เมื่อกลับมาถึงเรือนแล้ว ติงยียีก็เตรียมที่จะแพ็คสัมภาระ สีหน้าของเอเลนไม่ค่อยดีนัก ” เธอจะไปตามหาผู้ชายคนนั้นจริงๆเหรอ อยู่ที่นี่ไม่ดีกว่าเหรอ? ”
” เอเลนอย่าโวยวายไปหน่อยเลย ตอนนี้ฉันยุ่งอยู่นะ ถ้าเจอเขาแล้วเดี๋ยวฉันจะกลับมาเองนั่นแหละ ” ติงยียีรีบจัดเก็บสัมภาระ แค่เธอนึกถึงช่วงเวลานั้นทีเย่ชูหวินต้องอยู่คนเดียวอย่างโดดเดี่ยวในเมืองใดเมืองหนึ่งที่ไม่ใช่ประเทศบ้านเกิดเมืองนอนเพื่อตามหาเธอ แค่นี้เธอก็รู้สึกแย่จนแทบจะไม่ไหวแล้ว
เอเลนมองเธอจากข้างหลังแล้วก็หัวร้อนขึ้นมา ” ถ้าเธอไปแล้วก็ฉันจะเอาเครื่องทั้งหมดไปบอกไอ้หนุ่มจีนคนนั้น ”
แย่ล่ะ!พอคำพูดออกจากปากไปเขาก็รู้ตัวว่าพลาดแล้ว ” ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นนะ ”
ติงยียีถอนหายใจ เธอวางเสื้อผ้าที่เตรียมจะจัดลงแล้วหันมาหาเขา ” เอเลน รักไม่ใช่การครอบครอง ความสุขของคุณไม่ได้ขึ้นอยู่กับฉัน ”
” ความสุขของผม คุณให้ผมได้อยู่แล้ว ” เอเลนมองเธอด้วยความดื้อรั้น แววตาบ่งบอกถึงความทะเยอทะยานยังไม่มีที่สิ้นสุด
ติงยียีไม่รู้ว่าจะต่อปากต่อคำกับเขายังไง จึงได้แต่พูดความในใจของตัวเองทั้งหมดออกมา ” ถ้าฉันอยู่กับคุณหลังจากนี้แล้วไม่ให้คุณไปยุ่งกับผู้หญิงคนอื่น ทุกวี่ทุกวันจะต้องอยู่แค่กับฉันคุณจะยอมไหม? ”
เอเลนพูดไม่ออก เขาไม่เคยนึกถึงปัญหานี้มาก่อน เขาคุยโวโอ้อวดมาตลอดว่าคนฝรั่งเศสนั้นโรแมนติก ต้องใช้ชีวิตอยู่กับคนคนหนึ่งตั้งหลายสิบปี แถมคนคนนั้นก็จะแก่ลงเรื่อยๆ และทั้งคู่ก็จะทะเลาะกันเพียงแค่เรื่องเล็กๆ เขาเคยเอาแต่กีดกั้น ตอนนี้เขาไม่เคยนึกถึงมันเลย
ติงยียียิ้มแล้วตบที่ไหล่ของเขาเบา ” คุณน่ะ เป็นคนประเภทโรแมนติกอยู่แล้ว ส่วนฉันเป็นคนที่อยู่กับโลกแห่งความจริงยังไงล่ะ ”
” ถ้างั้น คุณไปนานแค่ไหนถึงจะกลับมาล่ะ? ” เขารีบถาม
ตัวติงยียีก็ไม่รู้เหมือนกัน เธอส่ายหน้า ทันใดนั้นก็มีเสียงของใครมาเคาะประตู และเป็นเสียงพูดที่สุภาพของเย่ป๋อ ” คุณยียี? ”
ใจติงยียีแทบตกไปอยู่ตาตุ่ม ทำไมเธอถึงลืมนะว่าเย่เนี่ยนโม่ให้เย่ป๋อคอยจับตาดูตัวเองอยู่? เธอจึงรีบวิ่งไปกลางห้อง แล้วเก็บสัมภาระบนเตียงยัดเข้าไปใต้เตียงทันที
เย่ป๋อมองท่าทีหืดหอบของติงยียีด้วยความสงสัย และมองไปยังเอเลนที่ดูไม่สดใสพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ ” คุณยียีไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ ”
” ฉันไม่เป็นไร! ” ติงยียีตอบกลับอย่างเรียบร้อย ” คุณมาหาฉันมีเรื่องอะไรเหรอ? ”
เย่ป๋อพยักหน้า ” นี่คือของขวัญที่คุณชายมอบให้คุณนะครับ ”
ในขณะที่พูดเขาก็กวาดตามองไปรอบห้อง สักพักจึงจะโค้งตัวลงให้ติงยียีด้วยความสุภาพแล้วจากไป เขารู้สึกว่าคุณยียีจะต้องมีแผนอะไรแน่
เมื่อประตูปิดลง ติงยียีก็เปิดกล่องของขวัญดู เป็นเครื่องสำอางชุดหนึ่ง ของขวัญของเย่เนี่ยนโม่ต้องเป็นของราคาแพงอย่างแน่นอน แต่เธอก็วางมันลงบนโต๊ะอย่างไม่แยแส และกลับไปที่เตียงเพื่อจัดเก็บสัมภาระต่อ
” ผมรู้สึกว่าเขาคงไม่ปล่อยคุณไปง่ายๆ ” เอเลนที่ยืนอยู่ข้างหลังเธอพูดออกมาเบาๆ
ท่าทีที่เก็บสัมภาระของติงยียีดูชะงักลงไป ปัญหานี้เธอพอจะนึกออกแล้ว ว่าจะต้องหลบหนีจากคนของตระกูลเย่ได้ยังไง?
เอเลนมองคิ้วสวยของเธอที่ขมวดแน่ ในดวงตาทั้งสองเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม เขาจึงถอนหายใจ ” ในเรือนนี้ หรือแม้กระทั่งในฝรั่งเศส Alin สามารถคุ้มครองเธอได้ แต่ถ้าออกจากเขตแดนของฝรั่งเศสแล้ว เธอคงต้องพึ่งพาตัวเองแล้วล่ะ ตอนนั้นคนของตระกูลเย่จะต้องพาคุณกลับไป เราคงไม่มีวิธีช่วยแล้ว ”
” ไม่ ฉันมีวิธี ” ติงยียีเงยหน้ามาด้วยท่าทีที่ดูแน่วแน่ เหมือนมีความคิดอะไรดีๆ เกิดขึ้นแล้ว
ตอนย่ำค่ำ สุนัขที่ทิเบตันแมสติฟฟ์ ตัวหนึ่งกำลังเล่นอยู่ที่สนามหญ้าด้วยความเพลินใจ คนรับใช้ที่เดินผ่านไปผ่านมาก็ดูคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดี แต่ละคนเดินผ่านก็จะหยุดฝีเท้าสักพัก มีหลายคนที่อยากจะลูบไล้แพนด้า แต่ก็มักจะโดนแยกเขี้ยวยิงฟันพร้อมเห่าใส่เสมอ
” พี่เย่ครับ คุณติงยียีออกจากเรือนแล้ว เราต้องตามไปไหมครับ ” ชายร่างใหญ่ใส่สูทผูกไทที่ยืนอยู่กลางห้องพูดขึ้นมา
เย่ป๋อมองไปยังแพนด้าที่กำลังเล่นอยู่ตรงสนามหญ้า แล้วเลิกคิ้วขึ้น ติงยียีเห็นแพนด้าเป็นคนในครอบครัวมาโดยตลอด เธอคงจะไม่ทิ้งแพนด้าให้อยู่ที่นี่ยังโดดเดี่ยวแล้วจากไปหรอก เขาบอกไม้โบกมือ ” ไม่ต้อง ”
ที่สนามบิน ติงยียีถือบอร์ดดิ้งพาสในมือ ในใจก็หวนคิด ” แพนด้าคงต้องฝากคุณดูแลสักพักนะเอเลน ”
ณ เยอรมัน ในนครมิวนิก ติงยียีเดินผ่านด้านหน้าพระราชวังนึมเฟินบวร์ค สไตล์บาโรกนี้ ทำให้ที่นี่กลายเป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวชอบมาก
เด็กๆต่างพากันวิ่งไปดูหงส์ที่อยู่บนทะเลสาบ น้ำทะเลสาบใสเสริมให้ตัวพระราชวังมีจุดเด่นมากขึ้น เห็นได้ถึงความสวยสดงดงาม
ติงยียีอยู่ที่นี่เพื่อตามหาเย่ชูหวินมาหลายวันแล้ว หลังของเธอมีแบคแพคที่ค่อนข้างหนัก และใบหน้าก็ถูกลมหนาวพัดจนเป็นรอยแดง ในตอนนั้นเองโทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้น เสียงของAlin ก็ดังขึ้นมา ตั้งแต่เธอออกมาจากประเทศก็มักจะได้รับสายพร้อมความพูดแบบนี้ทุกวัน ” เจ้าเด็กนี่ วันนี้ไปไหนอีกล่ะ จะออกมาก็ไม่บอกกันสักคำ ”
” เอาน่าอาจารย์ หนูรู้ว่าคุณเป็นห่วง หนูไม่เป็นไรหรอกค่ะ ” ติงยียีรู้สึกถึงความอบอุ่นในใจขึ้นมา ทำให้ความท้อใจที่ตามหาเย่ชูหวินไม่เจอลดลงไปบ้าง
เสียงของอีกฝ่ายเงียบไปสักพัก Alin บ่นเล็กน้อยแล้วก็พูดว่า: ” หาไม่เจอก็กลับมาแล้วกัน ”
เมื่อวางสายไปแล้ว สุดท้ายสายตาของติงยียีก็มองไปยังสถาปัตยกรรมที่สูงตระหง่านตรงหน้า แล้วเดินทางไปยังเมืองต่อไป นั่นก็คือกรีก
ณ กรีก ด้านหน้าจัตุรัสนาโวนา แสงแรกของวันได้ส่องเข้ามา แสงอ่อนๆ จากดวงอาทิตย์คืบคลานไปทั่วบริเวณนี้ หญิงแก่คนหนึ่งก็พาสุนัขพันธุ์พุดเดิ้ลเดินรอบสนามรูปวงรี ไม่นานนักก็มีคู่วัยรุ่นชายหญิงวิ่งผ่านไป ผมหางม้าเคลื่อนไหวตามอย่างกระฉับกระเฉง
เย่ชูหวินมองภาพทั้งหมดเงียบๆ เขาออกจากประเทศจีนมานานแล้วนี่เนอะ เขาไม่เคยคิดถึงเวลา เพราะสำหรับเขาเวลาไม่ค่อยมีความสำคัญอะไรมากนัก เมื่อมองดวงอาทิตย์ของวันนี้เสร็จแล้ว เขาก็เดินทางออกจากเมืองนี้เพื่อไปยังเมืองต่อไป แล้ววนเวียนไปเรื่อยๆ เพื่อหาใครคนหนึ่ง
เขาเดินไปยังวิหารแพนธีอัน ได้ยินว่าที่นั่นคือสถานที่ที่ทำให้ผู้คนต่างสมหวังได้ เขารู้ว่ามันน่าตลกแค่ไหน แต่ก็ไม่อยากทิ้งโอกาสนี้ไป
เขายืนอยู่ตรงหน้าวิหารแพนธีอัน ด้านหน้ามีพ่อค้ากำลังขายดอกไม้สีม่วงที่ไม่รู้จักชื่อ พวกเขาร้อยมันเข้าด้วยกันจนเป็นกำไลข้อมือเส้นหนึ่ง แล้วก็มีเด็กสาวผิวสีคนหนึ่งหิ้วตะกร้าแล้ววิ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขาด้วยความกระตือรือร้น จากนั้นก็หยิบพวงดอกไม้สีม่วงที่ตอนนี้ถูกร้อยจนเป็นกำไลดอกไม้ส่งให้เขา
เย่ชูหวินรับเอาไว้ เขามองดอกไม้ที่กำลังเบ่งบาน ในใจก็เกิดความสงบ เมื่อจ่ายเงินเสร็จแล้ว เขาก็ไม่ได้เดินไปข้างหน้า แต่กลับหันหลังเพื่อกลับโรงแรมแทน
พอมาถึงหน้าประตูโรงแรม แสงสีส้มก็สาดส่องมาที่ตัวของเขา หญิงสาวที่แบกเป้แบคแพคคนนั้น หางม้าที่มัดขึ้น มีบางส่วนที่หล่นออกจากยางมัดลงมาปรกหน้าและที่แก้มของเธอ เธอขมวดคิ้วเล็กน้อยและพยายามปัดผมออก พร้อมกับพยายามจดจ่อไปยังผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา
บางครั้งในแววตาของเธอมีความรู้สึกผิดหวัง บางทีก็ดูเหมือนจะมีความหวังอีกครั้ง เย่ชูหวินที่ยืนอยู่หน้าร้านกาแฟ เขาไม่ยอมแม้แต่จะย่างขาออกไปไหน เพราะกลัวว่าหากขยับแล้วสิ่งสวยงามตรงหน้าจะไม่ใช่ความจริง
ติงยียีมองผู้คนที่ผ่านไปมาด้วยความเบื่อหน่าย เมื่อวานนี้มีคนสวมชุดดำคนหนึ่งมาหาเธอ แล้วบอกที่อยู่เย่ชูหวินกับเธอเอาไว้ โดยที่ตัวเธอก็ไม่รู้ว่าคนคนนั้นคือคนของอาจารย์หรือคนของตระกูลเย่กันแน่ เธอรู้เพียงแต่ว่าในที่สุดตัวเองก็จะได้เจอเย่ชูหวินแล้ว
แสงอาทิตย์เริ่มจะให้ความรู้สึกแยงตา เธอจึงหรี่ตาลง จนกระทั่งตรงหน้าปรากฏเงาของร่างสูง เย่ชูหวินบังแสงแดดตรงหน้าเธอเอาไว้ แสงแดดลำไลอยู่ด้านหลังของเขา
ติงยียีลุกพรวดขึ้นมา ด้วยความที่ลุกเร็วเกินไปจึงทำให้รู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย ” ชูหวิน! ”
มันเหมือนกับว่าไม่ได้เจอเพื่อนเก่าเพื่อนแก่มาหลายปี น้ำเสียงไม่ได้ดูห่างเหินกันไปแม้แต่น้อย แต่กลับรู้สึกปีติที่ได้พบเจอกันอีกครั้ง ในใจเย่ชูหวินรู้สึกผ่อนคลาย ภายในเสี้ยววิเท่านั้นก็กลับมาบึ้งหน้าเช่นเดิม ” เธอไม่รู้เหรอว่าเป็นผู้หญิงอย่าออกมาเที่ยวข้างนอกคนเดียว มันอันตราย? ”
ติงยียีไม่ได้ตกใจกับน้ำเสียงที่เขาดุมา แต่เธอตอบด้วยความอ่อนโยนว่า: ” ชูหวิน ฉันมาหาคุณแล้ว ”
ภายในห้องหนึ่งของโรงแรม ติงยียีแอบเหลือบตามองเย่ชูหวิน เขาไม่ได้พูดอะไรมานานแล้ว และนั่งนิ่งๆ อยู่แบบนี้ ราวกับเป็นรูปปั้น
เธอยืดเท้าเปล่าลงบนพื้น แต่ทันใดนั้นก็สะดุ้งจนต้องชักกลับไป
เธอขยับเล็กน้อย แต่ก็หลบสายตาของเย่ชูหวินไปไม่ได้ เขาเดินมาจับที่ข้อเท้าของเธอ ก็เห็นว่าฝ่าเท้าของเธอนั้นมีแต่พุพองจนทำให้ตัวเขารู้สึกอัดอั้นตันใจ
” ฉันไม่เป็นไรหรอกน่า แค่เดินเยอะไปหน่อยก็เท่านั้นเอง ” ติงยียีบ่นอุบอิบ ” ถ้าฉันไม่เดินหาก็กลัวว่าจะคลาดกับคุณน่ะ ”
เย่ชูหวินสูดหายใจเข้า เพียงแค่ทำแบบนี้ก็จะสามารถควบคุมตัวเองไม่ให้จูบไปที่ริมฝีปากของเธอได้ ให้ตายสิ เธอรู้ตัวหรือเปล่าว่าเมื่อกี้เธอพูดอะไรออกมา? ทำไมถึงมีผู้หญิงอย่างเธอที่พูดคำพูดไม่กี่คำก็สามารถทำให้ตัวเขารู้สึกระส่ำระสายได้เช่นนี้นะ?
เขาทำหน้านิ่ง จากนั้นก็เปิดตู้แล้วเอาเข็มที่ทางโรงแรมจัดหาให้มาเจาะแผลพุพองของติงยียี ติงยียีปิดปากร้องเสียงเบา เธอมองไปที่หน้าใบหน้าของเขา แล้วรู้สึกทำตัวไม่ถูก
น้ำในแผลถูกไล่ออกมาแล้ว เธอจึงนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงนุ่มหนานั้น และก็แอบมองเย่ชูหวินอีกครั้ง แต่ครั้งนี้สายตาของเขาก็ประสานเข้ามาพอดี
ทันใดนั้น ร่างอันสูงเพรียวของเย่ชูหวินก็โอบล้อมเธอให้เข้าไปในเงามืด เธอทำได้เพียงแค่ถอยหลังเล็กน้อย เขาคุกเข่าลงทางด้านซ้ายของเธอ ร่างนั้นขยับเข้าใกล้เธอมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้ฮอร์โมนของเขาแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ทั้งสองเริ่มใกล้ชิดกัน เพียงแค่ต้องให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเริ่มรุกก่อน ริมฝีปากที่นุ่มนิ่มนี้ถึงจะได้ลิ้มลองความหวานของอีกฝ่าย
เขาอ้าปากเล็กน้อย น้ำเสียงแหบพร่าและทุ้มต่ำนั้นจงใจจะพูดให้ลุ่มหลงพร้อมจู่โจม ” ทำไมถึงต้องมาหาผม? ไหนบอกว่าคุณไม่อยากมีใคร แล้วอยากจะใช้ชีวิตคนเดียวอย่างสงบไม่ใช่เหรอ? ”
” แล้วทำไมคุณถึงอยากตามหาฉัน? ” ติงยียีไม่ตอบแต่กลับถามขึ้นมา
เขานิ่งไป ทันใดนั้นใบหน้าก็ผุดรอยยิ้มที่เป็นประกายออกมา ไม่นานนักรอยยิ้มนั้นก็ดูเหมือนเลือนหายไป ” ติงยียี ผมยอมให้คุณไปที่ไหนก็ได้ที่ผมรู้ แต่ผมอดที่จะไม่รู้ข่าวคราวของคุณไม่ได้ ”
ใบหน้าของเขาแสดงถึงความเจ็บปวด ประโยคสุดท้ายเขาไม่ได้พูดมันออกมา แต่มันยังดังก้องอยู่ในใจของเขาซ้ำๆ เขาทำแบบนี้ เพียงแค่เพราะว่าเขารักเธอจนสุดหัวใจ
” ชูหวิน ” ติงยียีเลียริมฝีปากที่แห้งแตก ทั้งสองอยู่ใกล้กันเกินไปแล้ว มันทำให้เธอรู้สึกอึดอัด ” ในใจของฉันคุณอยู่ในฐานะที่สำคัญมากเลยนะ ”
เธอเห็นว่าสีหน้าของเขาเปร่งประกายขึ้นมา แต่ก็ต้องฝืนใจพูดต่อไป ” สำหรับฉันแล้วคุณเหมือนคนในครอบครัว ถ้าฉันหาคุณไม่เจอ ฉันคงจะเสียใจ ฉันคงจะเศร้ามาก ฉันคงจะตามหาคุณโดยไร้จุดหมาย ”
เธอก้มหน้า มองมือใหญ่นั้นของเขาที่อยู่ข้างซ้ายของตัวเธอ ฝ่ามือของเขาดูเรียวยาวและสวย เล็บยังเป็นสีชมพูและดูสมบูรณ์ ราวกับมือของนักเปียโนอย่างที่มันควรจะเป็น
ผ่านไปสักพัก มือทั้งสองข้างนั้นที่เธอจ้องมองมันได้ชักกลับไป จากนั้นศีรษะของเธอก็รับรู้ได้ว่ามีมือลูบลงมาด้วยความอ่อนโยน พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงที่จำใจว่า ” เธอนี่นะ จะปฏิเสธใครสักคนทำไมต้องอ่อนโยนขนาดนั้นด้วย “