ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 543 สะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณ

ตอนที่ 543 สะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณ

บนแท่นสังเวยเหล่านั้น รูปสลักหินกำลังฟื้นคืนชีพมาด้วยความเร็วอันคงที่ วงจรพยุหะหมุนวนในดวงตาของฉินมู่ และเขาเพ่งสายตาไปด้วยความสงสัยอยู่เล็กน้อย

เทวรูปเหล่านั้นล้วนแต่มีลักษณะพิเศษเฉพาะ หนึ่งนั้นเป็นเทพเจ้าหลังเต่า และอีกหนึ่งเป็นเทพเจ้าหางเสือดาว บ้างก็เป็นเทพหัวนก และบ้านก็เป็นเทพหัวมังกร กับอย่างอื่นๆ อีกมากมาย มีแท่นสังเวยทั้งหมดยี่สิบสี่แท่น และมีร่างเทวาที่แตกต่างกันทั้งหมดยี่สิบสี่ร่าง

แต่ทว่า ฉินมู่รู้สึกเหมือนกับเคยเห็นเทพเจ้าพวกนี้ที่ไหนมาก่อน

รูปสลักหินในแดนโบราณวินาศ! เขาระลึกได้ในที่สุด รูปสลักที่เขารู้สึกคุ้นตาเหล่านี้มาจากแดนโบราณวินาศ!

นี่หมายความว่า พวกมันทั้งหมดก็น่าจะมาจากที่นั่น!

รูปสลักหินกำลังจะกลายเป็นเทพเจ้า และมันหมายความว่ารูปสลักหินทั้งหมดในแดนโบราณวินาศอาจจะสามารถฟื้นคืนชีพมาได้ พวกเขาสามารถกลับมาเป็นเทพเจ้าตัวเป็นๆ อันยืนยันข้อสันนิษฐานก่อนหน้าของเขา!

รูปสลักหินยี่สิบสี่รูปเข้ามาในสวรรค์ไท่หวง ดังนั้นมันก็จะมีเทพเจ้ายี่สิบสี่ตนที่มาช่วยเสริมกำลังให้แก่พวกเขา เทพเหล่านั้นน่าจะเป็นสหายของนักบุญคนตัดไม้ และกำลังฝีมือพวกเขาจะต้องไม่ธรรมดา

กระนั้นนักบุญคนตัดไม้ก็ยังกล่าวว่าพวกเขามิอาจป้องกันการรุกรานของเผ่ามารได้ ทำได้เพียงถ่วงเวลาไปสักระยะเท่านั้น

เช่นนั้นเผ่ามารนี่มีที่มาที่ไปอย่างไรกันแน่

ทำไมพวกเขาถึงมีกำลังความสามารถอันน่าสะพรึงกลัวขนาดนี้

เมื่อเขาเอ่ยคำถามพวกนี้ออกไป นักบุญคนตัดไม้ก็มองไปที่รูปสลักหินทั้งหลาย และนิ่งขรึมไปพักหนึ่ง

 ที่มาที่ไปของเผ่ามารพวกนี้ลึกลับเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ข้าเองก็ไม่กระจ่างชัด แต่ทว่า มีคำร่ำลือกันว่าพวกมันมาจากแดนใต้พิภพ เป็นสิ่งมีชีวิตของที่นั่น กล่าวกันว่าพวกมันแยกตัวมันเองออกมา แต่ข้าไม่รู้ว่าเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่ เผ่ามารมีโลกมิติในครอบครองหลายโลกมิติ และกำลังฝีมือของพวกเขาก็ล้วนแต่แข็งแกร่ง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาว่าสวรรค์ไท่หวงไม่สามารถป้องกันพวกมันได้ 

ฉินมู่หัวใจสะท้านเล็กน้อย  ถ้าอย่างนั้นมีความสัมพันธ์อะไรระหว่างมารพวกนี้กับสภาสวรรค์เที่ยงแท้ที่ว่าๆ กัน อันได้ทำลายกวาดล้างยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง เจ๋อหัวหลีมาจากสถานที่นั้น และอาจารย์ของเขาลั่วอู๋ชวงก็เป็นถึงผู้นำของทัพหลิงซิ่วแห่งสภาสวรรค์ เขาได้ส่งศิษย์ของตนลงมาฝึกฝนท่ามกลางเผ่ามาร ดังนั้นเห็นได้ชัดว่าสองอิทธิพลอำนาจนี้มีความเกี่ยวข้องกัน 

 พวกเขาเกี่ยวข้องกัน และมิใช่ในฐานะนายเหนือหัวและผู้อยู่ใต้บัญชา  นักบุญคนตัดไม้รู้เรื่องนี้ค่อนข้างมาก แต่เขาไม่อธิบายโดยละเอียด  ความสัมพันธ์ของพวกเขาเหมือนกับคนสองคนที่ต่างใช้ประโยชน์จากกันและกัน สภาสวรรค์ที่ว่าๆ กันนั้นมักจะใช้สอยเผ่ามารให้ทำเรื่องที่พวกเขาไม่สะดวกจะทำ และเพื่อความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ เผ่ามารก็ยินดีที่จะถูกใช้สอย จิตวิญญาณดั้งเดิมของข้าได้ท่องเที่ยวไปในจักรวาลมาหลายต่อหลายปีเพื่อเสาะหาที่มาที่ไปของสภาสวรรค์ แต่ข้าไม่พบเบาะแสที่มีประโยชน์เลย 

เขาเหยียบขึ้นไปบนอากาศ และเดินตรงไปยังแท่นสังเวย  ในเมื่อเจ้าอยู่ในสวรรค์ไท่หวงแล้ว งั้นก็จงอยู่ที่นี่เพื่อฝึกฝนสักหน่อย ข้ามีเรื่องบางอย่างที่ต้องทำ 

ฉินมู่กำลังจะวิ่งไล่ตามไป แต่เขาเห็นนักบุญคนตัดไม้ก้าวห่างไปๆ ทุกที ห้วงอวกาศที่ย่างก้าวหนึ่งของเขาข้ามไป ดูเผินๆ ปกติธรรมดา แต่จริงๆ แล้วกว้างไกลอย่างยิ่ง ทำให้เขาไม่มีทางไล่ตามทัน  ครูบาศักดิ์สิทธิ์ ข้ายังมีเรื่องที่อยากถาม! 

แต่ทว่า นักบุญคนตัดไม้ได้จากไปยังทิศไกลๆ แล้ว และวรยุทธของฉินมู่ก็ไม่เพียงพอที่เสียงเขาจะเดินทางไปได้ไกลขนาดนั้น

 เสือน้อย อยู่กับเขา  เสียงของนักบุญคนตัดไม้ดังมาจากไกลๆ  อย่าปล่อยให้เขาก่อเรื่องวุ่นวายไปทุกหนทุกแห่ง 

เทพเสือขนดำรับคำและมายังข้างหลังฉินมู่ เงามหึมาของมันทอดคลุมเด็กหนุ่มเอาไว้

ฉินมู่แย้มยิ้มและกล่าว  นักบุญคนตัดไม้ตัดสินคนได้ไม่แม่นยำเอาเสียเลย ข้าเป็นจ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์และไม่ใช่เด็กๆ เช่นนั้นข้าจะก่อเรื่องวุ่นวายได้อย่างไร 

เทพเสือขนดำมองลงไปที่เขาด้วยสีหน้าดำมืด  เจ้าไม่ตระหนักตัวเองเลยหรือเรื่องที่เจ้าก่อเรื่องไปทุกหนทุกแห่งน่ะ 

ฉินมู่เงยหน้าขึ้น เสือเทพยดาขนดำนั้นสูงจนเกินไป ทำให้เวลาคุยกับเขานั้นเมื่อยคอเป็นอย่างยิ่ง  ศิษย์พี่เสือ ท่านย่อหดตัวเองลงได้ไหม 

 ศิษย์พี่?  สีหน้าของเสือเทพยดาขนดำพลันเปลี่ยนเป็นแช่มชื่น หูสองหูเขาตั้งขึ้นมาทันที ทำให้เขาดูยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม  เห็นแก่ที่เจ้าเรียกข้าว่าศิษย์พี่ ข้าจะไม่ยืนค้ำหัวเจ้าสูงขนาดนี้ เจ้าก็เห็นด้วยใช่ไหมว่า ข้าไม่ใช่เพียงแค่สัตว์ขี่ของนายท่านเท่านั้น แต่ยังเป็นศิษย์ของเขาอีกด้วย ดังนั้นในด้านอาวุโสแล้ว เจ้าก็ควรจะเรียกข้าว่าศิษย์พี่จริงๆ นั่นแหละ 

ร่างของเขาค่อยๆ ย่อหดลง และผ่านไปสักพัก ความสูงของเขาก็กลับมาไล่เลี่ยกับฉินมู่ และเขาดูเหมือนกับเด็กหนุ่มที่มีหัวเป็นเสือ เพียงแต่ว่าหูของเขานั้นคล่องแคล่วเป็นอย่างยิ่ง และคอยแต่กระดิกไปกระดิกมาตลอดเวลา

 ศิษย์พี่เสือ ครูบาศักดิ์สิทธิ์บอกว่าอย่าก่อเรื่องวุ่นวาย แต่ไม่ใช่ว่าอย่าก่อเรื่องใหญ่ การก่อเรื่องวุ่นวายและการก่อเรื่องใหญ่นั้นมีความแตกต่างกันเป็นอย่างมาก อันไม่อาจนับรวมกันได้  ฉินมู่กล่าวอย่างจริงจัง

เทพเสือขนดำไม่หลงลมเขา และส่ายหัว  นายท่านบอกให้ข้าจับตาดูเจ้า ดังนั้นข้าก็จะไม่ปล่อยให้เจ้าเล็ดลอดสายตาไป 

ฉินมู่ปวดหัวตึบ แต่ก็ได้แต่ปล่อยให้อีกฝ่ายติดตามเขาไป พลางครุ่นคิด ข้ากะว่าจะให้ครูบาศักดิ์สิทธิ์ช่วยข้าออกแบบสะพานโลกาที่เชื่อมต่อระหว่างสันตินิรันดร์กับสวรรค์ไท่หวง แต่เขามีเรื่องอื่นที่ต้องทำ ดังนั้นดูเหมือนว่าข้าคงได้แต่ต้องลงมือทำเองคนเดียวเสียแล้ว

เมืองหลีกลายเป็นพลุกพล่าน และเขาไม่รู้จักใครสักคน ดังนั้นเขาจึงได้แต่ปักหลักอยู่ที่ป้อมปราการเมือง เขานำกองกระดาษและเครื่องมือคำนวณออกมาเพื่อเริ่มคำนวณและออกแบบสะพานโลกา

เสือเทพยดาขนดำยืนอยู่ข้างหลังเขา และมองอยู่เป็นเวลานาน เมื่อความสงสัยสะกิดใจเขาจนทนคันไม่ไหว เขาก็ถามในที่สุด  เจ้ากำลังคำนวณอะไร 

ฉินมู่ตอบโดยไม่เงยหน้า  ข้ากำลังคำนวณสมการการแลกเปลี่ยนพลังจิตวิญญาณ และอีกสมการที่ใช้ในการเคลื่อนย้ายมัน ข้าต้องการรู้อัตราแลกเปลี่ยนของพลังจิตวิญญาณสำหรับผู้ฝึกวิชาเทวะจากโลกที่ต่างกัน เช่นเดียวกับอัตราแลกเปลี่ยนของการย้ายสลับระหว่างสองโลกมิติ 

สิ่งที่เขากล่าวนั้นค่อนข้างลึกซึ้ง แต่เทพเสือขนดำก็เข้าใจมัน เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม  สมการในการแลกเปลี่ยนพลังจิตวิญญาณคือวิธีบูชายัญโลหิต และสมการสำหรับการย้ายสลับพลังจิตวิญญาณก็คือวิธีการทักษะเทวะเคลื่อนย้ายระยะไกล ใช่หรือไม่ 

ฉินมู่เงยหน้าขึ้นและมองเขาด้วยความไม่เชื่อสายตา

สองสมการนี้ต้องอาศัยการคำนวณที่มากมายมหาศาล และเกี่ยวพันกับวิชาความรู้มากมายสารพัน อันรวมถึงการแลกเปลี่ยนดวงวิญญาณ กายเนื้อ และพลังงาน นี่ยังคงรวมไปถึงการเคลื่อนย้ายข้ามห้วงอวกาศ และการคำนวณย้ายสลับ หากว่านี่เอาไปให้ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวงชมดู พวกเขาก็คงงงเป็นไก่ตาแตกหลังจากที่ฟังทั้งหมดนั่น แต่ทว่า เทพเสือขนดำสามารถค้นพบและกล่าวประเด็นสำคัญออกมาได้ภายในประโยคเดียว!

จริงสิ เขาเป็นสัตว์ขี่ของครูบาศักดิ์สิทธิ์ และคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตของครูบาก็มีวิธีการคำนวณอันลึกล้ำ เขาคงจะได้เรียนมาสักหน่อยหลังจากที่ฟังมันอยู่ซ้ำๆ

ฉินมู่จึงถามหยั่ง  ความสำเร็จเชิงคำนวณของพี่เสือเป็นอย่างไรหรือ 

เสือเทพยดาขนดำหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมาจากพื้นและกล่าว  ข้าสังเกตว่ามีความผิดพลาดในการคำนวณของเจ้าอยู่จุดหนึ่ง ตรงนี้แหละที่ผิด 

ฉินมู่มองไปที่กระดาษ และรีบใช้เครื่องมือคำนวณต่างๆ ของเขาเพื่อคำนวณใหม่อีกครั้ง มันมีข้อผิดพลาดอยู่จริงๆ

เด็กหนุ่มประทับใจ  การคำนวณของพี่เสือทั้งลึกล้ำ รวดเร็ว และแม่นยำเสียยิ่งกว่าข้า น้องชายโง่เขลาผู้นี้ประทับใจเป็นอย่างยิ่ง สมการทั้งสองนี้ค่อนข้างยาก และมีหลายประเด็นที่ต้องไขและแก้ พี่เสือท่านช่วยข้าได้หรือไม่ 

เสือเทพยดาขนดำยิ้มให้แก่เขา  ตราบเท่าที่เจ้าไม่ก่อเรื่องวุ่นวาย ช่วยเจ้าไปก็ไม่มีปัญหา แล้วเหตุผลที่เจ้าคิดคำนวณนี้ล่ะ? เจ้าต้องการจะสร้างอะไรขึ้นมาจากสมการ 

ฉินมู่บอกเขาเกี่ยวกับสะพานโลกาที่เขาวางแผนว่าจะก่อสร้าง และนำเอาแท่นสังเวยกับธงเคลื่อนย้ายระยะไกลที่เขาออกแบบออกมาแสดงให้ดู  ข้าใช้วิธีนี้และแทนตัวแม่ทัพมารตนหนึ่งเพื่อมายังสวรรค์ไท่หวง แต่ทว่า ในตอนนี้ข้าต้องการก่อสร้างสะพานโลกาเพื่อเชื่อมต่อสันตินิรันดร์กับสวรรค์ไท่หวงเข้าด้วยกัน สะพานนี้จะต้องเสถียรมั่นคงมากๆ เพื่อให้บุคคลสามารถเดินทางข้ามไปมาระหว่างสองโลกได้ 

เทพเสือขนดำพึมพำกับตนเองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว  นั่นก็จะเป็นสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณข้ามมิติ มันสามารถออกแบบเป็นปล่องช่องทางได้ หลังจากที่มันเปิดออก พลังจิตวิญญาณของทั้งสองโลกก็จะไหลผ่านกันไปมาในทันที หากว่าผู้คนจากสวรรค์ไท่หวงต้องการไปยังสันตินิรันดร์ สันตินิรันดร์ก็จะต้องสูญเสียพลังงานไปจำนวนหนึ่ง ในทางกลับกันก็เช่นเดียวกัน…เจ้านับว่ามีความคิดไม่เลวเลย ศิษย์น้อง! 

เขาตบบ่าฉินมู่อย่างแรง และสีหน้าของเด็กหนุ่มบิดเบี้ยว เขาต่อไหล่ที่หลุดกึ๊กของเขาอย่างเงียบเชียบ และยอมแพ้ราบคาบต่อเทพเสือขนดำ

ความคิดหนึ่งพุ่งวาบมาในจิตคิดของเทพเสือขนดำ และเขาปรบมือเปาะ  ข้ามีความคิดหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องออกแบบแท่นสังเวยใหม่ ในเมื่อนายท่านมีอันใหญ่มหึมาที่พร้อมใช้อยู่แล้ว และมันก็ยังมีแท่นสังเวยที่คล้ายคลึงกันในแดนโบราณวินาศ อันเป็นเส้นทางถอยที่นายท่านได้ทิ้งเอาไว้ให้ตนเอง หากว่าสวรรค์ไท่หวงถูกรุกรานจนต้านไม่อยู่ เขาก็จะใช้เพื่อถอยกลับไป 

 แท่นสังเวยทั้งสองใช้เพื่ออัญเชิญเทพเที่ยงแท้ ดังนั้นมันจึงสามารถใช้เชื่อมต่อสะพานโลกาได้ ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าพลังงานจะติดขัดและสะพานก็จะพังทลาย ปัญหาเดียวก็มีเพียงแค่การคิดคำนวณสองสมการนี้เท่านั้น! 

ฉินมู่ตื่นเต้น ไม่เพียงแต่เสือเทพยดาขนดำจะวิ่งได้เร็ว แต่ความสำเร็จของเขาในเชิงคำนวณยังลึกล้ำอย่างไม่คาดคิดอีกด้วย ขนาดฉินมู่เองก็ไม่เก่งเท่ากับเขา ด้วยความช่วยเหลือของเขาสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณที่เชื่อมข้ามสองโลกมิติก็สามารถก่อสร้างขึ้นมาได้เร็วขึ้นกว่าเดิม และเชื่อมต่อสวรรค์ไท่หวงกับสันตินิรันดร์!

ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงกิเลนมังกรขึ้นมา และรู้สึกรวดร้าวใจอย่างบอกไม่ถูก พวกเขาทั้งคู่เป็นสัตว์ขี่ แต่กระนั้น พี่เสือก็ยังวิ่งได้เร็วกว่า ขั้นวรยุทธเขาสูงกว่าด้วย แถมเขายังไม่เลือกกินอาหารและความเชี่ยวชาญการคำนวณของเขาก็ลึกล้ำยิ่งกว่าข้า…

ไม่นานเขาก็ละทิ้งความเปรี้ยวฝาดในหัวใจ และทุ่มเทพลังทั้งหมดในการคิดคำนวณทุกสิ่งทุกอย่างกับเสือเทพยดาขนดำ

ความเร็วการคิดคำนวณของอีกฝ่ายนั้นน่าตื่นตระหนกอย่างยิ่ง ฉินมู่จำเป็นต้องใช้แผ่นไท่จี่ แผ่นผังแปด และอาวุธวิญญาณสำหรับการคำนวณอื่นๆ เพื่อก่อสร้างขึ้นมาเป็นเครื่องมือคำนวณมหึมาเพื่อให้ตามเขาทัน

ในท้ายที่สุด เขาก็ได้แต่ยกอาวุธวิญญาณเครื่องมือคำนวณให้เทพเสือ และปล่อยให้ฝ่ายนั้นคิดคำนวณ ส่วนเขาเป็นคนป้อนความคิด

 เครื่องมือการคำนวณที่เจ้าเตรียมเอาไว้มันน้อยเกินไป เดี๋ยวข้าจะสร้างเพิ่มอีก! 

เมื่อเสือเทพยดาขนดำกล่าวเช่นนั้น เขาก็หลอมสร้างอาวุธวิญญาณคำนวณขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นควบคุมช่วงใช้เครื่องมือการคำนวณขนาดใหญ่หกชิ้นพร้อมๆ กัน

มังกรอ้วนก็ไม่รู้วิธีการหลอมสร้างอาวุธวิญญาณเหมือนกัน… ฉินมู่รู้สึกเปรี้ยวฝาดขึ้นมาอีกครั้ง

เขาบอกความคิดของเขาเกี่ยวกับสมการ และเทพเสือขนดำก็ขานคำตอบกลับไปโดยพลัน ความเร็วของเขาเร็วอย่างยิ่งยวด

หนึ่งเสือและหนึ่งคนไม่พักผ่อนนอนหลับ คิดคำนวณอย่างไม่หยุดพักในป้อมปราการเมืองหลีฝั่งประตูทิศตะวันออก หลังจากนั้นแปดวัน ในป้อมปราการก็เต็มไปด้วยปึกกระดาษตั้งอยู่เป็นกองๆ

ทันใดนั้น เสียงของซังฮั่วก็ดังมา  พี่ชายนักฟาดฟ่อนข้าว พวกเจ้ากำลังทำอะไรอยู่ที่นี่ 

ฉินมู่เงยหน้าขึ้นมาจากกองกระดาษ ดวงตาของเขาแดงซ่านจากความเหนื่อยอ่อน เขาเห็นซังฮั่ว อวี่เหอ ฉู่เหยา และผู้ฝึกวิชาเทวะเยาว์จำนวนหนึ่ง พวกเขามองไปรอบๆ ด้วยความสงสัยใคร่รู้

ทุกคนตื่นตะลึงจากที่ได้เห็นกระดาษเขียนข้อมูลที่ตั้งสูงท่วมหัวคน และพวกมันก็ถูกจัดเรียงไว้เป็นแถวๆ อย่างเป็นระเบียบ ที่ใจกลางกองตั้งกระดาษ ฉินมู่และเทพหัวเสือมีถุงใต้ตาดำคล้ำภายใต้ดวงตาอันแดงซ่าน หนวดเคราของฉินมู่ได้กลายเป็นตอชี้โด่ชี้เด่ไปเรียบร้อยแล้ว แต่เขาไม่สนใจรูปโฉมของตนในตอนนี้เลยสักนิด

 ที่แท้ก็คือพวกเจ้านี่เอง  ฉินมู่เบือนสายตาไปและเขียนบนกระดาษต่อ  พวกเจ้ารอสักครู่ พี่เสือและข้าเพิ่งสิ้นสุดการคำนวณสมการทั้งสองและกำลังใช้มันเพื่อคิดคำนวณอักษรรูนย้ายสลับพลังจิตวิญญาณห้วงมิติ พวกเรากำลังออกแบบโครงรูปสิ่งก่อสร้างของสะพานโลกา 

อวี่เหอ ฉู่เหยา และผู้ฝึกวิชาเทวะที่เหลือมองมาที่เขาด้วยสายตางงงัน ผ่านไปสักพัก ฉู่เหยาก็ถามอย่างกระมิดกระเมี้ยน  ศิษย์น้องซังฮั่ว เจ้าเข้าใจที่เขาพูดสักอย่างไหม 

เด็กสาวส่ายหัวด้วยสีหน้าว่างเปล่า

ฉินมู่และเทพเสือขนดำแปรเปลี่ยนปราณชีวิตของพวกเขาให้เป็นตราชั่งอันละเอียดประณีตอย่างถึงที่สุด และวาดแปลนอยู่สักพักหนึ่งบนกระดาษ หลังจากที่พวกเขาบันทึกค่าจากจุดต่างๆ ของตราชั่งแล้ว พวกเขาก็ลุกขึ้น

 ไปกันเถอะ ไปสร้างสะพานโลกานี้ดูและทดสอบว่ามันจะเชื่อมต่อระหว่างสองโลกมิติได้ไหม!  เทพเสือขนดำกล่าวด้วยความตื่นเต้น

ฉินมู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง  ครูบาศักดิ์สิทธิ์บอกข้าว่าอย่าก่อเรื่องวุ่นวาย สะพานโลกานี้ยังไม่ได้ผ่านการตรวจสอบทดลองดี หากว่าเราสร้างมันขึ้นมาในตอนนี้ ข้าเกรงว่า… 

เสือเทพยดาขนดำตื่นเต้นยิ่งกว่าเขาเสียอีก และตบหน้าอกตนเองปึกๆ พลางกล่าวด้วยความห้าวหาญทะยานฟ้า  นี่ไม่ใช่การก่อเรื่องวุ่นวาย อย่างมากก็เป็นแค่การก่อเรื่องใหญ่ ไม่ต้องห่วง ถ้ามีปัญหาอะไรขึ้นมา ข้าจะรับผิดชอบเอง! 

………………

 

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท