” ฉันไม่ได้โวยวาย ฉันจะไปธนาคารแล้วถอนเงินให้คุณเดี๋ยวนี้แหละ ” ติงยียีดึงผ้าห่มมาปิดเรือนร่างของตัวเอง สายตาก็มองไปยังห้องอาบน้ำ ก็นึกได้ว่าตัวเองเอาเสื้อใส่ลงไปในตะกร้าที่เป็นเสื้อผ้าใส่แล้ว
เย่เนี่ยนโม่มันเข้านึกอะไรได้ขึ้นมา ก็ลุกขึ้น และมองลงไปที่ตัวเธอ แววตาดูนิ่งเฉย แต่แฝงด้วยอารมณ์ที่ดูเร่าร้อน
ติงยียีไม่ยอมให้เขามองลงมา ในใจกลับรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจมาก เธอลุกขึ้นช้าๆ ก่อนจะใช้ผ้าปูที่นอนคลุมตัว และเดินไปทีละก้าวจนตัวเองสามารถขยับเข้าไปในห้องอาบน้ำได้ ในใจก็คิดว่าจะกลับไปใส่เสื้อตัวเดิมที่ถอดก่อนอาบน้ำ
ภายในห้องอาบน้ำ มีเสื้อผ้าชุดใหม่วางอยู่บนอ่างล้างหน้าแล้ว ติงยียีเข้าไปเห็นจึงตกตะลึง และหันกลับไปมองโดยอัตโนมัติ แต่กลับเห็นเย่เนี่ยนโม่หันหลังให้เธอและมองออกไปยังวิวนอกหน้าต่าง
เธอมองผ่านด้านข้างของเขาออกไป ก็เห็นเพียงแค่กำแพงสีแดงและกระเบื้องสีเขียว แต่เขากลับมองมันได้พร้อมตกอยู่ในภวังค์ มันเป็นเพียงแค่ชั่วพริบตาเดียว พอเขาขยับ ติงยียีก็วิ่งพุ่งเข้าห้องอาบน้ำไป
เมื่อได้ยินเสียงปิดประตูดังขึ้น ใบหน้าที่ดูนิ่งเฉยของเย่เนี่ยนโม่ก็รู้สึกเหมือนจะแหลกสลาย มือทั้งสองข้างของเขาที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงนั้นกำเป็นหมัด ใจเต้นเร็วจนเขาไม่สามารถควบคุมได้
ในที่สุดเขาก็ตามหาเธอจนเจอ เขาได้มัดตัวเธอไว้ข้างกายแล้วในตอนนี้ นกที่บินวนอยู่ข้างนอกตอนนี้ได้กลับรังแล้ว ประตูถูกเปิดออก ใบหน้าที่ดูเจ็บปวดแทบจะแหลกสลายนั้นถูกเก็บซ่อนภายใต้ความเงียบอย่างรวดเร็ว
ติงยียีใส่เสื้อผ้าเสร็จแล้ว เสื้อผ้านั้นพอดีตัวอย่างมากจนน่าตกใจ ซึ่งแม้แต่รองเท้าก็ใส่พอดีราวกับวัดออกมาจากตัวคนใส่อย่างไรอย่างนั้น เธอยังคงยืนอยู่หน้าประตูห้องอาบน้ำและไม่กล้าเดินก้าวออกไปข้างหน้าสักเท่าไหร่
” ฉันรู้ว่าตัวเองต้องเสียค่าปรับสิบล้าน ในบัญชีของฉันมีเงินที่พ่อให้ฉันไว้หกล้าน เดี๋ยวฉันจะโอนให้คุณนะ ”
เย่เนี่ยนโม่หันมามองหน้าเธอ ร่างกายสูงใหญ่ที่ดูเด่นชัดและใบหน้าอันหล่อเหลานั้น ประกอบด้วยแสงแดดที่สาดส่องจะข้างนอกเรามาบนตัวเขา ” ตอนนี้ฉันได้อายัติสมบัติที่ลุงสวีให้เธอเอาไว้แล้วล่ะ ”
” จะเป็นไปได้ยังไง นั่นมันบัญชีของฉันนะ “ติงยียีตะโกนออกมาจนเสียงแหบเสียงหาย เงินก้อนนั้นคือเหตุผลว่าทำไมเธอถึงมีความมั่นใจอันแรงกล้าที่จะมายังตระกูลเย่ แล้วเธอก็คิดว่าตัวเองจะเอาตัวออกไปจากเรื่องนี้ได้
สีหน้าของเธอดูผิดหวังขั้นสุด ราวกับว่าตัวเองคือหนูทดลองที่ไม่มีทางหนีออกจากห้องทดลองนี้ได้ และนี่ก็ทำให้ท่าทีของเย่เนี่ยนโม่ที่ดูมีจิตใจแน่วแน่มาโดยตลอดสั่นคลอน เขาก้าวเท้าเข้าไปสองก้าว เห็นว่าเธอถอยหลังตาม ก็ไม่ได้ก้าวเข้าไปต่อ ” ถึงฉันจะยึดเงินหกล้านนั้นเอาไว้ แล้วเงินอีกสี่ล้านเธอจะหามันมายังไงล่ะ? ”
” ฉันทำงานได้! ” ติงยียีพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แต่สายตากลับมองในระดับอกของเขาเท่านั้น
” เหอะๆ ” เขาเริ่มหัวเราะดังขึ้น เย่เนี่ยนโม่ก้าวขาอันยาวของเขา เข้าไปใกล้เธอมากกว่าเดิม มือข้างหนึ่งแฉลบผ่านใบหูของเธอไป พร้อมกับลมโชยอ่อนๆ ที่พัดผ่านจากกระจกใสด้านนอกเข้ามายังด้านหลังของเธอ
” ดูเหมือนว่าฉันจะปกป้องเธอมากเกินไปถึงมีความคิดแบบนี้ หลังจากที่เธอเดบิวต์ รู้ไหมว่ามีคนเท่าไหร่ที่จ้องจะได้ตัวเธอ และรู้ไหมว่ามีคนเท่าไหร่ที่พร้อมที่จะกดขี่เธอ? ”
เสียงของเขาให้ความรู้สึกที่ดูอึดอัด มีกลิ่นมิ้นท์อ่อนๆ ลอยออกมาจากเรียวปาก เขาขยับเข้ามาใกล้ ใบหน้าของเขาไม่มีจุดด่างพร้อยแม้แต่จุดเดียว แต่เรื่องพวกนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่ติงยียีจะสนใจ ในใจของเธอรู้สึกผิดหวังและเศร้าใจแบบแปลกๆ เธอคิดว่าหากตัวเองเป็นคนที่ขยันและพยายาม ก็จะมีสักวันหนึ่งที่สำเร็จ เธอคิดไม่ถึงเลยจริงๆ
อารมณ์ของเธอตอนนี้ในการคาดเดาของเขา เพื่อที่จะดับความคิดนกน้อยที่คิดจะบินออกกรง เขาจึงพูดออกมาช้าๆ ” ถ้าแค่นี้ยังไม่พอ งั้นผมจะบอกอะไรคุณให้… ” เสียงของเขาพูดออกมาจากลำคอนั้นแล้วเงียบไป ในใจก็เกิดความสับสนขึ้นมา คำพูดของเขาทุกคำทำให้เขารู้สึกได้ทันทีว่าร่างกายของติงยียีนั้นสั่นเครือ ใช่แล้ว เธอกำลังกลัวอยู่
เหมือนกับว่าไม่ได้ยินเสียงของเขา ติงยียีเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง และถามเขาด้วยแววตาที่สงสัย ใบหน้าและอารมณ์หรือไม่ว่าจะเป็นลมหายใจของเธอก็ทำให้เย่เนี่ยนโม่นึกถึงเวลาที่ตัวเองนั้นไม่มีเธออยู่ข้างกาย มันทำให้เขาเจ็บปวดใจจนบ้าข้างและไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำได้ เขาตัดใจแล้วพูดว่า ” งานส่วนใหญ่ที่คุณทำก็เป็นฉันที่แอบจัดหาให้และใช้เงินช่วยเป็นการส่วนตัวทั้งนั้นแหละ ”
” ทำไมถึงเป็นแบบนี้ได้ล่ะ? ” ร่างของติงยียีไหลลงไปตามประตูกระจกที่อยู่นั่นหลังช้าๆ เรี่ยวแรงของเธอทั้งหมดถูกคำพูดของเขาดูดออกไปอย่างหนักหน่วง
พื้นด้านล่างยังคงมีน้ำขังอยู่ มือของเธอยันลงไปบนน้ำนั้น จึงทำให้ลื่น ศอกก็กระแทกไปยังพื้นเต็มๆ
เย่เนี่ยนโม่เดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว แล้วย่อเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้น และดึงแขนของเธอขึ้นมา คิ้วของเขาขมวดแน่น ติงยียีจ้องไปที่ดวงตาของเขา ” ถ้าคุณไม่ได้ทำทั้งหมดนี้ ฉันคงคิดว่าคุณคงชอบฉันจริงๆ ซะแล้ว ”
เย่เนี่ยนโม่ชะงักไป เขายังคงจับแขนของเธอไว้ และออกแรงมากขึ้น เธอจึงเอียงตัวไปที่เขา ” คุณไม่เชื่อความรู้สึกที่ผมมีให้คุณเหรอ? ”
คำพูดของเขามีความรู้สึกบีบบังคับ ราวกับว่าหากเธอพูดคำว่า ‘ ไม่ ‘ คำนี้ออกมา วินาทีต่อไปมือข้างหนึ่งของเขาจะบีบไปที่คอของเธออย่างแรง
ติงยียีกลับส่ายหัว ” เอเลนบอกว่ารักฉัน แต่เขากลับไม่เคยเลิกจีบผู้หญิงคนอื่นเลย คุณก็บอกว่าคุณรักฉัน แต่กลับทำร้ายฉันจนถึงตอนนี้ พวกคุณมันก็เหมือนกันทั้งนั้นแหละ ”
” อย่าเอาผมมาพูดเปรียบเทียบกับมัน! ” ทันใดนั้นเย่เนี่ยนโม่ก็ระเบิดอารมณ์ออกมา เขาจับไปที่ข้อมือของเธออย่างแรง จนกระทั่งเธอทนไม่ไหวจนต้องขมวดคิ้วแล้วร้องออกมาเบาๆ ” อย่าเอาความรู้สึกของผมมาสบประมาทแบบนี้ ”
เขาโกรธจัด โกรธจนแทบบ้า เธอถึงกับต้องเอาเขากับไอ้ต่างชาติที่คิดจะทำร้ายเธอมาเปรียบเทียบกัน ความรักที่เขามีให้เธอมันตื้นเขินขนาดนี้เลยเหรอ!
ติงยียีมั่นใจว่าตอนนี้ข้อมือของเธอได้เขียวช้ำเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ศอกที่กระทบเข้ากับพื้นชาและปวดหนักกว่าเดิม เธอนั่งอยู่กับพื้นและเงยหน้ามองเขา
” เอาเถอะ งั้นเราก็มาคุยกันว่าจะทำยังไงกับเงินสี่ล้านที่ฉันยังไม่สามารถคืนได้เถอะ ”
เธอยิ้ม จากนั้นก็ใช้มือข้างหนึ่งรูดซิปที่อยู่ตรงเสื้อผ้าด้านข้างนอก เสียงซิปที่เธอรูดลงช้าๆ ให้ความรู้สึกเสียดแทงหู ผิวที่ขาวดุจหิมะค่อยๆ ปรากฏออกมาสะดุดตาของเขา
” พอแล้ว! ” เย่เนี่ยนโม่กำหมัดแน่นแล้วทุบไปยังกระจกที่อยู่ด้านหลัง จากนั้นก็เกิดเสียงดังขึ้น ประตูกระจกแตกตามเสียงของมัน ภายในชั่วขณะที่กระจกแตก เย่เนี่ยนโม่ได้สลับเปลี่ยนตำแหน่งของเขาและติงยียี เพื่อที่จะคุ้มกันร่างกายของเธอเอาไว้
” เนี่ยนโม่ คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ! ” อ้าวเสว่ที่ได้ยินเสียงก็รีบมาดูเธอแบกร่างพร้อมท้องใหญ่นั้นเปิดประตูเข้ามา เมื่อเห็นทั้งหมดที่อยู่ข้างในนั้น เธอก็ตกใจจนพูดออกมาว่า ” เนี่ยนโม่ มือของคุณเลือดออกค่ะ! ”
” ไสหัวไปซะ ” เย่เนี่ยนโม่ไม่ได้เจียดสายตาไปมองเธอ แต่พูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา ตอนนี้ไฟความโกรธของเขาได้เผาไหม้จนถึงสุดขีด การที่เขาปกป้องเธอเมื่อกี้มันเป็นสัญชาตญาณ นี่มันทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองถูกอารมณ์ครอบงำ ความรู้สึกแบบนี้เขาไม่ชอบเอาเสียเลย
อ้าวเสว่ตะลึง สายตาของเธอนิ่งลง แต่ความรู้สึกเธอมันยากจะทานทน เย่เนี่ยนโม่กล้าใช้คำพูดที่โหดร้ายอย่างนี้ให้เธอออกไปต่อหน้าติงยียีเชียวหรือ
จากนั้นเธอก็ถอยออกจากห้องไปเงียบๆ ภายในห้องกลับเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง ติงยียีถูกเขาโอบไว้ในอ้อมกอด เขากอดเธอแน่นมาก มือที่โอบรอบเอวของเธอนั้นเกิดอาการสั่นเล็กๆ
เขาปล่อยเธอ จากนั้นก็ยืดตัวแล้วมองเธอที่อยู่ต่ำกว่า ” อย่าย่ำยีตัวเองแบบนี้อีก ”
” ถ้าคุณไม่คิดวิธีที่จะให้ฉันคืนเงิน ก็ให้ฉันเข้าคุกเถอะ ” ติงยียีพยายามขยับศอกที่ไถลลงไปกับพื้นเมื่อกี้ พร้อมอดทนกับความเจ็บปวดในขณะที่พูด
ภายในห้องเงียบสนิทราวกับว่าไม่มีสิ่งชีวิตอยู่ในนั้น เย่เนี่ยนโม่เม้มปากมองไปที่เธอ ท่าทางที่ดูดื้อรั้นของเธอมันกำลังทำร้ายทั้งตัวเธอและเขาอยู่ เขาไม่ยอมให้เธอจากไปอีกแล้ว ถึงแม้จะต้องมัดตัวเธอไว้ก็ตาม
” คุณชายครับ! ” พ่อบ้านรีบวิ่งเข้ามา และกระซิบอะไรบางอย่างกับเขา สีหน้าของเย่เนี่ยนโม่ดูแย่กว่าเดิม เขาหันตัวและรีบสาวเท้าออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว พ่อบ้านมองติงยียีแวบหนึ่ง ก่อนจะหันตัวออกแล้วรีบตามไป
ติงยียีถูกแววตาที่พ่อบ้านนั้นมองแล้วรู้สึกตกใจ เธอแอบรู้สึกว่าเหมือนจะมีอะไรเกิดขึ้น จนจิตใจของเธอไม่สามารถนิ่งสงบได้ จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงล็อกประตู
ทำไมต้องล็อกเธอไว้ด้วยล่ะ? เธอร้องพร้อมกับออกแรงทุบไปที่ประตู ” ทำไมต้องล็อกประตูด้วย เปิดประตูนะ! เปิดประตูเดี๋ยวนี้! ”
ด้านนอกเงียบสนิทราวกับป่าช้า จนกระทั่งเสียงย่างเท้าที่ดูมั่นคงนั้นไกลออกไปเรื่อยๆ ในใจของเธอก็เริ่มรู้สึกสั่นแปลกๆ
เย่เนี่ยนโม่เดินมายังห้องโถงใหญ่ เมื่อเห็นบอดี้การ์ดของตระกูลเย่นอนกระจัดกระจายอยู่ทั่วโถงใหญ่แล้ว ซึ่งแม้แต่หนึ่งในนั้นที่เป็นคนใช้หญิงก็ถูกกระแทกจนล้มลงไปอยู่บนพื้น
” หยุดเดี๋ยวนี้! ” เย่เนี่ยนโม่พูดกับเย่ชูหวินที่ยืนอยู่ตรงกลางบอดี้การ์ดที่ห้อมล้อมตัวเขาเอาไว้ ปากของเย่ชูหวินไม่มีสีเลือดแม้แต่นิดเดียว ใบหน้านั้นดูซีดขาว เขาล้มบอดี้การ์ดที่อยู่ตรงหน้า พร้อมประสานสายตาที่เย็นชากับเย่เนี่ยนโม่
” คืนเธอให้ผมเดี๋ยวนี้! ”
เย่เนี่ยนโม่เดือดปุดๆภายในใจ ทำไมถึงมีผู้คนมากมายคิดที่จะแย่งตัวเธอออกไปจากเขา! ” เธอคงไม่ไปกับนาย ตอนนี้ไม่ หรือหลังจากนี้ก็อย่าหวัง ”
เย่ชูหวินคิดเอาไว้แล้วว่ายังไงเขาก็คงไม่ยอมรามือ เขาปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตด้านบนลงหลายเม็ด จากนั้นก็พูดอย่างเชื่องช้าว่า ” ถ้างั้นผมก็คงต้องใช้กำลังของตัวเองแย่งเธอกลับมาแล้วล่ะ ”
เย่เนี่ยนโม่ทำท่าเป็นเชิงให้บอดี้การ์ดหลีกไป เขาถอดเสื้อตัวนอกออกแล้วโยนลงบนพื้นแถวนั้น จากนั้นก็ถกแขนเสื้อขึ้น พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น ” มาสิ ”
ติงยียีเริ่มรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้น สายตาครั้งสุดท้ายของพ่อบ้านนั้น สีหน้าของเย่เนี่ยนโม่ก็บอกกับเธอว่าจะต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่นอน
จู่ๆ เสียงของประตูก็ถูกเปิดออกเบาๆ เมื่อเธอรู้ตัวก็ตะโกนออกไปว่า ” เย่เนี่ยนโม่! ”
เมื่อประตูถูกเปิดออกแล้ว อ้าวเสว่ที่ยืนอยู่ข้างนอก เธอประคองท้องเอาไว้ เมื่อได้ยินเธอตะโกนเรียกชื่อของเย่เนี่ยนโม่สีหน้าก็ดูเย็นชากว่าเดิม แต่ไม่นานก็กลับมาทำสีหน้าปกติ ” เย่ชูหวินมาที่นี่แล้ว เขามาหาแกน่ะ ”
เธอยังไม่ทันพูดจบ ติงยียีก็พุ่งตัวออกไปแล้ว อ้าวเสว่เห็นว่าเธอรีบออกตัวแล้วหายไปยังมุมทางเลี้ยวทางหนึ่ง ในใจก็รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาจนไม่สามารถสงบลงได้ ติงยียีกลับมาแล้ว ติงยียีกลับเข้ามาในตระกูลเย่แล้ว เธอจะทำยังไงดี?
ติงยียีวิ่งไปวิ่งมาตรงทางเดินอยู่นาน บ้านของตระกูลเย่งั้นใหญ่โตเกินไป ตรงทางเดินก็ไม่มีใครเลยสักคน เธอรีบจนเหงื่อแตกพรั่กเต็มหัวไปหมด ” คุณยียี คุณท่านต้องการพบคุณครับ ”
จู่ๆ พ่อบ้านก็โผล่มาตรงกระจกทางเดิน แต่ก็ไม่ได้แปลกใจที่เห็นเธอโผล่ออกมา มือซ้ายของเขาชี้ไปยังห้องด้านข้างห้องหนึ่ง ติงยียีจึงเดินเข้าไปในห้องที่เขาชี้
ภายในห้องฝู้เฟิ่งหยีนั่งด้วยท่าทีที่เพียบพร้อมสง่างาม ราวกับเรื่องวุ่นวายที่ห้องโถงไม่เกี่ยวอะไรกับเธอเลย เธอกำลังยกน้ำชาขึ้นดื่ม เมื่อได้ยินก็ชี้ไปยังโซฟาตรงหน้าของตัวเอง ” นั่งสิ ”
ติงยียีไม่รู้ว่าเธอต้องการอะไร ถึงในใจจะรีบร้อน แต่ก็ยอมนั่งลงไปแต่โดยดี ฝู้เฟิ่งหยีกระแอมเสียง ” หลานทั้งสองของฉันนั้นชอบเธอมาก ”
ติงยียีมองหญิงชราตรงหน้าแต่ไม่ได้พูดอะไร ถึงเธอจะไม่ได้เกลียดชังหญิงชราคนนี้ แต่เธอก็รู้สึกเข้มขรึมเช่นกัน เหมือนภายในใจวางแผนอะไรอยู่ตลอดเวลา ทั้งหมดนี้ทำให้เธอรู้สึกเหนื่อยมาก
ฝู้เฟิ่งหยีเห็นว่าเธอไม่พูดตอบกลับก็ไม่ได้โกรธ จึงพูดต่อว่า ” ฉันรักหลานทั้งสองของฉันมาก และหวังว่าวันนี้จะไม่เห็นฉากสองพี่น้องนั้นฆ่าฟันกัน