ซางหัวเห็นติงยียีหลงกลแล้ว น้ำเสียงก็ยิ่งกระตือรือร้นขึ้นมากมาขึ้นกว่าเดิม เธอไม่ยอมแพ้ให้กับอ้าวเสว่ “ฉันขอปฏิเสธ” ติงยียีที่นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามเธอจู่ ๆ ก็ได้พูดออกมา
ซางหัวได้สติหลุดไปทันที “เธอว่าอะไรนะ?”
“ฉันขอปฏิเสธข้อเสนอของเธอ” ติงยียีเหยียดตัวตรงรับกาแฟมาแล้วเดินผ่านเธอออกไปข้างนอก ซางหัวรีบตามไป “ไม่มีฉันเธอก็สู้อ้าวเสว่ไม่ได้”
ติงยียีหยุดฝีเท้าลง ความแตกต่างของอุณหภูมิภายในและภายนอกตัวอาคารมันต่างกันเยอะมากทำให้เธออดไม่ได้ที่จะตัวสั่นออกมา เธอทอดมองสาวน้อยที่งดงามไปด้วยใบหน้าที่ไม่อยากที่จะเชื่อ “ฉันไม่ใช่แม่พระที่จะปล่อยให้ใครมารังแกกันได้ แต่ฉันไม่มีวันสมรู้ร่วมคิดกับคนที่มีแผนชั่วอยู่ในใจเหมือนกัน”
สีหน้าของซางหัวได้เปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่ยอมล้มเลิกความตั้งใจไป “ฉันไม่ได้มีแผนชั่วอยู่ในใจนะ ฉันก็แค่อยากช่วยเธอเท่านั้นเองจริง ๆ”
“พอได้แล้ว!” ติงยียีตวาดใส่เธอไป “เธอได้คิดคำนวณผลประโยชน์เอาไว้หมดแล้วไม่ใช่หรือไงว่าหลังจากที่บีบอ้าวเสว่ออกไปแล้วจะได้เข้าไปอยู่ในตระกูลเย่ไปอย่างราบรื่น เธอจะไปชอบเย่เนี่ยนโม่ก็ได้ และก็สามารถอาศัยความสามารถของตัวเองไปแย่งมาก็ได้ แต่ว่าฉันไม่สนใจจะมีส่วนร่วมด้วย”
ติงยียีได้เดินออกไปเลย ซางหัวมองเงาร่างเบื้องหลังค่อย ๆ เดินออกไป เธอหยิบโทรศัพท์ออกมา “ต้าต้า ล้มเหลวแล้ว”
ติงยียีวิ่งกลับมาที่ร้านเสริมสวยไปด้วยความวิตกกังวล เธอเอากาแฟวางลงไปบนโต๊ะของอ้าวเสว่ อ้าวเสว่หยิบขึ้นมาจิบไปคำนึง แก้มได้ขยับเล็กน้อย จากนั้นก็คายออกมา “นี่มันกาแฟอะไรเนี่ย รสชาติแย่มากเลย เธอเปลี่ยนอีกยี่ห้อนึงมาให้ฉัน”
เธอเห็นติงยียียืนนิ่งไม่ขยับ ปากก็จงใจเอ่ยออกมาว่า “เป็นอะไรไปเหรอ? ไม่ยอมไป? แต่เธอไม่ใช่ว่าอยากทำงานเป็นสาวใช้ของตระกูลเย่เพื่อหาเงินมาคืนหรือไง?”
“เธอต้องการกาแฟรสชาติแบบไหน?” ติงยียีมองเธอไปอย่างสุภาพเยือกเย็น ไม่ได้ถูกเธอกระตุ้นให้หัวเสียไปเลย
อ้าวเสว่ได้ตะลึงงันไปอีกที อันที่จริงเธอไม่ได้อยากจะดื่มกาแฟ ที่ได้ทำไปอย่างนี้ก็เพียงแค่เพื่อกลั่นแกล้งติงยียีเท่านั้นเอง เธอคิดไปแป๊บนึง “เอาคาปูชิโน่แล้วกัน”
ติงยียีพยักหน้าตอบรับออกมา ก้าวเข้าไปข้างหน้าสองสามก้าว เอาถุงที่อยู่ในมือวางลงไปบนโต๊ะควักเอาคาปูชิโน่ออกมาจากด้านในที่มีกาแฟหลากหลายประเภทออกมายื่นให้อ้าวเสว่
“พรืดดด” พนักงานของร้านเสริมสวยที่อยู่โดยรอบอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา อ้าวเสว่บีบแก้วกาแฟจนเปลี่ยนรูปทรงไปหมด ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
ติงยียียืนอยู่ด้านหลังเธอ สายตาได้ทอดออกไปในจุดที่ไม่ไกลออกไปใหม่อีกครั้ง ผู้หญิงที่ชื่อว่าซางหัวคนนั้นชอบหาเรื่องวุ่นวายให้คนอื่นอยู่เสมอ ไม่แน่ว่าอาจจะหวนกลับมาฟื้นคืนอำนาจใหม่อีกครั้งก็ได้ เธอต้องเตือนอ้าวเสว่สักหน่อยหรือเปล่า เพราะถึงยังไงเธอก็ท้องขึ้นมาแล้ว
“ทางที่ดีที่สุดเธอควรระวังสาวใช้คนก่อนของตระกูลเย่เอาไว้หน่อยนะ คนที่ชื่อซางหัวนั่น” ติงยียีตัดสินใจที่จะเอ่ยออกไป เธอไม่อาจเห็นคนตกอยู่ในความลำบากไปโดยไม่ช่วยได้
ได้ยินชื่อที่คุ้นเคยแล้ว อ้าวเสว่ก็โกรธจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันออกมา “ฉันกลัวหล่อนหรือไง เหอะ ๆ หล่อนไม่ลองดูสักหน่อยว่าตัวเองมันระดับไหนถึงได้คิดมาแข่งแย่งชิงความโปรดปรานกับฉันกัน”
ติงยียีขมวดคิ้วไม่ได้ตอบเธอกลับไป แต่กลับเป็นอ้าวเสว่ที่จู่ ๆ ก็ได้เลิกคิ้วถามออกมาแทน “เธอกับหล่อนคงไม่ใช่พวกเดียวกันหรอกนะ?”
“เธออยากจะคิดยังไงมันก็แล้วแต่เธอ” ติงยียีคร้านจะไปหักล้างคำพูดของเธอ นี่ไม่รู้ว่าคำพูดประโยคนี้หลังจากนี้ไปมันจะทิ้งปัญหาวุ่นวายที่จะตามมาไม่จบไม่สิ้นเอาไว้ให้เธอ
ออกมาจากร้านเสริมสวยแล้ว เย่ป๋อกลับยังรออยู่ที่ด้านนอก อ้าวเสว่ยิ้มพลางเอ่ยออกไป “ฉันกับน้องสาวไปเสริมสวยที่ร้านเสริมสวยด้วยกัน เนี่ยนโม่กำลังเป็นห่วงฉันอยู่เหรอ?”
เย่ป๋อไม่ได้แย้งกลับไป เพียงแค่กวาดสายตามองผ่านยียีไปอย่างรวดเร็ว เห็นบนร่างของอีกฝ่ายไร้ซึ่งบาดแผล สีหน้าเขาไม่ค่อยดีแต่ก็ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมา เขารู้สึกผิดอยู่บ้างเล็กน้อย ตอนแรกถ้าไม่ใช่เพราะเขาออกไปก่อน ติงยียีก็คงไม่ต้องถูกรังแกแล้ว
“คุณอ้าวเสว่ เย็นมากแล้วนะ ควรกลับบ้านได้แล้ว” เย่ป๋อพูดออกมาอย่างสงบนิ่ง คนขับรถรีบเปิดประตูออก อ้าวเสว่เข้าไปนั่ง ติงยียีกำลังคิดจะอ้อมไปนั่งอีกฝั่งนึง ในทันใดนั้นเองเย่ป๋อก็ได้เอ่ยออกมาว่า “คุณติงนั่งรถคันหลังเถอะครับ”
ติงยียีไม่ได้คัดค้านออกไป เดินไปข้างหลังไปอย่างว่านอนสอนง่าย อ้าวเสว่มองเธอขึ้นรถไปผ่านทางกระจกมองหลัง ที่โพรงจมูกได้ส่งเสียงฮึดฮัดออกมาทีนึง แล้วค่อย ๆ เอ่ยออกไป “ออกรถ”
ติงยียีพอขึ้นรถมาก็ถูกห้อมล้อมไปด้วยกลิ่นอายความเป็นชายที่เข้มข้นเข้ามาทันที เย่เนี่ยนโม่กักกุมเธอเอาไว้แน่น เธอขัดขืนออกมา สายตาได้มองไปที่คนขับรถที่ไม่รู้จักคนหนึ่งที่กำลังนั่งอยู่บนที่นั่งคนขับข้างหน้ากับเย่ป๋อที่กำลังนั่งอยู่บนที่นั่งข้างคนขับไปไม่หยุด
ทันใดนั้นฉากกั้นอันหนึ่งก็ผุดขึ้นมา เปลี่ยนที่นั่งเบาะหลังของรถให้กลายเป็นพื้นที่ปิดไป ติงยียีกำลังคิดจะตวาดด่าให้เย่เนี่ยนโม่ปล่อยมือออกไป แต่อีกฝ่ายก็ได้ปล่อยมือออกไปเอง นั่งตัวตรงเป็นระเบียบอยู่ที่ข้าง ๆ สายตากลับยังคงลึกซึ้งเสียจนอ่านได้ยาก
“คนขับรถคนเมื่อกี้นี้เป็นคนของคุณย่า” เย่เนี่ยนโม่จ้องมองนัยน์ตาแอปริคอตของเธอที่ได้ถลึงออกมาด้วยความโกรธ แล้วค่อย ๆ เอ่ยออกมาช้า ๆ นอกจากปัญหาโดยหลักแล้ว เขาไม่ยอมให้เธอโกรธขึ้นมาหรอก
ติงยียีนิ่งเงียบไป “ทำไมท่านถึงต้องทำอย่างนี้?”
“ผู้หญิงของตระกูลเย่ นอกจากแม่ของผมแล้วก็ไม่ธรรมดากันทั้งนั้น” เย่เนี่ยนโม่จัดคอเสื้อไปเล็กน้อย จับมือเธอมาตรวจดูบาดแผลจากการถูกลวก เห็นว่าไม่มีแผลพุพองก็วางใจไปไม่น้อยเลย
ติงยียีนึกว่าเขาจะจับมือตนเอาไว้ จึงได้ชักมือออกไปอย่างไม่พอใจ จู่ ๆ ก็รู้สึกเหมือนกับโลกหมุนขึ้นมา เธอถูกแรงหนึ่งดึงไปนอนราบลงบนที่เบาะรถที่กว้างขวาง แขนทั้งสองข้างของเย่เนี่ยนโม่ได้ยันอยู่ที่ข้าง ๆ ใบหูของเธอ “ยังจะโมโหไปอีกนานแค่ไหน?”
“ฉันไม่ได้โมโห ฉันบอกแล้วว่าฉันจะหาเงินมาคืนให้คุณ หลังจากที่คืนเงินแล้วพวกเราก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก” แผ่นหลังของติงยียีพิงอยู่บนเบาะนุ่ม ๆ ของรถ รถขับไปได้นิ่มมาก นี่จึงทำให้เธอเกิดความรู้สึกคิดไปเองว่ารถได้จอดลงแล้ว คนขับรถกำลังจะมาเปิดประตูจำพวกนั้นขึ้นมา
เย่เนี่ยนโม่ไม่ได้ตอบออกมา แต่เธอก็เห็นความเจ็บปวดที่อยู่ในแววตาของเขา เธอยื่นนิ้วมือไล้ผ่านตรงมุมขอบตาของเขาไปเบา ๆ “เจ็บปวดเหรอ? ฉันเองก็เจ็บปวดมากเหมือนกัน คุณกักตัวฉันเอาไว้เป็นนกน้อยในกรงทองของคุณ แต่กลับไม่ถามนกน้อยตัวนี้เลยว่ายินดีหรือเปล่า”
เย่เนี่ยนโม่ปล่อยให้เธอทำไป เขาเอ่ยพูดออกมา ลมหายใจพ่นรดอยู่บนคางของเธอ “ถ้าผมไม่ทำอย่างนี้ คุณจะยอมอยู่ข้างกายผมไปเสียดี ๆ เหรอ?”
“ไม่มีทาง!” ติงยียีได้ยอมรับมาอย่างชัดเจน ตรงไปตรงมา ไม่ว่าจะยังไง ลูกของอ้าวเสว่ก็เป็นอุปสรรคที่ไม่อาจข้ามผ่านมันไปได้ตลอดกาลระหว่างพวกเขา เธอไม่ยอมให้เด็กออกมาเผชิญหน้ากับความสัมพันธ์ในครอบครัวที่ผิดเพี้ยนอย่างนี้
เธอนึกว่าเย่เนี่ยนโม่จะโกรธขึ้นมา แท้จริงแล้วเธอเองก็รู้สึกได้ถึงการหายใจที่ถี่เร็วรวมทั้งความโกรธที่ทอดผ่านออกมาจากในดวงตาของเขาเหมือนกัน เธอนึกไม่ถึงว่าเขาจะพลิกตัว กลับมานั่งตรงขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
ติงยียีลุกขึ้นมาสางผมตัวเองไปอย่างตะลีตะลาน เพราะว่าลุกขึ้นมาอย่างกะทันหันไป หน้าของเธอได้มีเลือดคั่งอยู่ตลอด มองไปแล้วดูแดงก่ำออกมา เธอใช้มือตบแก้มตัวเองไปเบา ๆ แต่กลับไม่รู้เลยว่าการกระทำเหล่านี้ล้วนตกอยู่ในสายตาของชายที่อยู่ข้าง ๆ ทั้งนั้น
“ถ้าคุณย่าพบว่าผมไม่ได้หลงรักคุณอยู่ ท่านจะใช้ทุกวิถีทางมาจัดการคุณไปเสีย” จู่ ๆ เย่เนี่ยนโม่ก็โพล่งประโยคนี้ออกมา
ติงยียีตะลึงงันไป จากนั้นจึงได้นึกขึ้นมาได้ว่าเขากำลังตอบคำถามก่อนหน้านี้ของตนอยู่ เธอย้อนถามกลับไปด้วยความสงสัย “ทำไม? จัดการยังไง? ให้ฉันออกไปจากตระกูลเย่เหรอ อย่างนั้นฉันอยากจะให้มันเป็นจริงใจจะขาดอยู่แล้ว”
ริมฝีปากของเย่เนี่ยนโม่เม้มแน่นเป็นเส้นตรง ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก ถ้าเธออยากจะคิดอย่างนั้นก็ให้คิดไปเถอะ ภายในรถหลังจากนั้นมันก็ไม่มีเสียงดังออกมาแล้ว จนกระทั่งรถได้จอดลงไปเงียบ ๆ
ประตูรถทั้งสองข้างได้ถูกเปิดออก แสงสว่างส่องเข้ามา ติงยียีหรี่ตาลงเล็กน้อย พูดขอบคุณกับเย่ป๋อที่ได้ช่วยเปิดประตูให้เธอ เย่ป๋อยิ้มให้เธอเล็กน้อย
เธอลงจากรถไป ประชิดเข้าไปเอ่ยถามเขาเสียงเบา “ชิวไป๋สบายดีหรือเปล่า? พวกคุณเป็นยังไงกันบ้าง?”
เย่ป๋อส่ายหน้าปฏิเสธออกมาเล็กน้อย ในแววตามีความขมขื่นออกมา นับตั้งแต่วันนั้น เสี่ยวชิวก็โกรธขึ้นมาจริง ๆ ไม่ยอมมีความเกี่ยวข้องกับเขาอีกด้วย สายตาของเขายังคงสงบนิ่งเสมอมา แต่ใต้ตามีสีเขียวคล้ำออกมาจาง ๆ
เย่เนี่ยนโม่ได้ก้าวเดินไปแล้ว ติงยียีรีบเอ่ยออกไปว่า “ว่าง ๆ ถ้าฉันได้เจอเธอสักครั้งจะค่อยคุยกับเธอให้ละเอียดแล้วกัน”
ในดวงตาของเย่ป๋อมีความรู้สึกซาบซึ้งใจออกมา เขาดันไหล่เธอไปเบา ๆ พลางเอ่ยเสียงเบาออกไป “รีบไปเถอะ”
ติงยียีรีบสาวเท้าก้าวใหญ่ ๆ ไล่ตามเย่เนี่ยนโม่ไป หลังจากที่ตามไปจนถึงข้าง ๆ เขาแล้วก็ได้มีโอกาสได้มองสำรวจอาคารที่อยู่โดยรอบขึ้นมา ห้างสรรพสินค้า? ห้างใหม่?
เธอนึกขึ้นมาได้ทันทีว่านี่มันไม่ใช่ว่าเป็นศูนย์การค้าสากลหรือไง? เธอมองการประดับตกแต่งที่ชั้นหนึ่งพร้อมกับร้องอุทานไปด้วยความตื่นตะลึงออกมา ชั้นหนึ่งนั้นเป็นโถงโปร่งที่ใช้คริสทัลห้อยตกแต่งลงมาทั้งนั้น เมื่อกี้ตอนอยู่ด้านนอกเพราะว่ารีบร้อนไปจึงไม่ได้สังเกตเห็นเลย พอเข้ามาแล้วถึงได้ค้นพบว่ามันงดงามมากเลยจริง ๆ
ชั้นหนึ่งได้สร้างขึ้นมาสำหรับเคาน์เตอร์ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวโดยเฉพาะ พนักงานขายที่อยู่โดยรอบเห็นผู้หญิงที่ปรากฏตัวมาพร้อมกับเจ้านายที่คอยอยู่หลังม่านท่านนี้กำลังมองสำรวจตัวอาคารโดยรอบไปอย่างละเอียดเหมือนกับคนกำลังชมนกชมไม้อยู่ก็ไม่ปาน แต่นึกไม่ถึงว่าเจ้านายจะรออยู่ที่หน้าลิฟต์ไปอย่างใจเย็น จึงพากันลอบคาดเดาความสัมพันธ์ของทั้งสองคนกันออกมา
ติงยียีชมไปได้ครึ่งนึงก็ได้นึกขึ้นมาทันทีว่าเย่เนี่ยนโม่จะต้องหนีหายไปที่ไหนแล้วแน่ ๆ เธอจึงควักโทรศัพท์ออกมาพลางวิ่งเข้าไปยังลิฟต์ ภายในใจคิดว่าสถานที่ใหญ่โตขนาดนี้เธอจะหายังไง
เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ที่เรียบง่ายดังขึ้นมาในจุดที่ไม่ไกลจากเธอ เธอมองไปทางที่มาของเสียงที่มีหมู่คนมากมายกั้นเอาไว้อยู่ไปอย่างตกตะลึง เย่เนี่ยนโม่ยืนมองเธออยู่ที่ตรงนั้นไปด้วยสายตาที่ล้ำลึก เขาสูงมาก เธอก็เลยหาเขาเจอได้ง่าย ๆ เลย เมื่อกี้นี้เธอกลับถูกความร้อนรนปิดกั้นเอาไว้ สายตาเลื่อนออกจากร่างของเขาไปหลายครั้ง แต่กลับไม่ได้หยุดล็อกเป้าที่แน่นอนเลย
นักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งจู่ ๆ ก็ได้เบียดเสียดเข้ามาจากทางประตูทางเข้า เดินขวักไขว่กันอยู่ที่ในโถงใหญ่ ติงยียีถูกกลุ่มคนเบียดเสียดอยู่ตรงกลางจนตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกขึ้นมา ในทันใดนั้นเองมือใหญ่ข้างหนึ่งก็ได้คว้าข้อมือเธอเอาไว้อย่างแม่นยำพร้อมกับดึงเธอออกมา
ติงยียีโซเซไปหลายที แต่เย่เนี่ยนโม่กลับไม่ขยับเขยื้อนเลยสักนิดเดียว เขาปล่อยเธอออกไป ผันร่างเดินไปกดลิฟต์
ห้องโถงคึกคักมาก ขับให้บรรยากาศระหว่างทั้งสองคนยิ่งแปลกมากขึ้นกว่าเดิมอย่างอธิบายไม่ถูก ติงยียีไม่มีอะไรจะพูดแต่ก็ยังหาเรื่องขึ้นมาพูด “เมื่อกี้คนตั้งมากมายขนาดนั้น คุณหาฉันเจอได้ยังไง”
ไม่มีคำตอบกลับมา ยังคงจมอยู่ในภาวะที่กำลังคิดอะไรอยู่ ผนังสีเหลืองส้มสะท้อนเข้ามาที่เงาร่างของทั้งสองคนจนบิดเบี้ยวไปบ้าง เย่เนี่ยนโม่เดินนำเข้าลิฟต์ไปก่อน
ติงยียีจะตามไปอย่างทำตัวไม่ถูก แต่จู่ ๆ กลับได้ยินเขาพูดว่า “ผมสามารถตามหาคุณเจอได้ในทันทีเสมอ”
เธอเงยหน้าขึ้นไปด้วยความประหลาดใจ แต่เห็นสายตาของเขาไม่ได้จรดอยู่ที่ร่างของตน ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่น มือทั้งสองข้างได้ทิ้งลงไปโดยปริยาย นี่เป็นท่าทีของการปฏิเสธการสนทนานั่นเอง
ตอนที่ลิฟต์มาถึงชั้นสาม ประตูถูกเปิดออก นักท่องเที่ยวที่เข้ามาเมื่อกี้หลั่งไหลเข้ามากันเสียให้ควั่ก ติงยียีพยายามหดตัวอยู่ในมุม แต่ก็ยังถูกเบียดจนหายใจไม่คล่องอยู่ดี
ในทันใดนั้นเองมือข้างหนึ่งก็ได้ดึงเธอเข้าไป รอจนตอนที่ได้สติกลับมาแล้วหน้าก็ได้ซบเข้าไปบนหน้าอกของเย่เนี่ยนโม่ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว บนร่างของเขาได้มีกลิ่นของนิโคตินอยู่จาง ๆ สิ่งที่น่าประหลาดใจเลยก็คือแต่ไหนแต่ไรมาเธอไม่เคยเห็นเขาสูบบุหรี่ต่อหน้าเธอมาก่อนเลย
กลุ่มคนที่อยู่โดยรอบได้เว้นระยะห่างกันออกไปเล็กน้อยพยายามที่จะไม่ไปโดนชายที่ดูน่าเกรงขามที่ยืนอยู่ข้าง ๆ คนนั้นกันไปเอง ติงยียีรู้สึกได้ว่ามือหนึ่งได้โอบรัดตรงเอวของตนไปเบา ๆ เสียงดังอลหม่านโดยรอบทั้งหมดล้วนหายไปหมดแล้ว สิ่งที่เธอรู้สึกได้เพียงอย่างเดียวก็มีเพียงแค่เสียงลมหายใจของตัวเองกับหน้าอกที่ขยับขึ้นลงเล็กน้อยที่หน้ากำลังซบอยู่เท่านั้น