๆ กัน นี่ทำให้เกิดความขัดแย้งกันของสำนึกรู้ แต่เมื่อเขาเผชิญหน้ากับบางอย่างหัวทั้งสี่ของเขาก็ไม่ควบคุมร่างกายแยกจากกัน”
“ปฏิกิริยาตอบโต้ของเขานั้นน่าจะเป็นความทรงจำกล้ามเนื้อ ข้าเพียงแต่ต้องคิดคำนวณมันตามทักษะเทวะและกระบวนท่าของเขา ว่ากล้ามเนื้อของเขาจะเคลื่อนที่อย่างไรเมื่อตกอยู่ในอันตราย หลังจากที่รู้เช่นนั้น ข้าก็กระตุ้นการทำงานของเนตรหยกจันทรานี้ เมื่อเขากระโดดขึ้นไปบนอากาศ เขาก็จะปะทะเข้ากับรังสีแสง และเอาตัวมาตายเอง”
เด็กสาวเปียยาวมองไปที่เขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง ความตื่นตระหนกฉายชัดบนใบหน้าของนาง เขาจะกระโจนเข้าไปใส่การโจมตีและเอาตัวมาตายเอง?
การคำนวณสามารถใช้เช่นนั้นได้ด้วยหรือ เขาคำนวณมันออกมาได้อย่างไร
“เจ้ามีผู้เชี่ยวชาญด้านพีชคณิตอยู่ที่นี่ไหม” ฉินมู่เปิดถุงเต๋าตี้ของเขา และอาวุธวิญญาณสำหรับการคำนวณก็บินกลับเข้าไปข้างใน เขาขมวดคิ้วและกล่าว “เพื่อสร้างสะพานโลก จำต้องอาศัยการคำนวณเป็นจำนวนมาก หากว่ามีเพียงข้าคนเดียวที่ทำ ข้าคะเนว่าคงต้องอาศัยเวลาครึ่งปีถึงจะคำนวณสมการสำหรับการแปรรูปและการเปลี่ยนผ่านของพลังงานเซ่นสังเวย ถึงตอนนั้นข้าจึงจะค่อยเริ่มสร้างตัวแบบพีชคณิตห้วงมิติสำหรับสะพานที่ทอดยาวข้ามระหว่างสองโลกได้”
รอบข้างเงียบกริบ
ผ่านไปสักพัก เด็กสาวเปียยาวก็ถามด้วยเสียงอันขมขื่น “เจ้าพูดว่าอะไรนะ สมการ?”
“สมการ สมการคณิตศาสตร์ใช้เพื่อค้นหาค่าของตัวแปร…ตัวแปร? พวกเจ้าไม่รู้หรือว่าตัวแปรคืออะไร ตัวแปรคือของที่เราไม่รู้ ในพีชคณิต มันคือค่าที่เราไม่รู้”
ฉินมู่เงยหน้าขึ้นและมองไปยังสีหน้าของผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์จักพรรดิไท่ ผู้คนเหล่านั้นมองมาที่เขาราวกับกำลังรับฟังคัมภีร์สวรรค์
เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสังหรณ์ไม่ดีและถามหยั่ง “พวกเจ้าไม่มีสิบตำราคำนวณที่นี่หรอกหรือ เก้านิพนธ์พื้นฐานที่สุดสำหรับการคำนวณล่ะ? ก็ไม่เคยเรียนพวกมันเหมือนกันหรือ เช่นนั้นพวกเจ้าได้เรียนตำราคำนวณสตรีพื้นเมืองหรือเปล่า อย่างน้อยพวกเจ้าก็น่าจะได้เรียนสมการวงโคจรหมู่ดาวใช่ไหม นี่คือการคำนวณที่แพร่หลายไปในด้านการคำนวณปราฏการณ์บนฟากฟ้านะ!”
ทุกคนในบริเวณรอบๆ ส่ายหัวด้วยความเหม่อลอย
เด็กสาวเปียยาวกล่าว “เรียนคำนวณไปมีประโยชน์อะไร”
คนอื่นๆ ก็ผงกหัวและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกเราต่อสู้บนสนามรบตลอดเวลา แล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปเรียนเรื่องพวกนั้น วิธีการที่รวดเร็วที่สุดในการเพิ่มพูนกำลังฝีมือคือฝึกฝน เรียนทักษะเทวะ และตรึกตรองทำความเข้าใจพวกมัน!”
ฉินมู่มองไปที่พวกเขาด้วยความขัดเคือง “พวกเจ้าไม่คำนวณปรากฏการณ์บนฟากฟ้ากันหรอกหรือ อย่างน้อยพวกเจ้าก็น่าจะได้คำนวณวงโคจรของดวงดาวทั้งหลายบนฟากฟ้าสิ ใช่ไหม”
สีหน้าของทุกคนแปลกประหลาด และฉินมู่ก็งุนงงกับเรื่องนี้ ทันใดนั้น ผู้ฝึกวิชาเทวะคนหนึ่งก็กล่าว “บนท้องฟ้าไม่มีดาวสักดวง ทำไมพวกเราจะต้องคำนวณด้วย”
ฉินมู่ตกตะลึงและเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า
ท้องฟ้าแห่งสวรรค์ไท่หวงนั้นเป็นสีดำสนิทโดยปราศจากดวงดาวใดๆ มีก็แต่ดวงตะวันสองครึ่ง
ฉินมู่มองเห็นสิ่งก่อสร้างใหญ่มหึมาบนพื้นผิวดวงตะวันนั้น แต่พวกมันไม่สมบูรณ์ ครึ่งหนึ่งของดวงตะวันถูกหลอมสร้างขึ้นมา แต่อีกครึ่งหนึ่งก่อขึ้นมาตามธรรมชาติ!
สิ่งที่ทำให้เขาไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร่ำไห้ดีก็คือว่า อีกครึ่งหนึ่งของดวงตะวันแม้จะเป็นทรงกลมก็ไม่เป็น!
เมื่อเขามาที่นี่ในครั้งก่อน เขามองไม่เห็นดวงตะวันก็เพราะว่ามาในเวลากลางคืน มีแต่ก็คราวนี้ที่เขาได้เห็นว่าดวงตะวันของสวรรค์ไท่หวงได้สร้างขึ้นมาจากสองซีกที่แยกจากกัน และไม่ว่าซีกไหนก็ไม่เป็นทรงกลม! ซีกหนึ่งนั้นดูค่อนข้างคล้ายลูกบาศก์ และอีกซีกก็ดูเป็นทรงรี และทั้งสองนั้นบิดเบี้ยวในพื้นที่เดียวกัน!
ฉินมู่คันไม้คันมือสุดๆ อยากจะบินขึ้นไปบนท้องฟ้าและทำลายดวงตะวันทั้งสองซีกนั้นเสีย!แม้ว่าปรากฏการณ์บนฟากฟ้าของสันตินิรันดร์จะเป็นของปลอม แต่พวกมันทั้งหมดคือกระบวนพยุหะ และเทพกับมารทั้งหลายที่ก่อสร้างพวกมันขึ้นมาเพื่อตบตาผู้คนก็จริงจังในการสร้างมันเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นดวงตะวันหรือดวงจันทร์ พวกมันก็กลมดิกไร้ที่ติ
แม้แต่ดวงดาว จักรราศี และดาราจักรบนท้องฟ้าก็ถูกสร้างขึ้นมาอย่างแจ่มชัด ซ่อนธรรมชาติปลอมของมันจากนักพรตทั้งหลายแห่งสำนักเต๋ามาได้ถึงสองหมื่นปี อันเป็นผลให้จิตเต๋าของเจ้าสำนักเต๋าหลินเสวียนพังทลายลงไปครู่หนึ่งหลังจากที่ได้รับรู้ความลับนี้
แต่ที่สวรรค์ไท่หวงนั้นยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ ดวงตะวันสองครึ่งของพวกเขาถูกสร้างขึ้นมาอย่างส่งๆ ขอไปที!
ด้วยจิตใจโล่งว่าง ฉินมู่สลัดหัว ผลกระทบจากภาพที่เขาเห็นนั้นรุนแรงเสียยิ่งกว่าครั้งแรกที่เขาได้เห็นเรือตะวัน แน่ล่ะการเห็นเรือตะวันทำให้เขาตกตะลึงจากงานฝีมือวิศวกรรมประสิทธิ์ ขณะที่อันนี้เป็นความตกตะลึงจากความชุ่ยของช่างฝีมือ!
“ไม่มีดาวเลยสักดวง นับว่าพวกเจ้าไม่จำเป็นต้องใช้สมการวงโคจรหมู่ดาวอย่างแท้จริง…”
ฉินมู่ผงกหัวหงึกๆ และเขาก็นึกถึงกิเลนมังกรขึ้นมา ผู้ฝึกวิชาเทวะในโลกใบนี้ไม่มีความสำเร็จสูงส่งเชิงพีชคณิต หากเพียงแต่ว่าข้าได้พามังกรอ้วนมาด้วย เรื่องก็คงจะง่ายกว่านี้…
ผู้ฝึกวิชาเทวะในโลกแห่งนี้ต่อสู้ทุกวี่วันก็เพราะการรุกรานของเผ่ามารอสูร หากว่าพวกเขาต้องการมีชีวิตอยู่ พวกเขาก็จะต้องเพิ่มพูนกำลังฝีมืออย่างไม่หยุดยั้ง วิธีที่ดีที่สุดก็คือการฝึกทักษะเทวะของพวกเขา เสริมสร้างความแข็งแกร่งของร่างกาย และหลอมสร้างอาวุธวิญญาณที่ดีกว่าเดิม
สำหรับพวกเขาพีชคณิตมิได้สลักสำคัญอะไร และมันยังเป็นสิ่งที่แห้งแล้งและชืดชาอีกด้วย มันไม่ได้ช่วยเพิ่มพูนกำลังฝีมือให้พวกเขาเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นเมื่อสืบผ่านมารุ่นต่อรุ่น ความสำเร็จของพวกเขาในเชิงพีชคณิตก็ยิ่งย่ำแย่ลงไปทุกที
ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวงขึ้นมาบนแท่นสังเวยมากขึ้นทุกที และมองลงไปข้างล่าง พวกเขาล้วนแต่นำธนูยาวออกและน้าวสายธนูเพื่อยิงไป แสงลูกศรพุ่งทะลวงผ่านสนามรบและสังหารมารอสูรมากมาย
และยังมีผู้ฝึกวิชาเทวะที่เงื้อไจกระบี่กับไจมีดขึ้นเพื่อโจมตีศัตรูจากระยะไกลเช่นกัน
ฉินมู่พลันนึกถึงบางสิ่งขึ้นมา และถามอย่างเร่งร้อน “แล้วพวกเจ้าหลอมสร้างแท่นสังเวยนี้ขึ้นมาได้อย่างไร”
เด็กสาวเปียยาวเองก็เชี่ยวชาญในวิชาธนูและกำลังน้าวสายธนูเพื่อยิงใส่ปรปักษ์ “แท่นสังเวยนี้มีมาอยู่ตั้งนานแล้ว ข้าได้ยินจากพ่อของข้าว่ามันถูกทิ้งไว้ในสวรรค์ไท่หวง เพื่อไว้เป็นไม้ตายสุดท้ายตอนที่พวกเราอาจจะสิ้นเผ่าพันธุ์ ในตอนนั้น พวกเราสามารถอัญเชิญเทพเจ้าครูบาศักดิ์สิทธิ์ผู้ซึ่งจะออกหน้ามาช่วยเหลือพวกเรา”
“บัดนี้สวรรค์ไท่หวงกำลังจะล่มสลาย ดังนั้นทวยเทพแห่งเมืองนวลอาภาจึงติดตั้งแท่นสังเวยนี้เอาไว้ที่ใจกลางสนามรบ ด้วยความตายของทุกๆ คนที่ต่อสู้กันที่นี่ พวกเขาก็จะเซ่นสังเวยเลือดและเนื้อมากเพียงพอ…”
สีหน้าของนางตกวูบ ผู้คนมากมายที่มาเซ่นสังเวยก็เป็นผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวง
“แท่นสังเวยที่ถูกทิ้งไว้เมื่อสองหมื่นปีก่อน” ฉินมู่มองไปยังนักบุญคนตัดไม้ผู้ซึ่งกำลังต่อสู้อยู่ไกลๆ ตรงนั้น การต่อสู้ยิ่งดุเดือดเลือดพล่าน นักบุญคนตัดไม้เข้าไปถล่มฐานทัพศัตรู!
“นักบุญคนตัดไม้น่าจะเป็นผู้ทิ้งแท่นสังเวยนี้เอาไว้ให้แก่สวรรค์ไท่หวง เพื่อใช้อัญเชิญเขามาเมื่อที่นี่มิอาจต้านทานการโจมตีได้อีกต่อไป ถ้าเช่นนั้น เป้าหมายของเขาก็น่าจะเป็นการยืดเวลาให้แก่สันตินิรันดร์…”
ฉินมู่ติดตั้งเนตรหยกจันทราและปรับทิศทางของมัน รังสีแสงพุ่งออกไปและสังหารยอดฝีมือหลายคนแห่งเผ่ามาร
ระยะโจมตีของเนตรหยกจันทรานั้นยิ่งไกลกว่าธนูเสียอีก และพลานุภาพของมันก็เหนือล้ำกว่าเช่นกัน เขาสังหารยอดฝีมือแห่งเผ่ามารได้อย่างง่ายดาย และฉินมู่ก็เล็งโจมตีมารระดับแม่ทัพเป็นส่วนใหญ่ เมื่อแม่ทัพเหล่านั้นตาย เหล่ามารก็จะสูญเสียผู้นำและขาดการบัญชาการ ทำให้พวกเขายากที่จะรุกคืบไปข้างหน้าต่อ
แม้กระนั้น ก็ยังคงมีมารฟ้ามากมายที่ไหลบ่ามาทางแท่นสังเวย ผู้คนไม่มีเวลาที่จะยิงแต่มารอันอยู่ไกลๆ และจำเป็นต้องยิงอะไรก็ได้อยู่ข้างใต้พวกเขา
ข้างใต้แท่นสังเวย ซากศพก่ายกองเป็นภูเขา แต่ฝูงมารคลาคล่ำเป็นคลื่นดำก็ยังคงซัดโถมมาใส่พวกเขา พวกมารเหล่านั้นเกือบจะบุกมาถึงยอดแท่นสังเวยแล้ว
ฉินมู่เก็บเนตรหยกจันทรากลับไปและคว้าไจกระบี่ของตนมาเพื่อป้องกันแท่นสังเวยเอาไว้ ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอย่างดุเดือดบนยอดแท่นสังเวย
ฝูงมารฟ้านั้นห้าวหาญอย่างอัศจรรย์ ทหารของพวกเขาไม่เกรงกลัวความตาย และหากว่ามิใช่เพราะกำลังฝีมืออันเลิศล้ำเหนือธรรมดาของผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวง ก็คงยากที่จะต่อต้านการโจมตีของฝูงมาร
ข้างๆ ฉินมู่และเด็กสาวเปียยาว ผู้ฝึกวิชาเทวะล้มตายไปทีละคนสองคน แม้แต่สถานการณ์ของฉินมู่และเด็กสาวเปียยาวก็ย่ำแย่ พวกเขาเฉียดตายไปตั้งหลายหนจากการโจมตีของศัตรู
พวกเดียวกันกับเขาเหลือน้อยลงทุกทีบนแท่นสังเวย และไม่นานนักก็เหลือเพียงยี่สิบสามคน ทันใดนั้น เสียงตะโกนเลื่อนลั่นสะท้านโลกก็ดังมาจากที่ไกลๆ และมารทั้งหลายที่บุกฮือกันมายังแท่นสังเวยได้ยินข่าวสารที่ส่งมา พวกเขาก็รีบล่าถอยอย่างรวดเร็ว
ราวกับว่ายกภูเขาออกจากบ่าของทุกๆ คนบนแท่นสังเวย พวกเขาสูดลมหายใจและทรุดลงไปนั่งกับพื้น ทุกคนล้วนแต่ตัวโชกไปด้วยเลือด
ข้างหลังพวกเขา เสียงเพรียกอันกังวานไกลของแตรเขาสัตว์ดังมา กองทัพนับหมื่นพุ่งออกมาจากเมืองนวลอาภาเพื่อไล่ล่ากองทัพมารอันหลบหนี
เด็กสาวเปียยาวดิ้นรนลุกขึ้น หมายจะไล่ล่าตามมารแตกทัพไปเช่นกัน แต่ขาของนางอ่อนปวกเปียก และก็ได้แต่นั่งลงไปอีกครั้ง
ฉินมู่มองไปที่กองทัพแห่งเมืองนวลอาภาที่กำลังพุ่งไปในทิศไกลๆ เมื่อเขาทำเช่นนั้น ก็พลันนึกขึ้นมาได้ “พวกเราผ่านความเป็นความตายมาด้วยกันถึงสองครั้งสองหน แต่ข้าก็ยังไม่รู้ชื่อเจ้าเลย ข้าชื่อฉินมู่ แล้วเจ้าล่ะ?”
เด็กสาวเปียยาวนอนแผ่อยู่ในกองเลือด พลางมองไปที่ครึ่งตะวันที่บิดเบี้ยวครึ่งหนึ่ง นางผ่อนลมหายใจและกล่าว “ชื่อของข้าคือซังฮั่ว ในวันนั้น ข้าพูดกับเจ้าตั้งหลายอย่าง แต่เจ้าไม่ได้ยินอะไรเลย ข้าโชคดีที่มีเจ้าอยู่ข้างๆ และเพราะอย่างนั้นข้าจึงอดทนกัดฟันสู้ศึกมาได้ มิเช่นนั้นข้าคงยืนหยัดได้มานานขนาดนั้นหรอก ลองเดาดู!” นางหันกลับมาด้วยลักยิ้มสองข้างบนแก้ม “ลองเดาดูสิ ว่าข้าพูดกับเจ้าว่าอะไร”
ฉินมู่ส่ายหัว “ระหว่างเรามีโลกสองโลกคั่นกลาง ข้าไม่อาจได้ยินอะไรเลย”
ซังฮั่วมองไปที่ท้องฟ้า “ดูสิ ดวงตะวันใหญ่ขนาดนี้ สวรรค์จักพรรดิไท่ของเราไม่มีดวงตะวัน แต่สองดวงนั้นถูกพวกเราสร้างขึ้นมาด้วยความช่วยเหลือของเทพตนหนึ่ง พวกเราเรียกเขาว่า ผู้สร้างตะวัน แต่ไม่ทันที่เขาจะสร้างมันเสร็จสิ้น เทพสร้างตะวันก็ถูกพวกมารเทวะสังหาร…ดวงตะวันพวกนี้ยิ่งใหญ่อลังการ ใช่ไหม”
“เอ้อ ยิ่งใหญ่อลังการ…” ฉินมู่พูดเออออขัดกับมโนสำนึกของเขา ก่อนที่จะคันในหัวใจอยากรู้ขึ้นมา “งั้นเจ้าพูดอะไรกับข้าล่ะในคืนนั้น”
………….