เธอยื่นภาพวาดไปให้ด้วยความลังเล Alinรับภาพมาดูแวบหนึ่ง จากนั้นก็ตกอยู่ในความครุ่นคิดไตร่ตรอง ติงยียีมองเสื้อผ้าของเขาอย่างกังวลอยู่บ่อยๆ สายตามองที่กระดาษอยู่บ่อยๆ
เธอกังวลจนขนาดที่ลืมหายใจ ทำเพียงเหมือนเครื่องจักรที่เคลื่อนไหวตามการเคลื่อนไหวของเขา นานสักพักใหญ่ ชายแก่ก็เงยหน้าขึ้นมองด้วยเลนส์ข้างเดียวของตาซ้าย “ภาพนี่แย่มาก”
คำตอบเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ ติงยียีถึงแม้ว่าจะรู้อยู่แล้วว่าภาพวาดของตัวเองนั้นไม่มีทางเข้าตาของเขา แต่ว่าก็ยังรู้สึกท้อใจด้วยความผิดหวังอยู่ดี ชายแก่เหลือบมองเธอ ลุกขึ้นมาเอาภาพมาวางไว้บนโต๊ะ หยิบปากกาขึ้นมาเริ่มปรับแก้ต้นฉบับ
ไม่นาน ชายแก่ก็กดปุ่มอินเตอร์โฟน ไม่นานประตูก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น เอเลนผลักประตูเข้ามา “Alin นี่คุณเปลี่ยนความคิดแล้วใช่หรือเปล่า”
เขาเห็นติงยียีที่อยู่ภายในห้องอ้าปากกว้างด้วยความประหลาดใจ ท่าทางนั้นดูค่อนข้างน่าขบขันอยู่บ้าง ชายแก่นำภาพที่เคยผลิตต่อเติมแล้วส่งให้กับเขา “จัดการตามภาพวาดนี้ ทำออกมาให้ฉันภายในระยะเวลาที่เร็วที่สุด”
เอเลนก้มศีรษะกวาดตามองภาพวาด เขาเคยเห็นภาพออกแบบของAlinมาก่อน ภาพนี้ไม่เหมือนภาพก่อนๆอย่างสิ้นเชิง ถึงแม้ว่ามีเส้นลายหลายเส้นที่เป็นลายมือของAlinอย่างชัดเจน แต่ว่าสไตล์ส่วนใหญ่นั้นกลับแปลกแตกต่าง และในห้องนี้นอกจากAlinก็เหลืออยู่อีกหนึ่งคน
Alinเห็นเขายังตะลึงอยู่ โมโหจนเอาไม้เท้าเคาะเสียงดังปั๊ก “ยังไม่รีบไปอีก! งานเดินแบบต้องเริ่มแล้ว!”
“ครับ!” เอเลนตอบรับอย่างรีบร้อน มองติงยียีด้วยความสับสน แล้วถึงจะหมุนตัวกลับจากไป
ชายแก่พอเห็นเขาเดินไปไกลแล้วจึงหันตัวกลับมามองติงยียี พูดว่า: “ก็ถือว่ามีความสามารถอยู่บ้างในประเทศจีนคนที่ฉันนับถือก็มีเพียงนักออกแบบเครื่องประดับที่ชื่อเซี่ยชีหรั่นคนเดียว แม้ว่าคุณขนาดแค่ความรู้ผิวเผินก็ยังสู้เขาไม่ได้ แต่ว่าชนะตรงที่มีไอเดียค่อนข้างดี คุณชื่ออะไร?”
ติงยียีจมอยู่กับความคิดตัวเองไปเรียบร้อยแล้ว ผลงานออกแบบของตัวเองไม่คิดเลยว่าจะถูกผู้เชี่ยวชาญระดับโลกทางด้านสินค้าแบรนด์เนม ให้ความสำคัญ บางทีอีกสักพักคงจะพบว่ามันอยู่บนคอของนางแบบ พอได้ยินAlinถามเธอ เธอก็รีบตอบ: “ฉันชื่อติงยียี”
Alinขมวดคิ้ว “ไม่รู้จัก”
ติงยียีกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เธอยังไม่ทันได้ประสบความสำเร็จก็เปลี่ยนสายอาชีพไปก่อน ถ้ารู้จักเธอก็คงจะแปลกแล้ว ยังไม่ทันที่ใจของเธอจะหมดสิ้นความขมขื่น ชายแก่ก็ยื่นนามบัตรหนึ่งใบให้กับเธอ “ถ้าหากว่าอยากจะเข้าสู่วงการนี้ต่อก็มาหาฉันได้”
ติงยียีตะลึง นามบัตรที่อยู่ในมือเหมือนกับว่ามีน้ำหนักห้าร้อยกิโลกรัม เธอทำได้เพียงมองชายแก่อย่างโง่งม Alinโบกไม้เท้าอย่างไม่พอใจเริ่มจะไล่คน “เอาละเอาละ รีบไปได้แล้ว อย่ามาทำให้ฉันเสียเวลา!”
งานเดินแบบถูกจัดขึ้นได้ตามกำหนด โคมไฟระยิบระยับเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง หันเหสะท้อนบนตัวของนางแบบสวยงามให้ความรู้สึกเหมือนความฝัน เสียงทุ้มต่ำของเพลงบรรเลงเข้าสู่โสตประสาทของผู้คน ด้านล่างเวทีเงียบกริบไร้เสียง ผู้ชมเคลิบเคลิ้มเพลิดเพลินในความสวยงาม
ภายในกลุ่มฝูงชน เย่ชูหวินมองติงยียีไม่เหมือนปกติอย่างเงียบงัน เธอประสบความสำเร็จ เธอได้ยืนอยู่บนเวทีระดับโลกพัฒนาตัวเอง บางทีที่นี่อาจจะมีคนไม่เท่าไหร่ที่รู้จักเธอ แต่ว่าเพียงแค่คนที่มองเห็นความพยายามอย่างยากลำบากของเธอนั้นรู้ดีว่า ความงามสง่าในวันนี้นั้นไม่ได้ง่ายดาย
ด้านหลังเวที ติงยียีจับขอบอ่างล้างมือทั้งสองด้านเอาไว้ ตอนนี้เธอยังรู้สึกขาอ่อนแรงอยู่บ้าง เมื่อสักครู่นี้มองเห็นกลุ่มคนในความมืดขมุกขมัวอยู่เธอก็ยิ่งตื่นเต้นจนหัวใจจะกระโดดออกมา โชคดีที่การเดินในส่วนของตัวเองรับผิดชอบนั้นเสร็จเรียบร้อยแล้วอย่างปลอดภัยไร้ปัญหา
ด้านหลังมีคนเดินมา เธอรีบร้อนถอยออกไป มองผ่านกระจกก็เห็นว่าเป็นส้งน่า ส้งน่ายิ้มให้เธอ เปิดก๊อกน้ำล้างมือ
ติงยียียิ้มตอบกลับ จากนั้นหมุนตัวกลับ กำลังที่จะออกจากประตู ส้งน่าเรียกเธอเอาไว้ เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย กลิตเตอร์บนใบหน้าหลุดออกมาเล็กน้อย “คุณกับคุณชายเย่มีความสัมพันธ์แบบนั้นหรือเปล่า? ”
ติงยียีตะลึง “ทำไมคุณถึงถามแบบนี้?”
ส้งน่ากัดริมฝีปาก ไม่รู้ว่าควรพูดหรือเปล่า ติงยียีและคุณชายตระกูลเย่ ครั้งหนึ่งเคยมีคนเปิดเผยรูปภาพที่ติงยียีกับคุณชายตระกูลเย่อยู่ด้วยกัน ดูท่าทางทั้งสองคนนั้นสนิทสนมกันอย่างมาก และเมื่อก่อนติงยียีก็มีข่าวลือเรื่องความรักกับอันหรันนักแสดงยอดเยี่ยม นี่ก็เลยทำให้คนคิดว่าเป็นการสร้างกระแสอีกครั้งของเธอหรือเปล่า
“ยังมีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”ติงยียีมองเธอที่เหมือนว่าจะมีคำพูดอยากจะพูด แต่ว่าท่าทางอดกลั้นอย่างสุดความสามารถนั้นทำให้เป็นฝ่ายเอ่ยถามขึ้นมาก่อน
ส้งน่าปิดก๊อกน้ำ เสียงน้ำหยดกระทบในอ่างล้างมือ ทำให้เกิดเสียงก้องกังวาน เธอส่ายหน้า “ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่เรื่องซุบซิบเรื่องหนึ่ง คุณรู้เรื่องคุณชายเย่จะแต่งงานพรุ่งนี้หรือเปล่า? ”
ภายในหัวใจติงยียีตกตะลึง ทันใดนั้นเองเธอรู้สึกว่าประสาทสัมผัสทั้งห้าของตัวเองทั้งหมดถูกปิด หูฟังไม่ได้ยิน ดวงตาก็มองไม่เห็น มีแค่เพียงสมองเท่านั้นที่ยังทำงานอยู่
เธอถอยหลังไปสองก้าว ด้านหลังพิงกับกระเบื้องเย็นเฉียบ เธอสั่นสะท้านอย่างกะทันหัน “คุณพูดว่าอะไรนะ พูดอีกครั้งสิ”
ส้งน่า มองเธอที่มีท่าทางไม่อยากจะเชื่อ ในใจนั้นก็เกิดความหวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย เธอเคลื่อนตัวไปยังประตู “ฉันได้ยินมาว่าเขากับนักออกแบบเครื่องประดับผู้หญิงคนหนึ่งจะแต่งงานกัน ฉันยังมีธุระอีก ขอตัวก่อนนะ”
ส้งน่าเดินออกไปอย่างรีบร้อน ติงยียีมองแผ่นหลังของเธอด้วยความสับสน และหันศีรษะกลับมาด้วยความสับสน เธอในกระจกแต่งหน้าค่อนข้างจัด การแสดงออกท่าทางของเธอตอนนี้มีความค่อนข้างอัปลักษณ์
เย่เนี่ยนโม่จะแต่งงาน? เย่เนี่ยนโม่จะแต่งงาน? ขาทั้งสองข้างของเธออ่อนแรง ความคิดสับสนอลหม่าน กำลังประคับประคองเอาไว้ไม่อยู่ เธอค่อยๆนั่งลงไปพิงกำแพงที่เย็นเฉียบ
ตอนที่ชิวไป๋พบเธอก็ตกใจอย่างมาก รีบร้อนเข้าไปในห้องน้ำ “คุณทำไมมานั่งอยู่ตรงนี้ละ ฉันตามหาคุณอยู่ตั้งนาน”
ติงยียีประหลาดใจเหมือนว่าอยู่ในความฝันอย่างกะทันหัน เธอจ้องมองเธอ พูดออกมาทีละประโยค: “คุณรู้อยู่แล้วใช่หรือเปล่า?”
“รู้เรื่องอะไร?”ชิวไป๋มึนงงสับสน เห็นสายตาที่อกสั่นขวัญหายของเธอ ในใจของเธอนั้นตึกตักตกใจ
ติงยียีจับแขนของเธอแน่น จนกระทั่งเล็บมือฝังเข้าไปในผิวของเธอ “เย่เนี่ยนโม่กับอ้าวเสว่จะแต่งงานกันใช่ไหม?”
ชิวไป๋มองเธอด้วยสีหน้าสับสน เธอรู้สึกว่าส่วนหัวของตัวเองนั้นหนักอึ้งไม่อยากทำร้ายผู้หญิงคนนี้ที่อยู่ตรงหน้า แต่กลับไม่มีหนทางที่จะให้เธอไม่รับความทุกข์ใจ
“ยียี คุณฟังฉันนะ คุณชายเย่ทำแบบนี้คงจะมีเหตุผลของเขาเอง ไม่ใช่แต่งงาน เพียงแค่หมั้น”ชิวไป๋พูดอย่างยากลำบาก เพียงแค่อยากจะลดความเจ็บปวดลงให้ต่ำที่สุด
ติงยียีก้มหัวลง น้ำตาเอ่อล้นพร่ามัวดวงตาทั้งคู่ ตาลาย ทำให้ใบหน้าของเธอค่อนข้างดูน่าขำ เธอก้มหัวลงร้องไห้เงียบๆ
ชิวไป๋ไม่รู้ว่าจะปลอบเธอได้อย่างไร เธอตบไหล่ของเธอ “ปล่อยวางหน่อย”
“ฉันจะไปหาเขา!”ติงยียียืนขึ้นพร้อมกับร้องออกมาทันที เธอถอดรองเท้าส้นสูงออก วิ่งไปข้างนอกด้วยสายตาแน่วแน่ ชิวไป๋หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาอย่างรีบร้อน
วันนี้ที่ชั้นห้าของโรงแรมตี้เหาไม่เปิดต้อนรับบุคคลภายนอก และน้อยคนที่รู้ว่าวันนี้ตระกูลเย่จะจัดงานมงคล ผู้ที่ถูกเชิญมาทั้งหมดเป็นนักธุรกิจชั้นนำในแวดวงการเมืองและนักธุรกิจรายย่อย ที่จอดรถของโรงแรมเต็มไปด้วยรถหรู นี่ก็เพียงพอที่จะอธิบายได้ว่างานแต่งงานที่ไม่ธรรมดานี้มีเส้นสายเบื้องหลังแผ่ขยายไปกว้างไกลเพียงใด
เซี่ยชีหรั่นมองอ้าวเสว่ในกระจกที่แต่งตัวอ่อนหวานงดงาม ถอนหายใจพูดว่า: “เพราะว่าเวลาค่อนข้างรีบเร่ง คุณก็ตั้งครรภ์อยู่ ดังนั้นเลยไม่สามารถหาสถานที่ที่ดีกว่านี้ในต่างประเทศได้ การหมั้นในครั้งนี้ทำให้ตัวเธอลำบากไม่น้อย รอตอนวันงานแต่งงานพวกเราค่อยมาดูกันอีกทีว่าจะไปที่ไหนดี”
“คุณน้าเซี่ย ที่หนูสามารถจัดงานหมั้นกับเนี่ยนโม่ได้ หนูก็ดีใจมากแล้วค่ะ หนูไม่สนใจว่าจะจัดที่ไหน เพียงแค่อีกฝ่ายเป็นเขาก็พอแล้ว”อ้าวเสว่ลูบท้องที่ค่อยๆเห็นชัดเจนขึ้นใต้ชุดแต่งงาานเจ้าสาวที่เป็นชั้นๆเบาๆ ยิ้มด้วยใบหน้าหวานชื่น
สวีเห้าเซิงที่อยู่ข้างๆพูดด้วยรอยยิ้ม “ยังเรียกน้าเซี่ยได้ยังไง?”
อ้าวเสว่ตะลึง สักพักถึงจะตะโกนเรียกด้วยความดีใจ “แม่!”
เซี่ยชีหรั่นตบไหล่ของเธอด้วยความรัก ทันใดนั้นเหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้เลยพูด: “ใช่แล้ว ยียีแม่ของเธอไม่มาเหรอ?”
สีหน้าของอ้าวเสว่มีความแข็งค้าง เธอฉีกยิ้ม “ตอนนี้แม่อยู่ต่างประเทศรีบกลับมาไม่ทัน อีกอย่างนี่เป็นแค่การหมั้น ก็เหมือนๆกัน”
เซี่ยชีหรั่นพยักหน้า และพูดกับเธออีกหลายประโยค ถึงจะออกไปด้านนอก นอกห้องเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความสุข ลมพัดผ่านบริเวณหูของเซี่ยชีหรั่น เสยผมของเธอขึ้นมา
ด้านหลังเกิดเสียงย่างก้าวที่มั่นคงแน่วแน่ดังเข้ามา เธอไม่ได้หันศีรษะกลับไป ก็เยื้องกรายเข้าไปอยู่อ้อมกอดอันอบอุ่นของผู้ชายได้อย่างเป็นธรรมชาติ เย่เชินหลินจูบผมสลวยของเธอ น้ำเสียงทุ้มต่ำ “เป็นอะไรไป?”
เซี่ยชีหรั่นส่ายหน้า เธอหมุนตัวมาจ้องมองเขาอย่างลึกซึ้ง พวกเราแก่กันหมดแล้ว เขามีผมหงอกแล้ว เธอก็มีรอยย่น เธอสามารถรู้สึกได้ถึงกาลเวลาที่เปลี่ยนแปลงไป เธอกำลังแก่ตัว แต่น่าอัศจรรย์ที่เธอไม่กลัวเลยสักนิด
การที่คุณรู้ว่าบนเส้นทางชีวิตนั้นมีคนคนหนึ่งที่จะอยู่ข้างกายคุณไปตลอด อยู่กับคุณจนแก่เฒ่า อยู่กับคุณไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าอย่างนั้นการแก่ตัวไปก็ไม่ใช่ว่าจะทรมานขนาดนั้น ในทางกลับกันอาจจะเป็นธรรมชาติแบบหนึ่ง ที่อยู่ในสถานการณ์ของความปลื้มปีติยินดี
“ขอบคุณมาก”เสียงของเซี่ยชีหรั่นสะอึกสะอื้นเล็กน้อย ความจริงแล้วเธอมีเรื่องอยากจะพูดมากมายเยอะแยะไปหมด มือข้างหนึ่งทัดผมของเธอไว้ที่หลังใบหู น้ำเสียงของเย่เชินหลินผ่อนคลาย “รอให้วันนี้ผ่านไปก่อนแล้วฉันจะไปต่างประเทศไปผ่อนคลายกับคุณ”ทั้งสองคนใบหน้าแนบชิด โทรศัพท์มือถือของเซี่ยชีหรั่นก็ดังขึ้นมา เป็นข้อความจากโม่เสี่ยวจุนและไห่ฉิงฉิงที่ส่งมา ในข้อความบอกว่าโชคดีที่เจอผู้เชี่ยวชาญทางด้านโรคหัวใจที่แคนนาดา เลยทำให้กลับไปไม่ทัน ทำได้แค่ส่งข้อความมาอวยพรเย่เนี่ยนโม่เท่านั้น
เซี่ยชีหรั่นถอนหายใจ “หวังว่าครั้งนี้ชูหวินจะปลอดภัย”
เย่เชินหลินมองเธออารมณ์ไม่ดี พูดอย่างไม่แสดงอารมณ์: “จิ่วจิ่วมาถึงหรือยัง?”
พูดถึงจิ่วจิ่ว อารมณ์ของเซี่ยชีหรั่นก็ดีขึ้นมาบ้าง “เนี่ยนโม่บอกว่าแจ้งไปแล้ว หมิงเย้าเองก็น่าจะมาด้วยกัน”
ตระกูลเหยน
จิ่วจิ่วมองลูกชายที่นอนหลับกางแขนขาอยู่ก็ถอนหายใจ เมื่อก่อนเธอคิดว่าลูกชายของอ้าวเสว่สาวน้อยคนนั้น แต่ว่าช่วงนี้ไม่เห็นเขาจะพูดถึงเธอเลย ไม่คิดเลยว่าตอนนี้สาวน้อยคนนั้นจะหมั้นกับเย่เนี่ยนโม่ ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ค่อยชอบผู้หญิงคนนั้น แต่ว่าถึงอย่างไรนั่นก็เป็นเรื่องของคนในครอบครัวคนอื่น
“ลูกชาย ลูกชายตื่นเถอะ”จิ่วจิ่วเข้าไปใกล้ก็ได้กลิ่นเหล้าปะทะเข้าเต็มหน้า เธอขมวดคิ้ว ช่วงนี้ก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ไอ้เด็กตัวเหม็นคนนี้ถึงชอบดื่มเหล้านัก
“แม่ ให้ผมนอนต่ออีกหน่อยเถอะ”เหยนหมิงเย้าเอาผ้าห่มมาคลุมหัว สมองเซื่องซึม ในความฝันนั้นเขาได้กลับไปช่วงบ่ายวันนั้น อ้าวเสว่สุดท้ายก็ตอบตกลงว่าจะออกไปเที่ยวกับเขา
เด็กน้อยสองคนบินลงกำแพงของประตูโรงเรียน เขานั้นมีความกลัวอยู่บ้าง อ้าวเสว่มองเขาด้วยสีหน้าดูถูก “นายนี่มันขี้ขลาดจริงๆ”
เธอพูดไปด้วยพร้อมกับดึงมือของเขาไปด้วย บ่นพึมพำ: “ฉันจับมือนายคุณแล้วกระโดดลงไป แบบนี้ก็ได้แล้วเนอะ”