Ark The Legend – ตอนที่ 436 : ทักษะระดับตํานาน!

ตอนที่ 436 : ทักษะระดับตํานาน!

ตอนที่ 436 : ทักษะระดับตํานาน!

[เจ้าคือผู้กอบกู้แห่งโอเบเรียม]

[วีรบุรุษแห่งพวกเรา!]

เหล่าทหารวิญญาณทั้งหลายตอนนี้ต่างยืนเรียงแถวเชิดชูดาบให้เกียรติกันยกใหญ่ ไม่ช้า ประชากรวิญญาณต่างก็เข้ามาโห่ร้องยินดีด้วยเช่นกัน

[อาร์ค วีรบุรุษของพวกเรา!]

[ผู้สืบทอดแห่งผู้กล้ามาบัน]

จนถึงตอนนี้เขาเพิ่งพบเห็น คนตายเหล่านี้ไม่มีผิวหนังอีกต่อไป ที่เหลือมีเพียงแค่วิญญาณ ในเมื่อคาร์ม่ากลืนกินวิญญาณของพวกเขา ประชากรของโอเบเรียมจึงต้องสละเปลือกนอกทิ้งไป แต่ด้วยเพราะการชําระล้างเปลือกอย่างนี้ คนตายจึงยังคงสามารถอยู่ต่อได้ อาร์คมองไปยังดวงตาของวิญญาณเหล่านี้ ดวงตาของพวกเขาคล้ายผู้ได้พ้นทุกข์อย่างสมจริงสมจัง ประกายแววตาในดวงตาของพวกเขาก็เด่นชัด ทั้งหมดนี้เป็นเพราะอาร์คจัดการคาร์ม่าได้ และราชาของเมืองแห่งนี้ก็จดจําเสียงของอาร์คตอนใช้งานการเยียวยาปาฏิหาริย์ได้ หลังทุกอย่างคลี่คลาย บุคซิลและแบกิวก็ตามมาสมทบจากนอกเมือง พวกเขาตอนนี้ล้วนได้รับการยกย่องประหนึ่งวีรบุรุษด้วยเช่นกัน บุคซิลตอนนี้กําลังมองไปยังเหล่าประชากรวิญญาณและพึมพําออกมา

“เห็นไหมครับ? อาร์คนิมเป็นวีรบุรุษของพวกเขาเลย”

“นี่นายไม่ละอายใจบ้างเหรอ?”

“ครับ? เรื่องอะไรกัน?”

“ไม่ใช่ว่านายเข้าเมืองมาเพราะอยากได้รับรางวัลในฐานะวีรบุรุษด้วยหรือยังไง?”

“พูดอะไรอย่างนั้นกันครับ? ทําไมผมต้องทําอะไรแบบนั้นด้วย?”

บุคซิลไม่พอใจกับความเย็นชานี้ของอาร์คจึงโต้เถียง

“ที่อาร์คนิมอยู่รอดปลอดภัยจากหลุมฝังศพใต้ดินนั่นมาได้ก็เพราะดวงตาของผมไม่ใช่หรือยังไงกันครับ แถมใครกันที่คอยอยู่ถ่ายวิดีโอให้ตลอดไม่มีขาด?”

แบกิวพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย

“นายท่านพูดถูกต้อง นายท่านต้องประสบพบเจอปัญหาไม่น้อย”

เป็นเขาลืมเลือนหน้าที่สําคัญส่วนนั้นไป แน่นอนว่าเขาทราบดีหากไม่มีดวงตาคอยช่วยคงต้องยากลําบากไม่น้อย

“ยังคงเป็นนายที่เข้าใจฉันเสมอเลยนะแบกิว”

ทั้งบุคซิลและแบกิวเริ่มเล่นละครโศกกันแล้ว ไม่ต่างอะไรกับคณะละครปาที่เลยจริงๆ ในช่วงที่บุคซิลและแบกิวไม่พอใจอาร์คอยู่นั้น อาร์คก็ไม่มีแรงจะไปโต้เถียงอะไรด้วยอีก

“เรื่องที่ต้องทําที่นี่จบลงแล้ว ตอนนี้ที่เหลือก็แค่…”

อาร์คมองไปยังราชาของเมืองแห่งนี้ด้วยสายตาลุกโชนยิ่งกว่าวิญญาณใดในที่นี้ ความจริงอาร์คก็ไม่ได้คิดมากว่าจะได้รับอะไรตอนที่จัดการคาร์ม่าเสร็จสิ้น แต่ตอนนี้ประชากรทั้งโอเบเรียมต่างพ้นคําสาปที่ยาวนานหลายร้อยปี ไม่ใช่เพราะความดีความชอบอย่างวีรบุรุษที่เขากระทําหรือ? ดังนั้นเขาจึงสมควรได้รับสิ่งตอบแทนให้สมกับความดีที่กระทํา ราชาก็ตระหนักได้ดีว่าอาร์คต้องการอะไรจึงเข้ามาใกล้

[สิ่งที่เจ้าทํานั้นสําคัญกับพวกเราเกินจะกล่าวได้หมด]

“ชมผมเกินไปแล้วครับ”

อาร์คตอบรับอย่างรู้งาน แม้เขาจะเป็นวีรบุรุษ แต่ก็ไม่มีเหตุผลอะไรต้องแสดงออกจนเกินไป ถึงตอนนี้ทุกคนในเมืองต่างก็ทราบกันดีอยู่แล้ว ย่อมเป็นปกติที่เขาจะได้รับความชื่นชอบจากเอ็นพีซีทั้งหมดในเมือง ราชาแห่งโอเบเรียมเริ่มพูดต่อด้วยคําที่เขาคิดอยากได้ยิน

[หาได้เกินเลยแต่อย่างใด การกระทําของเจ้าสมควรแก่การยกย่อง]

“ไม่ต้องพูดถึงขนาดนั้นก็ได้ครับ…”

[เจ้ายังไม่เข้าใจถึงสิ่งที่ทําเพื่อพวกเรา เจ้าคงไม่อาจจินตนาการถึง เจ้ายังไม่ทราบว่าความเจ็บปวดที่ต้องอยู่บนโลกนี้หลายร้อยปี โดยจมอยู่แต่ในความสิ้นหวังนั้นเป็นอย่างไร]

ราชาแห่งโอเบเรียมมองลงจากระเบียงไปยังเมืองด้วยความเจ็บปวด เขากลับไปนั่งที่บัลลังก์ซึ่งนั่งอยู่เช่นนั้นมาหลายร้อยปี โดยมีซากของโอเบเรียมประดับฉาก ตอนที่โอเบเรียมโดนรือวิกเจนส์เบิร์กใช้คําสาปเข้าใส่ ราชาแห่งโอเบเรียมก็นั่งอยู่ที่บัลลังก์ทั้งยังร้องไห้จนเป็นสายเลือดที่ต้องพบเห็นจุดจบอาณาจักรของตนเอง ความโกรธแค้น ความสิ้นหวัง ทั้งหมดมันระอุภายในหัวใจของเขาจนเป็นผลให้เกิดออร่ามืดภายในใจและต้องกลายเป็นตัวตนที่ไร้เกียรติมาหลายร้อยปี เขานั่งอยู่บนบัลลังก์แห่งนี้และมองภาพซ้ําเดิมมานานหลายร้อยปี มันเป็นความเจ็บปวดเกินยอมรับ และนี่ก็คือส่วนที่น่าสะพรึงที่สุดของเวทมนตร์คําสาปที่ถูกใช้งาน ราชาแห่งโอเบเรียมเผยน้ําเสียงเศร้าไม่น้อยขณะเริ่มอธิบายกับอาร์ค

[แม้คําสาปถูกปลดปล่อยออกแล้ว แต่ความเจ็บปวดยังคงฝังลึกภายในตัวข้า ไม่สิ ข้ายิ่งรู้สึกผิดกับเมืองแห่งนี้ทุกครั้งที่จดจํามันได้ต่างหาก]

“คือ…”

อาร์คพยายามเก็บงําสีหน้าจนส่งผลให้ราชาแห่งโอเบเรียมหัวเราะออก

เจ้าไม่ต้องเผยสีหน้าเช่นนั้น ราชาของอาณาจักรที่ต้องล่มสลายย่อมต้องรู้สึกเจ็บปวด ถ้าหากข้าไม่อาจทานทนความเจ็บปวดนี้ ประชากรของข้าคงรู้สึกแย่ตามไปด้วย ตอนนี้คําสาปถูกปลดปล่อยออกแล้ว ออร่ามืดที่กักขังพวกเราก็หายไปเช่นกัน แม้ข้าจะอยากมอบสิ่งตอบแทนที่กอบกู้โอเบเรียมจากความมืด แต่ขากลับไม่มีสิ่งใดจะมอบให้…]

กล่าวตามตรง อาร์ครู้สึกโกรธแค้นความมืดที่รุกรานโอเบเรียมอย่างแท้จริง ท้ายที่สุดเขาจัดการความมืดไปอย่างยากลําบากโดยจะไม่ได้รับเงินเลยสักนิด? ตอนที่ได้ยินเรื่องราวของคําสาปแห่งความมืด เขารู้สึกโกรธจริงๆ แต่ไม่ว่าเขาจะโกรธเพียงใด สมบัติที่เสียไปก็ไม่อาจนํากลับคืน ไม่ช้า ราชาแห่งโอเบเรียมเริ่มพูดเสียงเบาออกมาคล้ายเผลอคิดแล้วพูดออก

[ถ้าหากจะมีสมบัติหลงเหลือ ข้าน่าจะนํามาเป็นของตอบแทนเจ้าได้]

“ไม่มีอะไรเหลือแล้วจะพูดทําไมกัน?”

อาร์คขมวดคิ้วจ้องมองราชาแห่งโอเบเรียม ชัดเจนว่าราชาตรงหน้านี้ไม่มีอะไรจะมอบให้เขาแม้เหรียญครึ่งเหรียญ อาร์คที่เผลอคาดหวังก็อดไม่ได้ที่จะต้องหดหู

“พูดแล้วได้อะไรขึ้นมา… เอาเถอะ ไม่ได้ก็ไม่ได้ อย่างน้อยก็ไม่ได้มานี่เพื่อตั้งใจช่วยพวกเขาแต่แรก ได้เท่าที่ได้ตอนนี้ก็น่าพอใจไม่น้อยแล้ว”

อาร์คถอนหายใจ ยังไงตอนนี้สถานการณ์ก็นําพาไปในรูปแบบที่เขาจะไม่ได้รับสิ่งตอบแทน แม้จะโมโหอยู่บ้าง แต่พอมองสภาพพวกเขาแล้วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเวทนา

[โอ้ จริงด้วย เหมือนยังมีวิธีอยู่]

อาร์คที่ถอดใจไปครึ่งแล้วพลันดวงตาต้องเบิกกว้างเพราะคําพูดของราชาแห่งโอเบเรียม

“อะไรกัน? ท่าที่ตอบสนองแบบนี้? หรือจะมีอะไรเข้าท่าให้? เมืองใหญ่ขนาดนี้ฟังไปก็ต้องมีอะไรหลงเหลือบ้างสินะ!?

อาร์คมองไปยังราชาแห่งโอเบเรียมด้วยความคาดหวังอย่างเต็มเปี่ยม แต่ถ้อยคําถัดไปก็ต้องทําให้เขาตกใจไม่น้อย

[ความจริงแล้วโอเบเรียมได้มีการจัดทําสถานที่ฝังศพเหล่านักรบไว้ในหลุมฝังศพใต้ดิน และการฝังนั้นก็พร้อมกับอุปกรณ์ที่พวกเขาเคยใช้ไปด้วย ตําแหน่งของหลุมฝังศพใต้ดินเป็นความลับ และน่าจะไม่ได้รับผลกระทบใดจากความมืด เพราะงั้นไม่น่าจะมีสิ่งใดบุบสลาย นี่ก็เป็นเวลาหลายร้อยปีแล้ว แต่ยังน่าจะพอมีมูลค่าอยู่บ้าง บรรพบุรุษจะต้องเข้าใจและยอมมอบสิ่งของเหล่านั้นให้แน่หากทราบเรื่อง เดี๋ยวข้าจะทําการปลดผนึกของหลุมฝังศพใต้ดินนั่นให้…]

“ดะ เดี๋ยวก่อนครับ!”

อาร์คตะโกนออกมาคล้ายโดนไฟลนก้น ให้ไปหาความร่ํารวยจากหลุมฝังศพใต้ดิน? ไม่ใช่ว่าอาร์คหยิบฉวยพวกมันมาหมดแล้วหรือยังไงกัน? หลุมฝังศพใต้ดินแห่งนั้นอาร์คสํารวจจนทั่วหมดแล้ว และอาร์คก็ต้องเหนื่อยยากเพราะพวกมันเช่นเดียวกัน และบุคคลที่เข้ามายังโอเบเรียมแห่งนี้ยังมีแค่อาร์ค หากราชาแห่งโอเบเรียมทราบว่าสิ่งของภายในนั้นหายไป ถ้าโดนพบเจอเข้า…. ความชมชอบในตัววีรบุรุษของอาร์คได้ดิ่งเหวแน่! ในกรณีที่เลวร้าย เป็นไปได้ว่าเหล่าวิญญาณในโอเบเรียมจะเลือกตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขาด้วยซ้ํา

“พวกของที่ได้มาก็โดนคาร์ม่าเปลี่ยนสภาพเป็นของใหม่ไปแล้ว ถ้าพวกนี้รู้เข้าล่ะก็… ไม่ได้!”

ในขณะที่อาร์คร้องโพล่งออกมา ราชาแห่งโอเบเรียมจึงหันมองมาด้วยความสงสัย

[เกิดอะไรขึ้นหรือ?]

“คือว่า…”

อาร์คถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ

“ท่านเข้าใจผิดไปครับ”

[ข้าหรือเข้าใจผิด? อย่างไรกัน?]

“เป็นความจริงที่ผมช่วยโอเบเรียมเอาไว้ แต่ผมทําไปก็เพราะผู้กล้ามาบัน ผมไม่เคยปรารถนารางวัลแต่อย่างใด แน่นอนว่าผมไม่คิดปฏิเสธหากได้รับการเสนอให้รับสิ่งตอบแทน แต่จะให้ผมไปนําสิ่งของที่ฝังพร้อมกับเจ้าของแบบนั้นก็ออก จะน่าละอายเกินไปครับ”

“ใช่แล้ว อาร์คนิมไม่ใช่คนอย่างนั้นแน่นอนครับ การนําเอาสิ่งของที่ฝังพร้อมผู้ตายไป… หากจะมีใครกล้าหยิบฉวยสิ่งของเหล่านั้น ก็นับว่าเป็นเศษเดนมนุษย์แล้วครับ ได้โปรดเข้าใจอาร์คนิมด้วยนะครับ”

บุคซิลเลือกหัวเราะแล้วส่งสายตามองทางอาร์ค แม้ความดันโลหิตของเขาจะสูงขึ้นเพราะคําพูดเมื่อครู่ แต่อาร์คก็ต้องหัวเราะกลบเกลื่อนแล้วพยักหน้ารับ

“ใช่ครับ ผมทําความดีไม่ได้หวังผลอะไรขนาดนั้นอยู่แล้ว”

ราคาร์ด บุคซิล และแบกิวต่างเผยสีหน้าคล้ายอยากอาเจียนกันออกมากับคําพูดหน้าไม่อาย สถานที่แห่งนี้คือบ้านเกิดของราซาค เพราะงั้นแล้วอีกฝ่ายจึงเลือกถอนหายใจหลบมุม ทางด้านราชาแห่งโอเบเรียมไม่เข้าใจเบื้องลึกเบื้องหลังจึงต้องเผยความนับถือออกมา

[สมแล้วที่เป็นผู้สืบทอดของผู้กล้ามาบัน]

ราชาแห่งโอเบเรียมพูดออกทั้งเผยสีหน้าคล้ายนึกถึงเรื่องราวเก่าก่อน

[แม้ความทรงจําของข้าจะกระจัดกระจายไปหลังความตาย แต่ข้าก็ยังพอมีหลงเหลืออยู่ ก่อนอาณาจักรแห่งนี้จะต้องคําสาป ข้าได้ตระเตรียมกองทัพอันเกรียงไกร มันคือการต่อสู้อันทรงเกียรติที่จะกระทําเพื่อชนรุ่นหลัง การต่อสู้กับความมืดมิด หลังจากเมืองนี้กลายเป็นซากปรักหักพัง ไม่มีผู้ใดกล้ามาเยือนที่นี่เพราะคําสาปที่อยู่ทุกหนแห่ง แต่นับว่าเกินกว่าที่ข้าคาดคิดนัก พวกเราถึงกับลืมเลือนเรื่องราวส่วนนี้ไป]

[มีแค่หนึ่งคนเท่านั้น หนึ่งคนที่ยังจดจําพวกเราได้ ผู้กล้ามาบัน… เขาไม่ลืมเลือนพวกเรา เขาถึงกับยอมใช้ชีวิตของตนเพื่อค้นหาวิธีการช่วยเหลือพวกเรา]

สีหน้าของอาร์คต้องเปลี่ยนไปอีกครั้งเพราะคําพูดของราชาแห่งโอเบเรียม ผู้กล้ามาบันเสียสละชีวิตตัวเองเพื่อช่วยเหลือวิญญาณที่ถูกทอดทิ้งเหล่านี้

“เงินก็คือพลัง ตอนแรกเขาคิดแต่แบบนี้ แต่ความรู้สึกลึกล้ําก็ต้องประทับลงไปหลังได้ยินคํากล่าวของราชาแห่งโอเบเรียม เขาภูมิใจที่ได้รับสืบทอดอาชีพของผู้กล้ามาบัน

“ความจริงแล้ว รายละเอียดผมไม่ทราบนักนะครับ แต่ดูเหมือนผู้กล้ามาบันได้ใช้ช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตที่นี่”

ราชาแห่งโอเบเรียมพยักหน้ารับคําอาร์ค

[ถูกต้อง เรื่องราวเป็นเช่นนั้น เจ้าไม่จําเป็นต้องพูดกล่าวไป พวกเราต่างทราบดีว่าผู้กล้ามาบันทําทุกวิถีทางเพื่อช่วยเหลือพวกเรา หากกองทัพแห่งความมืดไม่ได้บุกมาที่นี่ พวกเราก็คงได้เป็นหนึ่งในหน้าของประวัติศาสตร์ วิญญาณของพวกเรานั้นต้องแปดเปื้อนและเสียใจจมดิ่งสู่ความสิ้นหวังมานาน เหตุผลที่คําสาปของพวกเราได้รับการปลดปล่อย และได้ฟื้นคืนความทรงจํากลับมาก็เพราะผู้กล้ามาบัน เขาจะยังคงเป็นผู้กล้าแท้จริงในความทรงจําของพวกเราเสมอ ด้วยเหตุนี้ พวกเราจึงไม่รู้สึกเสียใจแม้สักครั้งที่เลือกต่อสู้กับความมืดมิด]

“และตอนนี้ผู้กล้ามาบันก็มีผู้สืบทอดที่น่ายกย่องด้วยใช่ไหมครับ”

บุคซิลเอ่ยเสียงเบายิ่งขณะมองไปยังอาร์ค หลังได้ยินคําดังกล่าว อาร์คก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกระอักกระอ่วน อะไรก็ดีราชาแห่งโอเบเรียมตอนนี้หันมาพร้อมมองไปยังกองทหารที่ตั้งแถวกันอยู่ ทหารเหล่านี้ต่างพยักหน้ารับและมองด้วยความภาคภูมิ จากนั้น ราชาแห่งโอเบเรียมได้จับมือของอาร์คไว้แน่น

ในที่สุดข้าก็จําได้ ข้าจะมอบรางวัลที่เหมาะสมกับผู้สืบทอดของผู้กล้ามาบันให้

“ครับ? รางวัล? แต่ว่า…”

ราชาแห่งโอเบเรียมพยักหน้าให้ แต่อาร์คก็ยังคงไม่เข้าใจว่าหมายถึงอะไร

[มันไม่ใช่สิ่งตอบแทนเป็นรูปธรรม ผู้กล้ามาบันได้ส่งมอบทุกสิ่งอย่างเพื่อช่วยเหลือพวกเรา และเจ้าก็ไม่ลังเลเข้าช่วยเหลือพวกเราเช่นเดียวกัน วันหนึ่ง เจ้าจะต้องต่อสู้กับความมืดมิดแน่ ถึงตอนนั้น พวกเราจะกอบกู้เกียรติยศของพวกเราที่ในอดีตไม่อาจได้รับมากลับคืน]

อย่างกะทันหัน มือของราชาแห่งโอเบเรียมที่กุมมืออาร์คเอาไว้เริ่มร้อนขึ้น พร้อมกัน เสียงกระดิ่งแสดงความยินดีและหน้าต่างข้อมูลก็ปรากฏขึ้น

เพราะ “การแสวงหาความจริง” ท่านได้รับโอกาสเรียนทักษะระดับตํานาน

ทักษะระดับตํานานต้องการใช้ชื่อเสียง 6,000 หน่วย

“ทักษะระดับตํานาน!”

Ark The Legend

Ark The Legend

Status: Ongoing

คิมฮยอนอู เด็กหนุ่มที่ชีวิตเกิดความผลิกผันตั้งแต่ยังวัยรุ่น ชีวิตของเขาประสบความยากลำบากต้องหาเงินเพื่อจ่ายเป็นค่ารักษาพยาบาลสุดแพงของแม่ ขณะที่เขากำลังกัดฟันสู้ชีวิตอยู่ เขาได้รับข้อเสนองานหนึ่งจากบริษัทยักษ์ใหญ่ แต่แล้วเมื่อไปสัมภาษณ์ เขากลับพบว่ามันคือการทดสอบคัดเลือกพนักงานโดยการเล่นเกม แม้จะแปลกไปบ้างแต่เงินก็ดีไม่น้อยเขาจึงตกลงรับมา

เมื่อเข้าเกม อาร์คคือตัวละครที่เขาเลือกสร้าง แรกเริ่มผจญภัยก็ต้องประสบพบเจอความยากลำบากไม่น้อย ผู้เล่นอื่นก็แทบไม่อาจเชื่อใจได้ เขาต้องยืนหยัดด้วยตัวเอง ยิ่งเล่นเกมไปเขาจึงได้พบว่า เกมแห่งนี้หาได้มีอะไรที่เหมือนเกมไม่ ทั้งเอ็นพีซีในเกมที่แทบจะเหมือนมนุษย์จริง ภารกิจที่มีเนื้อเรื่องน่าติดตามอีกทั้งยังยากลำบาก รวมถึงเนื้อเรื่องหลักภายในเกมที่ส่งผลกระทบต่อทั้งเกมก็คล้ายมีความลับอยู่ไม่น้อย และด้วยความที่แทบไม่เชื่อใจผู้อื่นในเกม เขาต้องพยายามฟันฝ่ามันให้ได้ด้วยสองมือของตัวเอง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท