ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 541 ทักษะเทวะในการเปลี่ยนสีหน้

ตอนที่ 541 ทักษะเทวะในการเปลี่ยนสีหน้

เจ๋อหัวหลีแบกศพของเจี่ยงอี้และติดตามไปข้างหลังฟู่ยื่อลัว เมื่อเขาผ่านไปทางฉินมู่ เขาก็เบือนหน้ามามอง

ฉินมู่กำลังหลอมปรุงยา แต่เขาก็ผงกหัวเป็นการทักทาย  ศิษย์พี่เจ๋อหัวหลี ถ้ามีโอกาสก็ไว้พบกันใหม่ 

เจ๋อหัวหลีจากไปพร้อมกับฟู่ยื่อลัวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

เสือเทพยดาขนดำกระโดดลงจากราชวัง และปรายตามองฉินมู่ ก่อนที่จะปรายตามองนักบุญคนตัดไม้ ขวานยักษ์ของเทพผู้นี้ถูกเก็บไปไว้ที่ไหนสักแห่งแล้ว ขณะที่ตัวเขากำลังสังเกตการณ์วิชามือที่ฉินมู่ใช้ในการหลอมปรุงยา

เทพอื่นๆ ก็กระโดดลงมา และรวมตัวมุงรอบๆ พวกเขา ทุกคนมีสิ่งที่อยากจะพูด ในเมื่อมีคำถามมากมายอัดอก แต่ทว่า พวกเขาหุบปากเอาไว้ก่อน

ก่อนที่นักบุญคนตัดไม้จะกล่าวอะไร ก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยนำ

เทพซังเย่รีบไปดึงซังฮั่วกลับมา เขาอยากจะดุด่าธิดาสาวของตนอย่างเฉียบขาด แต่ในเมื่อไม่มีใครพูดอะไร ก็คงไม่ดีที่จะเป็นคนทำลายความเงียบ

ฉินมู่นั้นอยู่ในจังหวะสำคัญในการหลอมปรุงยาวิญญาณ กำลังเพ่งสมาธิจดจ่อและไร้ความคิดวอกแวก เขามิได้ให้ความสนใจแก่คนอื่นๆ ที่อยู่รอบตัว แต่ด้วยสายตาของเทพเจ้าทุกตนที่จ้องมาที่เขา ทำให้แม้แต่เขาก็ยังรู้สึกกดดัน และเหงื่อเม็ดหนึ่งก็ปรากฏบนหน้าผากของเขา ถูกรีดเร้นออกมา

ผ่านไปสักพัก ฉินมู่ก็สิ้นสุดการหลอมปรุงยาวิญญาณ และบดมันเบาๆ เขาตักน้ำมาเล็กน้อย ละลายยาที่บดแล้วลงไปในนั้น ก่อนที่จะหยอดสารละลายดังกล่าวลงไปในดวงตาและใบหูของอวี่เหอและฉู่เหยา

เขาสังเกตดูการงอกเงยของม่านตาและแก้วหูของทั้งสองคน จากนั้นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย เขารีบคุ้ยหาสมุนไพรจำนวนหนึ่งจากถุงเต๋าตี้ และผสมขี้ผึ้งยาตำรับหนึ่งมาอย่างรวดเร็ว เขาค่อยทามันลงไปตรงจุดที่บาดเจ็บอย่างระมัดระวัง

 ทำไมเจ้าถึงใส่ยาไปตั้งสองครั้ง  นักบุญคนตัดไม้ถามด้วยความฉงน  ครั้งแรกนั้นเพื่อให้ม่านตาและแก้วหูของพวกเขางอกกลับมา แต่ยาตัวที่สองมีพิษอยู่เล็กน้อย ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น 

ฉินมู่เพ่งพิศดูดวงตาของอวี่เหอและฉู่เหยา จากนั้นก็ไปส่องดูรูหูของพวกเขาอีกครั้ง เสร็จแล้วเขาจึงอธิบาย  ขี้ผึ้งนี้มิใช่ยาพิษ แต่เป็นยาวิญญาณที่ใช้สะกดข่มการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อ ยาวิญญาณตัวแรกที่ข้าใช้นั้นเพื่อรักษาม่านตาและแก้วหูของพวกเขาที่ได้รับความเสียหาย แต่ในเมื่อนี่เป็นครั้งแรกที่ข้าหลอมปรุงยาทำนองนี้ ปริมาณที่ข้าใช้จึงไม่เหมาะนัก และฤทธิ์พลังยาก็รุนแรงเกินไป 

 หากว่าข้าไม่ทำอะไรสักอย่าง ม่านตาและแก้วหูของพวกเขาก็จะหนา และส่งผลประทบต่อสายตาและการได้ยินของพวกเขา ดังนั้นข้าจึงต้องใช้ยาตัวที่สองที่ข่มการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อ  เขาบิดยืดเอวแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม  บัดนี้ พวกเขาก็เกือบจะหายดีแล้ว สายตาและการได้ยินของพวกเขาจะไม่ด้อยไปกว่าแต่ก่อน 

ในบริเวณรอบๆ เทพเจ้าทั้งหลายแห่งสวรรค์ไท่หวงถอนหายใจด้วยความโล่งอก อวี่เหอและฉู่เหยาเป็นยอดฝีมือขั้นเจ็ดดาวที่แข็งแกร่งที่สุดในสวรรค์ไท่หวง พวกเขาก็ยังเป็นชนรุ่นเยาว์ที่มีความหวังมากที่สุดว่าจะบรรลุเป็นเทพเจ้าได้ หากว่าพวกเขากลายเป็นหนวกหรือบอด ก็คงจะเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ของสวรรค์ไท่หวง

ความตายของหวงเยว่และคนอื่นๆ ในโลกจำลองศึกทราย ก็ได้กรีดเนื้อหลั่งเลือดพวกเขาไปมาแล้ว

ฉินมู่กล่าวคารวะไปยังนักบุญคนตัดไม้  ศิษย์ขอน้อมคารวะประมุขลัทธิ 

นักบุญคนตัดไม้ยื่นมือออกไปและพยุงเขาลุกขึ้น พลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม  เจ้าน่าจะได้รับคำสั่งสอนที่ข้าถ่ายทอดเอาไว้ ในเมื่อเจ้าได้รับการสั่งสอนจากข้าโดยตรง เจ้าก็เป็นศิษย์ของข้า และไม่มีความจำเป็นที่ต้องเรียกข้าว่าประมุขลัทธิ 

ฉินมู่ประหลาดใจแกมยินดี หากว่าเขากลายเป็นศิษย์ของนักบุญคนตัดไม้ ลำดับอาวุโสของเขาก็จะพุ่งพรวดพราด หากว่าเขาไปพบกับอดีตเจ้าลัทธิมารฟ้าทั้งหลายอีกครั้ง ไอ้เฒ่าพวกนั้นก็ลืมไปได้เลยว่าจะใช้ลำดับอาวุโสมากดดันเขา!

เขาลังเลอยู่เล็กน้อยก่อนจะถามหยั่ง  ครูบาสวรรค์ ท่านเคยได้ยินเกี่ยวกับลัทธินักบุญสวรรค์ไหม 

 ลัทธินักบุญสวรรค์?  ด้วยความงุนงง นักบุญคนตัดไม้ส่ายหัว  ข้าไม่เคยได้ยินมันมาก่อน 

ฉินมู่สีหน้าซีดเผือด และกลายเป็นห่อเหี่ยว

นักบุญคนตัดไม้ไม่เคยได้ยินเรื่องลัทธินักบุญสวรรค์จริงๆ ด้วย!

เขายังไม่ยินยอมพร้อมใจกับข้อเท็จจริงนี้ และถามหยั่งอีกครั้ง  ถ้าเช่นนั้น ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่ครูบาศักดิ์สิทธิ์ทิ้งเอาไว้ กับก้อนหินนักบุญและรอยขวาน มันมีความหมายที่ลึกล้ำไปกว่านี้หรือเปล่า 

 ต้นหวยแก่นั่นยังไม่ตายอีกรึ  นักบุญคนตัดไม้ตกตะลึง เขาคำนวณอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าว  ต้นไม้นั่นน่าจะอายุสองหมื่นปีเห็นจะได้ ใช่ไหม ข้าเอาขวานจามมันมาตั้งหลายครั้งหลายหน แต่มันก็ยังคงมีชีวิตอยู่ ไม่ช้าไม่นานมันคงจะกลายเป็นปีศาจได้ 

ฉินมู่ตะกุกตะกัก  คะ..ครูบาศักดิ์สิทธิ์ หินนักบะ..บุญนั่น… 

 หินนักบุญอะไร โอ เจ้าหมายถึงหินที่ข้านั่งระหว่างถ่ายทอดคำสั่งสอนน่ะหรือ แล้วมันมีอะไร 

ราวกับว่าฉินมู่ถูกสายฟ้าฟาดจนจิตกระเจิดกระเจิงไปหมด เขาพึมพำ  ทุกครั้งที่พวกเรามีงานเฉลิมฉลองใหญ่ ลัทธินักบุญสวรรค์ของพวกเราก็จะไปคุกเข่าโขกศีรษะที่หน้าหินนักบุญและต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ มีแต่จ้าวลัทธิทั้งหลายและผู้อาวุโสที่ได้กระทำคุณงามความดีเท่านั้น ที่จะมีสิทธิ์ได้ฝังเถ้าอังคารเอาไว้ใต้ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์… 

นักบุญคนตัดไม้ส่ายหัว  พิธีเยอะขนาดนี้เชียวหรือ ข้าชังพิธีรีตองเป็นที่สุด หรือลัทธินักบุญสวรรค์จะถูกก่อตั้งโดยศิษย์ของข้า พี่ใหญ่ของเจ้าไม่ได้เรียนรู้วิชาฝีมือทั้งหมด แต่กลับไปตั้งกฎเกณฑ์มากมายขึ้นมาแทน ด้วยการเพ่งความสำคัญไปที่กฎ เขาก็ได้สูญเสียเป้าสำคัญของความหมายของข้าในการถ่ายทอดคำสั่งสอนให้แก่เขา ช่างไม่เอาไหนเสียเลย ไม่เอาไหนเลยจริงๆ! 

‘ศิษย์’ และ ‘พี่ใหญ่’ ที่เขาพูดถึงนั้นคือบรรพจารย์ก่อตั้ง ซึ่งเป็นบุคคลอันไร้ร่องรอยที่ฉินมู่มิได้พบเจอในยมโลก

ชายผู้นั้นไม่เคยไปที่ยมโลก ดังนั้นฉินมู่จึงไม่รู้ว่าเขาหายไปไหน

กระนั้นสีหน้าเขาก็ซีดเผือดสลับมืดคล้ำ ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์และอาสนะหินนักบุญที่ทุกคนในลัทธิมองว่าเป็นสมบัติล้ำค่ากลับกลายเป็นของไร้ราคาในสายตาของนักบุญคนไม้!

หากว่าข้อเท็จจริงนี้แพร่ออกไป ทุกคนในลัทธินักบุญสวรรค์ รวมทั้งปรมาจารย์เยาว์และอดีตจ้าวลัทธิทั้งหลายในยมโลก ก็คงจะสติหลุดกันแน่!

เสือเทพยดาขนดำมองไปที่สภาวะจังงังของเขา และอ้าปาก แต่ทว่าเขาก็ยับยั้งตนเองไว้ไม่ให้วิพากษ์วิจารณ์ และเพียงแค่คิดในใจ นายท่านเอาแต่ดุด่าข้า และไม่เชื่อว่าไอ้เด็กนี่กรอบคิดจิตใจไม่ดีเลยสักนิด เพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ เด็กนี่ก็เปลี่ยนสีหน้าไปมากกว่าสิบอารมณ์…

เทพเที่ยงแท้ผางอวี้เดินเข้ามา และตรวจดูดวงตาและใบหูของอวี่เหอ เขาก็ไปตรวจดูฉู่เหยาด้วยเช่นกัน เมื่อเขาเห็นว่าทั้งสองหายดี  สหายน้อยฉินได้ช่วยชีวิตพวกเจ้าเอาไว้ ไฉนพวกเจ้ายังไม่รีบไปขอบคุณเขาอีก สาเหตุที่พวกเจ้าทั้งสองสามารถออกมาจากโลกจำลองศึกทรายได้นั้นก็เพราะว่าเขาเสี่ยงชีวิตตนเองเพื่อหลอกล่อศัตรูเข้ามา กำจัดศัตรูไปสามคนตั้งแต่แรก 

อวี่เหอและฉู่เหยาสะท้านใจอย่างรุนแรง และร้องออกมา  เขากำจัดยอดฝีมือถึงสามคนด้วยตนเองเชียวหรือ 

 นับเจี่ยงอี้ด้วยก็เป็นสี่  ผางอวี้ถอนหายใจและกล่าว  ในบรรดาสิบยอดฝีมือเผ่ามาร สี่ได้ตายในน้ำมือของเขา มันเกือบจะครึ่งหนึ่งในพริบตา หากว่าเรานับรวมยอดฝีมือมารที่เด็กสาวจากตระกูลซังเย่กำจัดไปด้วยแล้วล่ะก็ ทั้งสองคนก็ได้ชิงความดีความชอบไปครึ่งหนึ่ง ส่วนคนอื่นๆ รวมทั้งพวกเจ้าทั้งสองกำจัดศัตรูได้เพียงสี่คน เผ่ามารก็ยังคงไม่อาจดูแคลน กำลังฝีมือของพวกเขายังคง… 

เขาส่ายหัวและไม่กล่าวอะไรต่อ

เผ่ามารตายไปเก้าคน และฉินมู่ก็ได้ลงมือกำจัดไปสี่ด้วยตนเอง ขณะที่ซังฮั่วก็ได้กำจัดไปหนึ่ง นี่นับว่าเป็นความดีความชอบที่มากกว่าครึ่งจริงๆ

ในขณะเดียวกัน อวี่เหอและฉู่เหยา ต่างก็กำจัดยอดฝีมือมารไปได้คนละหนึ่ง และร่วมมือกันเพื่อกำจัดไปอีกหนึ่ง นี่หมายความว่ายอดฝีมืออีกหกคนที่ตายไป รวมกันแล้วแลกชีวิตเพื่อกำจัดยอดฝีมือมารได้เพียงคนเดียว

พลังการต่อสู้ของพวกมารเหล่านี้นับว่าแข็งแกร่งกว่ามนุษย์อย่างแท้จริง หากว่ามิใช่เพราะการเข้ามาสมทบอย่างเกินคาดหมายของฉินมู่ พวกเขาก็คงจะประสบกับการถูกฆ่าล้างบางทั้งสิบยอดฝีมือเยาว์!

อวี่เหอและฉู่เหยาระบายลมหายใจสะท้าน พวกเขามายังฉินมู่ที่ดูห่อเหี่ยวและเหม่อลอย พลางกล่าวขอบคุณ

ฉินมู่รีบคารวะกลับไปด้วยใบหน้าเกลื่อนยิ้ม  เมื่อก่อนหน้า ข้าได้พะวงอยู่กับการเพิ่มพูนพลานุภาพกระบี่บินของข้า และมิได้แนะนำตัวข้ากับศิษย์พี่หญิงและศิษย์พี่ชายทั้งสอง ชื่อของข้าคือฉินมู่ ฉินจากคำว่าฟาดฟ่อนข้าว และมู่จากคำว่าคนเลี้ยงวัว ข้าคารวะศิษย์พี่หญิงอวี่เหอ และศิษย์พี่ฉู่เหยา 

เสือเทพยดาขนดำเห็นเขาเปลี่ยนสีหน้าเดี๋ยวคล้ำเดี๋ยวซีดของเขาให้กลายเป็นรอยยิ้มแจ่มจ้าภายในเสี้ยวพริบตา และอดไม่ได้ที่จะแค่นเสียงเย็นชา นายท่านมองไม่เห็นเลยสักนิดว่าเจ้าเด็กนี่มันเปลี่ยนสีหน้าได้รวดเร็วขนาดไหน!

อวี่เหอและฉู่เหยารีบคารวะทักทายกลับไปทันที และฉู่เหยากล่าวอย่างขออภัย  พวกเราได้เย้ยหยันศิษย์พี่ฉินไปตั้งหลายครั้งหลายหน และเรียกท่านว่านักฟาดฟ่อนข้าวและนักตีเหล็ก ข้าหวังว่าท่านคงจะไม่เคืองใจ 

ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ฉินมู่กล่าวอย่างมั่นคง  วิธีการเขียนตัวอักษรฉินนั้นมาจากคำว่าคนสองคนถือสากยาวฟาดฟ่อนข้าวอยู่ และข้าไม่ได้ล้อเล่น อันที่จริงแล้ว น้องชายผู้นี้ได้เรียนการอ่านอักษรทุกชนิดจากอาจารย์ของข้า รวมทั้งเรียนภาษาทุกชนิด อย่างภาษามาร มังกร พุทธ แดนใต้พิภพ แม้กระทั่งภาษาเทพบางส่วน บางครั้งข้าก็ชอบจำแนกแยกแยะองค์ประกอบย่อยของตัวอักษร ดังนั้นนี่มิใช่การโอ้อวดแต่อย่างใด 

สีหน้าของไอ้เด็กนี่เปลี่ยนไปอีกแล้ว! เทพเสือขนดำกัดฟันกรอด แต่นายท่านก็ยังคงมองไม่เห็น!

 ศิษย์พี่อวี่เหอ และศิษย์พี่ฉู่เหยา  สีหน้าเคร่งขรึมของฉินมู่หายไป และรอยยิ้มของเขาก็ราวกับสายลมฤดูใบไม้ผลิ  พวกเจ้าเคยได้ยินเรื่องลัทธินักบุญสวรรค์ไหม ว่ากันตามตรงแล้ว น้องชายผู้นี้เป็นจ้าวลัทธิแห่งลัทธินักบุญสวรรค์ มันก่อตั้งขึ้นมาโดยอาจารย์ของข้า ซึ่งก็คือครูบาศักดิ์สิทธิ์ พวกเจ้าก็ได้เห็นแล้วว่าเขาทั้งทรงปัญญา ห้าวหาญ และเป็นคนพูดน้อย แต่ทว่า คำสั่งสอนของลัทธินักบุญสวรรค์พวกเรานั้นดีเยี่ยมและมหัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง มรรคาแห่งนักบุญที่ว่ากันนั้นก็มิใช่ใดอื่นนอกเสียจากการยังประโยชน์ให้แก่กิจวัตรประจำวันของผู้คน… 

ผ่านไปพักหนึ่ง ฉินมู่ก็ระบายลมหายใจสะท้าน และยิ้มแฉ่งไปให้แก่อวี่เหอและฉู่เหยาผู้ซึ่งเพิ่งเข้าร่วมลัทธิของเขา เขาคิดในใจ ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ของข้าเพิ่งก่อตั้งสาขาเข้าไปในสวรรค์ไท่หวง โชคของข้าวันนี้ไม่เลวนัก สามารถเสาะหาหัวหน้าโถงคนใหม่สองคนอันมีศักยภาพที่จะบรรลุเป็นเทพเจ้า! ต่อให้นักบุญคนตัดไม้ไม่ยอมรับว่ารู้จักลัทธินักบุญสวรรค์ก็ไม่เป็นไร ตราบใดที่เขาไม่ปริปากทักท้วง นั่นก็ดีพอแล้วล่ะ จริงสิ ยังมีน้องสาวฮั่วอีก!

เทพเสือขนดำบิดหูของเขาไปมาด้วยความเบื่อหน่าย นายท่านยังคงมองไม่เห็น…

ฉินมู่มุ่งไปหาซังเย่และซังฮั่ว แต่เขาถูกยับยั้งไว้โดยเทพเจ้ามากมาย พวกเขากล่าวชื่นชมเขากันทีละคน และฉินมู่ก็ต้องกล่าวตอบรับอย่างถ่อมตน ด้วยการชื่นชมของเทพเจ้ามากมาย ความมั่นใจของเขาก็ทะยานสูงขึ้น และเขาก็ลิงโลดอย่างสุดๆ

นายท่านก็ยังคงมองไม่เห็น… เสือเทพยดาขนดำพลิกหูหนึ่งไปข้างหน้า และอีกหูไปข้างหลังพลางพึมพำในใจ

ฉินมู่นั้นติดแหง็กอยู่กับเทพเจ้ามากมาย และเมื่อทุกคนแยกย้าย เทพเจ้าแห่งสวรรค์ไท่หวงก็รีบออกเดินทางไปควบคุมกองทัพเข้ามาตั้งกำลังในเมืองหลีเพื่อมิใช้พวกมารบุกกลับมายึดคืนได้ในภายหลัง ซังฮั่วก็ถูกซังเย่พาจากไป อันทำให้ฉินมู่ได้แต่ถอนหายใจด้วยความเสียดาย

 ตามข้ามา ข้ามีบางอย่างอยากจะถามเจ้า  นักบุญคนตัดไม้กล่าว

ฉินมู่รีบตามเขาไป เสือเทพยดาขนดำอยากจะตามไปด้วยเช่นกัน แต่นักบุญคนตัดไม้หันกลับมาจ้องเขา เขาก็เลยชะงัก เสือเทพยดาขนดำหันหน้าเสไปมองทางอื่น

 เจ้าเป็นมารหรือเป็นมนุษย์  ฉินมู่ได้ตามนักบุญคนตัดไม้ไปยังที่เงียบสงบและถูกยิงคำถามเป็นสิบๆ  แม้ว่าเจ้าจะได้เรียนรู้วิชาของข้า และสืบทอดมรดกยุทธของข้า แต่ยังคงมีพลานุภาพประหลาดในร่างกายของเจ้าอันเป็นของเผ่ามาร จู่ๆ เจ้าก็ปรากฏขึ้นมาในสนามรบ ท่ามกลางหมู่มารทั้งหลาย ดังนั้นพฤติการณ์ของเจ้าจึงน่าสงสัย บอกข้า เจ้ามาจากที่ไหนกันแน่ 

ฉินมู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าว  หมู่บ้านไร้กังวล 

นักบุญคนตัดไม้หันขวับ และจ้องหน้าเขาเขม็งราวกับว่าจะดูว่าเขาโกหกหรือพูดความจริง

ฉินมู่มีสีหน้าสงบขณะที่กล่าว  ข้าไม่ได้เกิดในหมู่บ้านไร้กังวล แม่ของข้ากำลังตั้งท้องข้าอยู่ตอนที่พ่อและแม่ของข้าออกไปจากที่นั่น พวกเขาประสบกับศัตรูระหว่างการเดินทาง และในที่สุดนางก็ให้กำเนิดข้าในแดนใต้พิภพ ท้าวยมราชแห่งยมโลกกล่าวว่า เพราะข้าถือกำเนิดที่นั่น บางอย่างที่ไม่อาจคาดเดาได้ก็เกิดขึ้น ทำให้สันดานมารแห่งแดนใต้พิภพเข้าไปในร่างกายของข้า 

นายท่าน ท่านจ้องหน้าเขาขนาดนี้ก็ยังไม่เห็นสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปมาของเขาได้อีกหรือ! ไกลออกไป เสือเทพขนดำเดือดดาลจนแทบจะโลดเต้น

 เจ้าบอกว่ามาจากหมู่บ้านไร้กังวล แต่เจ้ามีสิ่งสัญลักษณ์ใดหรือไม่  นักบุญคนตัดไม้ถาม

ฉินมู่รีบถอดจี้หยกออกมาจากคอ

………….

 

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท