คำพูดที่ไม่เห็นด้วยของติงยียี “นอกเหนือจากงาน ฉันก็ทำแค่เรื่องส่วนตัวของฉันเอง”
ชิวไป๋แปลกใจเล็กน้อย เป็นครั้งแรกที่เธอได้ยินคำพูดเหล่านี้ต่อหน้าศิลปิน เธอเห็นมาเยอะแล้วพวกคนหนุ่มคนสาวที่พอโด่งดังมีชื่อเสียงก็เปลี่ยนเป็นคนเย่อหยิ่งจองหอง เธอแสยะยิ้มมุมปาก รอยยิ้มที่เสแสร้งมาตลอดมีความจริงใจมากขึ้น
“ไปเถอะ”
ทั้งสองคนเพิ่งลงจากรถ ก็มีรถคนหนึ่งขับมาจากด้านข้าง ติงยียีเห็นหน้าคนที่นั่งอยู่ที่เบาะหลัง นั่นคือใบหน้าของคนที่เธอไม่วันลืม
สองมือที่อยู่ข้างลำตัวเธอกำแน่น ตอนนี้เธอแต่งหน้าสวยงาม สวมเสื้อผ้าตามแฟชั่นที่ทันสมัย นั่งรถยนต์หรู และเขา จะมองเธอด้วยความรู้สึกอย่างไร
สายตาเย่เนี่ยนโม่ได้แต่มองผ่านเธอไป จากนั้นก็ละสายตากลับมาอย่างเฉยเมย เธอไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าผลลัพธ์จะเป็นแบบนี้ เธอมองรถยนต์ขับผ่านหน้าตัวเองไปอย่างตกตะลึง น้ำตาคลอเบ้า
“คุณชาย คนเมื่อกี้นั้นคือคุณยียีหรือเปล่าครับ” เย่ป๋อไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็น
เย่เนี่ยนโม่กำลังมองดูตัวเลขทางการเงินในแล็ปท็อป แต่กลับจำตัวเลขไม่ได้เลยสักตัว ผู้หญิงคนนั้นที่เขารักเดินออกมาจากโลกของตนเองที่ซึ่งไม่ได้อยู่ภายใต้การดูแลปกป้องจากตัวเอง เขารู้สึกว่าความรักที่ตนเองมีต่อเธอนั้นเพิ่มมากขึ้นอีกขั้น
“ไปสืบดูว่าเกิดอะไรขึ้น อย่าให้คนที่ไม่หวังดีหลอกใช้” รถยนต์จอด เขาพูดด้วยเสียงขรึม
Bakerมารออยู่ที่สถานที่ก่อสร้างนานแล้ว ข้างกายมีหญิงสาวท่าทางกล้าหาญแบบผู้ชาย ตามมาด้วยหนึ่งคน มองเห็นเขา Bakerส่ายหน้า “เงียบสงบ ไม่มีอะไรเลย”
ไห่โจ๋ซวนที่หมอบอยู่กับBakerพูดว่า “เป็นไปได้มั้ยว่าอีกฝ่ายรู้วัตถุประสงค์ของพวกเรา ดังนั้นจึงไม่ปรากฏตัวออกมา”
สีหน้าเย่เนี่ยนโม่เคร่งขรึม “เป็นไปได้” ตอนนี้ตกอยู่ในความเงียบงันราวกับป่าช้าอย่างนั้น ศูนย์การค้าสากลยุติการก่อสร้างมานานมากแล้ว ถ้าเรื่องนี้ไม่สามารถแก้ไขได้ ต่อให้หลังจากกลับมาก่อสร้างต่อชื่อเสียงก็ยังเสียหายอยู่ดี
“ผมมีหนึ่งตัวเลือก” ไห่โจ๋ซวนพูดพลางชี้ไปทางผู้คนด้านหลัง
เอ้าเสว่สวมชุดกระโปรงสีแดง ผมยาวปลิวไสว ค่อยๆเดินมาจากฝูงชน “ฉันเต็มใจช่วยพวกคุณล่อคนร้ายออกมา”
“ไม่ได้” เย่เนี่ยนโม่ปฏิเสธด้วยจิตใต้สำนึก เธอเป็นลูกสาวของลุงสวีต่อให้เขาจะเกลียดเธอมากแค่ไหน แต่เห็นแก่หน้าของลุงสวีก็ต้องปกป้องเธอเอาไว้
“เนี่ยนโม่ ฉันดูแลตัวเองได้” อ้าวเสว่ตอบด้วยเสียงอ่อนโยนแผ่วเบา รู้สึกอบอุ่นในหัวใจ เขาทำใจไม่ได้ที่จะให้ตนเองไปเสี่ยงอันตรายจริงๆ
เย่เนี่ยนโม่ขมวดคิ้ว ถ้าอีกฝ่ายจะเล่นงานตระกูลเย่ เช่นนั้นอ้าวเสว่ก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดจริง หนึ่งสามารถปกป้องติงยียีเอาไว้ได้ สองจะได้ลองใจอ้าวเสว่
Bakerเห็นว่าบรรยากาศถึงทางตันแล้ว จึงพูดว่า“ไม่เป็นไร ตำรวจของพวกเราจะปกป้องคุ้มครองคุณอ้าวเสว่ตลอดเวลา ดูจากตัวอย่างหลายคนก่อนหน้านี้แล้ว ผู้ต้องสงสัยไม่ได้มีเจตนาถึงขั้นที่จะทำร้ายใคร ดังนั้นก็ปลอดภัย”
“ถ้าเกิดมีอันตราย ต้องถอยหนีทันทีนะ” เย่เนี่ยนโม่พูดด้วยเสียงเข้ม อ้าวเสว่ยิ้มหวาน ก้าวมาข้างหน้าควงแขนเขาไว้ “งั้นตอนนี้พวกเราก็เริ่มแสดงกันเลย”
หนึ่งเดือนทำอะไรได้ บางคนไม่มีอะไรทำเลย บางคนกลับกลายเป็นจุดสนใจ ติงยียีมองภาพโปสเตอร์ขนาดใหญ่ของเธอด้านหน้าประตูโรงแรมอย่างใจลอย
“ทางโรงแรมบอกว่าด้านหน้าประตูใหญ่ของโรงแรมมีแฟนคลับเธออยู่ ดังนั้นอีกเดี๋ยวพวกเราจะไปทางประตูด้านหลัง”ชิวไป๋พูดพลางมองผ่านกระจกมองหลัง
เธอพยักหน้า ความคิดล่องลอยไปอีกครั้ง ชิวไป๋ถอนหายใจเบาๆจนแทบจะไม่ได้ยิน คิดมาตลอดว่าที่ติงยียีไม่สนใจอะไรนั้นเป็นการเสแสร้ง พอได้รู้จักสนิทสนมกันจึงรู้ว่าผู้หญิงคนนี้ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมอะไรเลยสักนิดเดียว ถึงขั้นอาจจะใส่ซื่อไร้เดียงสาเล็กน้อยด้วยซ้ำ
“เธอไม่ได้อ่านข้อมูลสินค้าอีกแล้วใช่มั้ย” ชิวไป๋ถามอย่างเหลืออด ครึ่งเดือนก่อนหน้านี้ เด็กผู้หญิงคนนี้ลืมอ่านข้อมูลผลิตภัณฑ์ ตกใจอ่านชื่อผลิตภัณฑ์ผิด กลายเป็นเรื่องตลกใหญ่โต
“อุ้ย! เร็วเข้า! ฉันลืมไปแล้วจริงๆด้วยค่ะ!” ติงยียีร้องขึ้นมาอย่างตกใจ ชิวไป๋ทำท่าประมาณว่าฉันรู้แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้พร้อมส่งไอแพดให้เธอ
เธอรีบรับไป บนiPadคือข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของบริษัทใหม่ที่ต้องพูดในงานแฟนมีตติ้ง
เธอกวาดตาอ่านอย่างรวดเร็ว บ่นพึมพำในปาก ตรงมุมขวาก็มีกล่องข้อความข่าวโผล่ขึ้นมา เธอกวาดสายตามอง แล้วก็ไม่ละสายตาไปไหนอีกเลย
“ดีไซนเนอร์สาวรุ่นใหม่ไฟแรงแฟนสาวของคุณชายเย่ อนาคตสดใสด้วยการสนับสนุนจากเซี่ยชีหรั่น” ในข่าว อ้าวเสว่หยอกล้อกับเย่เนี่ยนโม่บนเรือสำราญลำหนึ่ง ทั้งสองคนยิ้มอย่างเข้ากันเป็นอย่างดี ราวกับคู่รักที่รักกันมากที่สุดในโลกอย่างนั้น
ภายในใจเธอไม่สามารถสงบเยือกเย็นได้อีก จนกระทั่งรถยนต์ขับเข้ามาที่โรงจอดรถด้านหลังโรงแรม เธอลงจากรถ ก็มีบอดี้การ์ดสองสามคนล้อมเข้ามาทันที พาเธอเดินไปยังห้องประชุม
นี่เป็นงานแฟนมีตติ้งเล็กๆของแฟนเพลงงานหนึ่ง ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังในแวดวงโฆษณา ได้ยินข่าวว่าได้รับเชิญไปเดินแบบที่ปารีส นี่มันเรียกว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์เรื่องหนึ่งเลย
ติงยียีเพิ่งมาถึงสถานที่จัดงาน แฟนเพลงที่อยู่ด้านล่างก็กรูกันเข้ามา สำหรับพวกเขาแล้ว ติงยียีเป็นแบบอย่างที่ดีในการประสบความสำเร็จจากความมานะพยายาม
ติงยียีมือไม้เก้ๆกังๆเล็กน้อย ไม่ว่าตอนที่ถ่ายละครตนเองจะผ่อนคลายมากแค่ไหน แต่เมื่อต้องมาอยู่ท่ามกลางผู้คนเธอก็กลับตื่นเต้นอย่างไม่รู้ตัว
พิธีกรกำลังอยู่ด้านข้างสร้างความสนุก “คุณติงยียีเป็นดาวดวงใหม่ในวงการโฆษณาที่ได้รับความนิยมอย่างยิ่งในตอนนี้ ทุกคนทราบหรือไม่ว่าวันนี้ใครจะมาสร้างสีสันบนเวที”
ผู้คนที่ด้านล่างเวทีต่างก็ตื่นเต้น แสงไฟเปลี่ยนเป็นมืดสลัวลง มองเห็นคนที่เดินตามจังหวะดนตรีออกมา ผู้คนต่างพากันร้องตะโกนอย่างตื่นเต้นดีใจ
“อันหรัน อันหรัน!”
ติงยียีหันหน้าไปมองด้วยความแปลกใจท่ามกลางเสียงตะโกนโหวกเหวก อันหรันยืนอยู่ข้างๆเธอยิ้มพลางทักทายกับแฟนคลับ
“ดูสิว่าอันหรัน จะมีความรู้สึกดีต่อติงยียีของพวกเราหรือไม่ ได้ข่าวมาว่าตลอดห้าปีมานี้มีเพียงวันนี้วันเดียวที่ทำให้อันหรันขอมาปรากฏตัวด้วยตัวเอง!”
คำพูดที่คลุมเครือของพิธีกร ติงยียีไม่ชอบวิธีการพูดที่จงใจทำให้คนฟังสับสนแบบนี้ อยากจะพูดให้กระจ่างชัด มือกลับถูกกุมเอาไว้
อันหรันกุมมือของเธอเอาไว้ ค่อยๆออกแรงเพิ่มมากขึ้น แฟนคลับที่อยู่ด้านล่างเวทีก็ยิ่งส่งเสียงกรีดร้อง เทพบุตรอันดับหนึ่งแห่งวงการบันเทิงเป็นฝ่ายกุมมือของหญิงสาวก่อน นี่จะไม่ให้ผู้คนตื่นเต้นได้อย่างไร
อันหรันยิ้มพลางเอ่ยว่า “ทุกคนครับ ยียีเป็นรุ่นน้องที่ผมให้ความสำคัญมากที่สุด หวังว่าทุกคนจะดูแลต้อนรับให้มากๆ”
เสียงตอบรับจากด้านล่างเวที อันหรันถอยหลัง กระซิบข้างหูติงยียีเบาๆว่า “ผมจะไปเดตแล้ว คุณสู้ๆนะ!”
พูดจบเขาก็โบกมือให้แฟนคลับแล้วเดินกลับไปด้านหลังเวที พิธีกรตั้งสติกลับมาก่อน ร้องตะโกนเสียงดังว่า “เจ้าชายแห่งวงการไปแล้วยังมียียีอยู่นะครับ! ทุกคนมีคำถามอะไรยียีก็จะตอบให้นะครับ!”
ด้านล่างส่งเสียงจ้อกแจ้ก ครู่หนึ่ง มีคนถามว่า “ยียี ได้ข่าวว่าคุณได้รับเชิญไปเดินแบบที่ปารีสจริงหรือเปล่าคะ”
หลังจากผ่านการก่อกวนของอันหรันนั้นแล้ว ติงยียีก็ไม่ตื่นเต้นเลย ยิ้มพลางพยักหน้า โอกาสนั้นมาอย่างกะทันหันเล็กน้อย แต่เธอก็ดีใจมากจริงๆ
แฟนคลับอีกคนถามว่า “ได้ข่าวว่าเมื่อก่อนคุณเคยพักอยู่ในบ้านที่ถูกรื้อถอนไปแล้วซึ่งราคาถูกที่สุดในเมืองตงเจียงจริงหรือไม่”
สถานการณ์โกลาหลวุ่นวายเล็กน้อย ชิวไป๋ที่อยู่หลังเวทีโบกมือให้พิธีกร แสดงความหมายว่าให้เขารีบช่วยกลบเกลื่อนคำถามนี้ไป ยังไม่ทันที่พิธีกรจะพูดอะไร ติงยียีหยิบไมโครโฟนขึ้นมา “ถูกค่ะ เมื่อก่อนฉันกับพ่อพักอยู่ที่นั่น แต่ฉันมีความสุขมาก สิ่งที่ฉันอยากจะบอกก็คือ ทุกคนล้วนมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จ ฉันประสบความสำเร็จแล้ว เชื่อว่าพวกคุณก็จะทำได้เช่นกัน”
แฟนคลับที่เป็นคนตั้งคำถามอึ้งตะลึง จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงปรบมือ เสียงปรบมือดังขึ้นไม่หยุด ติงยียีได้โต้ตอบพูดคุยกับแฟนคลับ จนกระทั่งหลังจากพักครึ่งชั่วโมงเธอจึงมีโอกาสเผ่นออกไปจากงาน
เธอเดินเล่นอยู่ในชั้นนั้นของโรงแรม มองเห็นห้องประชุมที่อยู่ตรงข้ามกับห้องที่จัดงานแฟนมีตติ้งก็ดูเหมือนจะจัดงานประชุมอะไรบางอย่าง มีคนเดินเข้าไปตลอดเวลา
“ได้ยินว่าดีไซน์เนอร์เครื่องประดับใหม่จัดแสดงผลงานเครื่องประดับของตนเอง” ชิวไป๋พูดอยู่ข้างๆ
ติงยียีใจเต้นรัว อดไม่ได้ที่จะก้าวขาเดินไปทางห้องนั้น ภายในห้องมีขนาดสองร้อยตารางเมตร ตรงกลางเป็นเคาน์เตอร์ทรงกลมขนาดใหญ่ ด้านในมีเครื่องประดับอันวิจิตรงดงามวางอยู่
เธอมองไปรอบๆ จิตใจที่เบิกบานหลังจากที่สบตากับสายตาคู่หนึ่งก็หม่นหมองลงทันที อ้าวเสว่ยืนห่างจากเธอไม่กี่ก้าวมองเธออย่างเงียบๆ
เธอกับหล่อน เกิดจากไข่ใบเดียวกัน ใช้ชีวิตไม่เหมือนกันแต่กลับมีความฝันที่เหมือนกัน ที่ไม่เหมือนกันคือ เธอเดินเข้าสู่วงการบันเทิงแล้ว ส่วนหล่อนเข้าสู่วงการเครื่องประดับ
“ยียี!” เสียงแฟนคลับกลุ่มหนึ่งกรูกันเข้ามาจากด้านนอก ชิวไป๋รีบปกป้องติงยียี ตอนนี้สถานการณ์โกลาหลวุ่นวายขึ้นมาในชั่วพริบตา บางคนก็จำได้ว่าเธอคือติงยียีศิลปินที่กำลังโด่งดังอย่างมากในแวดวงโฆษณา
ติงยียีถูกแฟนครับล้อมเอาไว้ สายตาของเธอยังคงประสานอยู่กับอ้าวเสว่ ไม่มีใครยอมละสายออก ก็เหมือนกับเป็นการแข่งขันระหว่างตวามฝัน
สวีเห้าเซิงที่เพิ่งเข้ามามองเห็นติงยียีก็ตื่นเต้นดีใจมากอย่างเห็นได้ชัด “ยียี อยากจะแสดงความยินดีกับเธอมาตลอด แต่ก็กลัวว่าจะสร้างความยุ่งยากให้เธอ”
ชิวไป๋แน่ใจว่าตัวเองเห็นผู้ชายคนที่ไม่เปิดเผยตัวตนคนนี้ในภาพคนที่ติดต่อได้ในครอบครัวของติงยียี แม้จะรู้สึกคลับคล้ายคับคลาว่าเป็นผู้มีชื่อเสียงในแวดวงใดแวดวงหนึ่ง แต่ก็ถามออกมาว่า “สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าคุณกับคุณยียีเป็นอะไรกันเหรอคะ”
สวีเห้าเซิงอยากจะบอกว่าตนเองเป็นพ่อของเธอ แต่พอคิดทบทวนแล้วก็กลัวว่าจะกระทบกับเส้นทางไปสู่ดวงดาวของเธออีก จึงได้แต่ยิ้มๆแล้วพูดว่า “ผมเป็นแฟนตัวยงของเธอ”
คำพูดของเขาทำให้ติงยียีจุกในหัวใจ เธอมองเขาเงียบๆ กลับนิ่งเงียบไม่พูดอะไร ชิวไป๋ถอนหายใจอย่างโล่งอก มาปกป้องติงยียีที่ด้านหน้าเธอ พูดว่า “คุณลุง คุณยียีจัดงานแฟนมีตติ้งที่ฝั่งตรงข้าม อีกเดี๋ยวคุณไปดูได้นะคะ”
ติงยียีมองเห็นเขาไม่มีท่าทีแปลกใจเลยสักนิด ก็เข้าใจได้ในทันที เธอพูดเรียบๆว่า “ความจริงคุณรู้อยู่แล้วว่าวันนี้ฉันจะจัดงานที่ห้องประชุมฝั่งตรงข้ามใช่มั้ยคะ แต่คุณก็กลับเลือกที่จะมาร่วมงานเครื่องประดับของเธอ”
“ยียี!” สวีเห้าเซิงตื่นตระหนกเล็กน้อย เขาติดตามข่าวของติงยียีมาตลอด ก็รู้เรื่องนี้จรงๆ แต่เขาไม่รู้จะพบหน้าเธออย่างไร ก็เลยไม่ได้ไป
ระหว่างทั้งสองคนเหมือนมีถนนที่กว้างใหญ่เส้นหนึ่งขวางกั้นอยู่ สถานการณ์อึดอัดขึ้นมา การปรากฏตัวของใครคนหนึ่งทำลายภาวะชะงักงันนี้ เย่เนี่ยนโม่เดินผ่านข้างติงยียีมาโดยไม่เหลือบมอง อ้าวเสว่เดินมาควงแขนเขาอย่างเป็นเรื่องปกติ
ติงยียีถูกผู้คนห้อมล้อมอยู่ เห็นชัดว่ามีผู้คนรอลายเซ็นจากเธอ แต่กลับเป็นครั้งแรกที่เธอเพิกเฉยแฟนคลับ
สายตาของเธอมองไปที่แขนของเย่เนี่ยนโม่ ด้านบนมีแขนเล็กๆของหญิงสาวอยู่ แหวกแฟนคลับออกมา เธอเดินไปตรงหน้าทั้งสองคน
“ยินดีกับคุณด้วยนะคะ” เธอยื่นมือไปทางอ้าวเสว่
อ้าวเสว่อึ้ง เธอคิดไม่ถึงว่าติงยียีจะกล้าเข้ามาพูดด้วย ครู่หนึ่งจึงเอามือออกจากแขนเย่เนี่ยนโม่ไปจับมือกับเธอ