ติงยียีเห็นท่าทีที่ดูรีบร้อนของเธอจึงรีบรับเสื้อตัวนั้นมาเปลี่ยน เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วต้าต้าจึงเปิดประตู ด้านนอกสาวใช้ก็เดินออกไปตามๆ กัน
ติงยียีสังเกตได้ว่าสาวใช้ต่างมีหน้าตาที่สะสวยทั้งนั้น อีกทั้งยังมีอากัปกิริยาที่ดูสง่างาม เธอจึงเดินตามสาวๆ เหล่านั้นไป ต้าต้าทนอยู่เฉยไม่ได้ เลยกระซิบข้างหูเธอว่า: ” ทุกคนนั้นรู้ถึงความสัมพันธ์ของเธอกับคุณชายแล้ว พวกเขาอาจจะมีอคติกับเจตนาร้ายกับเธอนะ ”
ติงยียีเห็นตาของเธอกะพริบไปมา ก็ไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่เธอจะสื่อเท่าไหร่ แต่ก็พยักหน้าตาม แล้วเข้าไปในห้องอาหาร เย่เนี่ยนโม่ อ้าวเสว่และฝู้เฟิ่งหยีต่างนั่งประจำที่ของตัวเองแล้ว
พ่อบ้านยืนอยู่ข้างเย่เนี่ยนโม่ คอยรับจานกับข้าวจากสาวใช้มาวางบนโต๊ะ สาวใช้เจ็ดแปดคนต่างยืนเรียงกันเป็นแถวเพื่อคอยยกอาหารออกมา
ติงยียีรู้สึกถึงความกดดัน เมื่อยื่นมือไปยกหม้อตุ๋น แน่นอนว่าหม้อตุ๋นที่เพิ่งยกลงมาจากเตาคงร้อนจนน่าตกใจ เมื่อมือของเธอถูกลวกจึงร้องกรี๊ดออกมาเล็กน้อย แล้วปล่อยมือด้วยความเคยชิน หม้อตุ๋นจึงตกลงไปบนรถเข็นอาหาร กลิ่นของเมนูพระกระโดดกำแพงนั้นลอยฟุ้งไปทั่ว
” ทำไมถึงไม่ระวังแบบนี้ฮ้ะ นี่เป็นถึงเมนูที่คุณยายชอบที่สุดนะ ” อ้าวเสว่ที่อยู่ด้านข้างพูดด้วยน้ำเสียงเหลืออด แต่ก็ไม่ลืมที่จะกำชับให้พ่อบ้านพาติงยียีไปจัดการทำแผล
ติงยียีรีบซ่อนมือที่ถูกน้ำซุปลวกไว้ด้านหลัง แต่แขนของเธอถูกกระชากเอาไว้ เย่เนี่ยนโม่พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ: ” บาดเจ็บหนักมากหรือเปล่า? ”
อ้าวเสว่หน้านิ่งไป ทันใดนั้นก็รู้สึกว่ามือของเธอที่วางอยู่บนโต๊ะถูกสะกิด ฝู้เฟิ่งหยีส่งสายตาให้เธอ จากนั้นก็พูดเสียงนิ่งเฉยว่า: ” กินข้าวเถอะเนี่ยนโม่ ”
ติงยียีจึงพยายามนำมือที่ถูกลวกจนเป็นแผลซ่อนไว้ด้านหลัง เธอก้มหน้าแล้วถอยหลังไปหลายก้าว การที่ทำแบบนี้เพราะเธออยากจะรักษาระยะห่างกับเย่เนี่ยนโม่ สีหน้าเย่เนี่ยนโม่ก็ดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เขาปล่อยแขนของเธอแล้วกลับไปนั่งที่เดิม
สำหรับตระกูลเย่ ต้องให้เจ้าบ้านกินข้าวเสร็จก่อนคนใช้ถึงจะได้กิน ติงยียีก็เข้าแถวไปยืนกับกลุ่มสาวใช้ มองดูพวกเขารับประทานอาหารกัน อ้าวเสว่ช่วยตักน้ำซุปให้กับฝู้เฟิ่งหยีและเย่เนี่ยนโม่ ช่างดูเป็นครอบครัวที่ดูมีความสุขเสียจริง
ทันใดนั้น อ้าวเสว่ที่ถือถ้วยชามอยู่ก็ร้องออกมาอย่างตกใจ ฝู้เฟิ่งหยีรู้สึกช็อกจึงรีบถาม ” เป็นอะไรไปจ๊ะ? ”
สีหน้าอ้าวเสว่ดูตื่นเต้น และแสดงท่าทางเหมือนไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง ” เหมือนลูกจะเตะท้องหนูเลยค่ะ ”
ครั้งนี้ไม่ใช่เพียงแค่ฝู้เฟิ่งหยีที่หันมาสนใจ เพราะแม้แต่สายตาเย่เนี่ยนโม่ก็มองตามเช่นกัน อ้าวเสว่ลุกขึ้นแล้วเดินไปอยู่ตรงหน้าเย่เนี่ยนโม่ จากนั้นก็จับมือของเขามาวางไว้ที่ท้องของตัวเอง
ตอนแรกเย่เนี่ยนโม่ก็ชะงักไป เขาไม่ได้ชักมือกลับ แต่กลับมีสีหน้าที่ดูตื่นเต้น ติงยียีมองไปที่ทั้งสองคน ฝ่ามือก็กำแน่น
” เนี่ยนโม่ เป็นเพราะลูกเราดิ้นแรงไปหน่อย ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวน่ะ คุณช่วยพยุงฉันไปพักหน่อยได้ไหมคะ? ”
อ้าวเสว่ทำหน้ามีความสุข เธอถามออกมาด้วยความเหนียมอาย เย่เนี่ยนโม่วางถ้วยและตะเกียบจากนั้นก็ส่งสายตาให้พ่อบ้าน พ่อบ้านจึงดันตัวสาวใช้แล้วพูดว่า ” ยังไม่ไปพยุงคุณอ้าวเสว่อีก ”
อ้าวเสว่ชะงักไป แต่เมื่อเห็นเย่เนี่ยนโม่ลุกขึ้นมา สีหน้าเธอก็กลับมาดูดีอีกครั้ง ติงยียียังคงก้มหน้าอยู่ตลอด
จนกระทั่งหญิงสาวที่ชื่อต้าต้างั้นมาดึงชายเสื้อของเธอ ” คุณชายกับคุณท่านไปกันหมดแล้ว พวกเราไปกินข้าวได้แล้วล่ะ ”
ติงยียีก้าวขาเดินไปตามทางที่เธอเดิน มาถึงห้องอาหารสำหรับคนใช้แล้ว ก็มีคนใช้มากมายเดินเข้ามานั่งกินอาหารในนี้
” ว้าว คนพี่ได้เป็นคนสำคัญของตระกูลเย่ ส่วนคนที่เป็นน้องกลายเป็นคนใช้ของตระกูลเย่เสียอย่างนั้น ” สาวใช้คนหนึ่งพูดออกมาอย่างออกรสออกชาติ
” เธออย่าใส่ใจไปเลยนะ ” ต้าต้ายื้อชายเสื้อของติงยียีเอาไว้แล้วพูดเสียงเบา เธอชี้ไปยังจุดตักอาหารบริการตัวเอง เพื่อจะพาติงยียีไป
ติงยียีสะบัดมือของเธอออกเบาๆ แล้วเดินไปยังสาวใช้ที่หัวเราะเยาะเธอเมื่อกี้ ” เราต่างก็เป็นสาวใช้เหมือนกัน ฉันก็ไม่ได้เห็นว่าเธอจะสูงส่งสักเท่าไหร่ ถ้าทนดูไม่ได้จะมาตบกับฉันสักยกก็ได้นะ ถ้าไม่อย่างนั้นก็หุบปากไป ”
สาวใช้ที่เห็นว่าเธอเกรี้ยวกราดขนาดนี้ ได้แต่ตะลึงและก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อไป ราคาที่ต้องชดใช้เมื่อก่อนเรื่องในบ้านตระกูลเย่มันค่อนข้างสูง ครอบครัวของเธอมีน้องชายและน้องสาวที่ยังเรียนหนังสืออยู่ จึงไม่กล้าปากไว
ภายในคืนนั้นที่ห้องหนังสือตระกูลเย่ พ่อบ้านยืนรายงานอยู่ด้านข้าง : ” คุณติงยียีทะเลาะกับสาวใช้อีกคนตอนกินข้าวครับ แต่ก็กินข้าวเยอะพอสมควร ”
เย่เนี่ยนโม่ที่ฟังอยู่เงียบๆ มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย ไม่ว่าเมื่อไหร่ผู้หญิงคนนั้นก็ไม่ยอมให้ใครมาเอาเปรียบง่ายๆ
เพราะเป็นแบบนี้สินะเขาเลยต้องปวดหัวเนี่ย
พอลุกขึ้นแล้วเดินออกไปข้างนอก พ่อบ้านเหมือนจะรู้ว่าเขากำลังจะไปไหน จึงรีบพูดขึ้นมาก่อนว่า: ” ผมได้จัดการที่อยู่ห้องใหม่ให้กับคุณติงแล้ว เป็นห้องเดี่ยวครับ ”
เขาเห็นว่าร่างของคุณชายนั้นชะงักไป จากนั้นก็เปลี่ยนทิศทางแล้วเดินต่อ พ่อบ้านจึงถอนหายใจ แล้วกลับห้องไป
ติงยียีนอนไม่ค่อยนิ่งเท่าไหร่ ลมหนาวภายในห้องทำให้เธอต้องขดตัวอยู่บนเตียง เธอยกมือขึ้นปัดป้องอยู่บนอากาศ แต่ก็คว้าไม่โดนผ้าห่มอันแสนอบอุ่นสักที เธอพึมพำอะไรบางอย่าง จากนั้นจึงขยับหมอนแล้วนอนหลับไป
จู่ๆ ร่างกายของเธอก็รับรู้ได้ถึงไออุ่นบางอย่าง เธอพึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูมีความสุข และพยายามขยับตัวเข้าไปหาไออุ่นนั้น มุมปากก็ยิ้มขึ้นเป็นรอยยิ้มที่ดูอิ่มอกอิ่มใจ
เย่เนี่ยนโม่เห็นท่าทีที่เธอนอนหลับอย่างสบายอารมณ์ เขาจึงถอนหายใจ จากนั้นจึงวางตัวเธอลงอีกฝั่งของเตียงแล้วค่อยๆ เอามือออกเบาๆ ปลายนิ้วชี้และนิ้วกลางของเธอเป็นรอยแดง เพราะถูกลวกจนเป็นแผลเลยมีสภาพแบบนี้
เขาหยิบยาทาออกมาอย่างเบามือ และค่อยๆถูมันลงบนนิ้วของเธอ เมื่อทาเสร็จแล้วติงยียีก็เอามือถูเข้ากับผ้าห่ม
เขาทำหน้าเซ็งๆ แต่ก็ทำได้แค่ทายาให้เธออีกรอบ และแอบทำโทษเธอโดยการตีไปที่หลังมือเธอเบาๆ ติงยียีหลับลึกจนไม่รู้สึกรู้สาอะไร เธอปากยู่ทำหน้าเหมือนงอแง และมือที่ถูกปล่อยก็ถูไปกับผ้าห่มอีกครั้ง มือใหญ่ข้างหนึ่งจึงพยายามจับมือที่อยู่ไม่นิ่งของติงยียีเอาไว้ เย่เนี่ยนโม่นั่งลงไปกับพื้น มือของเขากุมเข้ากับมือของเธอ ฝ่ามือของทั้งสองประสานเข้าหากัน เขาอยู่ข้างเธอจนเธอหลับสนิท
ในตอนเช้า เสียงเคาะประตูห้องของติงยียีดังขึ้นจนทำให้เธอสะดุ้งตื่น เธอสะลึมสะลือและลุกจากเตียงเพื่อไปเปิดประตู ก็เห็นว่าต้าต้านั้นยืนอยู่ด้านนอก ” เธอจะกินข้าวเช้าไหม? บ้านตระกูลเย่เขากำหนดมื้อเช้าเป็นเวลานะ ”
ติงยียีพยักหน้า เมื่อเดินผ่านห้องรับแขกแล้วก็เหลือกมองไปยังมุมหนึ่งของห้องอาหาร ” เนี่ยนโม่ไปทำงานแล้วล่ะ ”
อ้าวเสว่โผล่มาจากด้านหลังของทั้งสอง ต้าต้าเห็นดังนั้นจึงหันไปมองติงยียีด้วยสายตาที่เป็นกังวล แต่ก็ทำได้แค่หันตัวแล้วเดินจากไป
ในห้องรับแขกนี้ก็เหลือแค่พวกเขาสองคน อ้าวเสว่จึงเดินเข้ามาใกล้เธอ ” แกเป็นน้องสาวของฉัน ฉันอยากจะพูดคุยดีๆ กับแกนะ ”
” ไม่มีใครอยู่ตรงนี้แล้ว เธอวางใจและเผยธาตุแท้ออกมาเถอะ ” ติงยียีทีท่านั้นดูเย็นชา พอเห็นอ้าวเสว่ทีไรก็รู้สึกรำคาญ
” อย่าพูดแบบนี้สิ เราเป็นพี่น้องแท้ๆ กันเชียวนะ ฉันคงไม่ให้แกทำงานแบบพวกคนใช้จริงๆ หรอก ไปช็อปปิ้งกับฉันสิ ” อ้าวเสว่ยิ้มตาหยี ทำหน้าดูอารมณ์ดี
ติงยียีปฏิเสธไม่ได้ อ้าวเสว่จึงคว้ากระเป๋าสะพายจากสาวใช้แล้วเดินออกไปข้างนอก ติงยียีจึงเดินตามออกไปเงียบๆ ออกจากประตูใหญ่บ้านตระกูลเย่แล้ว อ้าวเสว่ก็เอากระเป๋าที่อยู่ในมือส่งให้เธอ ” เอาไปถือสิ ”
ติงยียีหัวเราะหึๆ ในใจ ” จะสร้างภาพให้มันลำบากทำไมกัน ทำเพื่ออะไรเหรอ? ”
” ไม่ใช่ว่าจะทำงานหาเงินที่ตระกูลเย่หรอกเหรอ? ถ้างั้นก็พอดีเลยหัดเรียนรู้สิว่าคนใช้มันต้องทำยังไง ” พูดอย่างอวดดีแล้วเอากระเป๋ายัดใส่มือของติงยียี จากนั้นก็เปิดประตูรถแล้วขึ้นไปนั่งข้างใน
ติงยียีถือกระเป๋าแล้วขึ้นรถไปนั่งเงียบๆ รถขับออกไปอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็ไปจอดอยู่ร้านเสริมสวยแห่งหนึ่ง อ้าวเสว่พยุงท้องแล้วเดินไปในร้านเสริมสวย
พนักงานด้านในเหมือนจะคุ้นเคยกับเธอเป็นอย่างดี พอเห็นเธอเข้าไปแล้วก็ต่างพูดทักทายเธอ และได้มีพนักงานคนหนึ่งพาเธอเข้าไปในห้องพิเศษ
ติงยียีเห็นว่าในห้องนั้นมีเพียงเก้าอี้แค่ตัวเดียว เธอจึงยืนอยู่เฉยๆ
ไม่นานก็มีพนักงานออกมาพูดจาเป็นกันเองว่า: ” ขอโทษจริงๆนะ เดี๋ยวฉันออกไปเอาเก้าอี้มาให้ ”
ติงยียียังไม่ทันได้พูดได้จา อ้าวเสว่ที่มองเข้าไปในกระจกแล้วสำรวจทรงผมของตัวเองก็พูดขึ้นว่า : ” ไม่ต้องหรอก ผู้หญิงคนนั้นก็เป็นแค่คนใช้เท่านั้นเอง ”
พนักงานเตรียมที่จะออกไปเอาเก้าอี้ข้างนอกก็หยุดฝีเท้า ช่างเสริมสวยพลางหยิบมาร์กพลางพูดชมขึ้นมา: ” ไม่ยักรู้เลยนะคะ ว่าสาวใช้ตระกูลเย่จะคุณภาพดีขนาดนี้ ”
” พอดีว่าเธอเป็นน้องสาวแท้ๆ ของฉันน่ะ ” ขณะพูดอ้าวเสว่ก็ยิ้มออกมาอย่างนุ่มนวล ผู้คนที่ได้ยินคำพูดของเธอก็ต่างทำตัวไม่ถูก พนักงานคนอื่นก็ก้มหน้าไม่กล้าพูดต่อ พี่สาวมาเสริมสวย ส่วนน้องสาวกลับกลายเป็นคนใช้ของพี่สาวไปสักอย่างนั้น หัวข้อวันนี้มันค่อนข้างแรงไปหน่อย
ติงยียีกลับไม่ได้สนใจ แต่เมื่อยืนไปนานเข้าก็เริ่มรู้สึกปวดเท้า เธอก้มหน้าเพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไรจนกระทั่งผ่านไปสักพัก อ้าวเสว่ก็พูดขึ้นว่า: ” น้องสาวจ๊ะ เธอไปซื้อกาแฟให้ฉันหน่อยสิ ”
พนักงานก็ชำเลืองมอง ติงยียีจึงพยักหน้า แล้วยื่นมือไปข้างหน้า: ” ให้เงินด้วย! ”
อ้าวเสว่ช็อกไปชั่วขณะ ก็นึกไม่ถึงว่าติงยียีจะตอบโต้เธอได้ไวปานนี้ เธอโกรธแล้วกระชากกระเป๋าสะพายมา จากนั้นก็ควักปึกแบงก์ร้อยหยวนปึกใหญ่ออกมาปึกหนึ่ง แล้วยัดแบงก์หลายใบนั้นลงในมือของเธอ ” ไปสิ! ”
ติงยียีมองแบงก์หลายใบที่อยู่ในมือ แต่เธอก็ดึงมันออกไปใบเดียว ส่วนที่เหลือก็ยัดมันคืนกลับไปในมือของอีกฝ่าย ” พอดีว่าฉันไปซื้อกาแฟ ไม่ได้ไปซื้อเครื่องทำกาแฟนะคะ ”
” แก! ” ท่าทีที่ดูไม่แยแสของเธอทำให้อ้าวเสว่รู้สึกโกรธ และพูดไม่ออกอยู่นาน ติงยียีไม่สนใจเธอแต่ดันประตูแล้วเดินออกไปจากร้านเสริมสวย เมื่อออกไปแล้ว เธอก็ถอนหายใจออกมายาวๆ ถึงแม้จะทำเป็นไม่ใส่ใจมากแค่ไหน สายตาที่คนอื่นหัวเราะเยาะนั้นก็ทำให้เธอวางตัวไม่ถูกอยู่ดี
เธอกำชายเสื้อแน่น จากนั้นก็เดินทอดน่องตามถนนไปเรื่อยๆ เพื่อเลือกร้านซื้อกาแฟ ขณะที่เธอนั่งรอกาแฟอยู่ภายในคาเฟ่ ก็มีเงาของใครคนหนึ่งเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ และคนคนนั้นก็ถอดแมสหนาๆ ออก
” คุณนี่เอง ” ติงยียีรู้สึกแปลกใจ เธอจำได้ว่าผู้หญิงคนนี้เคยไปที่บ้านของเธอมาก่อน
ซางหัวยิ้มให้เธอ จากนั้นก็นั่งลง ” ได้ข่าวว่าคุณย้ายไปอยู่ตระกูลเย่แล้ว ปกติคงจะโดนอ้าวเสว่รังแกไม่น้อยเลยสิท่า เมื่อกี้หล่อนคงจะให้คุณไปซื้อกาแฟสินะ ”
” คุณอยากจะบอกอะไรกันแน่? ” ติงยียีพยายามก้มหน้าเพื่อมองเมนูกาแฟที่ติดอยู่บนกำแพง เธอพยายามเก็บซ่อนสีหน้าที่ดูระแวดระวังของเธอ เพราะเธอรู้สึกไม่ค่อยดีกับผู้หญิงคนนี้เท่าไหร่
” คุณยียี คุณคือคนที่คุณชายรักที่สุด มีเพียงคุณเท่านั้นที่สามารถแต่งงานกับคุณชายได้ แต่คุณดูอ้าวเสว่สิ หล่อนก็แค่ตั้งท้องเด็กคนหนึ่ง กลับเชิดหน้าชูตาไม่แยแสใคร ไม่แน่เด็กคนนั้นจะไม่ใช่ลูกของคุณชายก็ได้ ”
ซางหัวจดจ้องไปยังสีหน้าของติงยียี เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงทำหน้านิ่งไม่มีท่าทีจะโต้แย้งอะไร ในใจก็เหมือนจะมีแผนบางอย่าง ” ดังนั้นคุณติงยียี คะ ฉันจะยอมช่วยคุณให้เอาทุกอย่างกลับคืนมาให้หมด ”
” ถ้างั้นคุณคิดจะทำอะไร? ” ติงยียีถามอีกฝ่ายกลับด้วยท่าทีนิ่งเฉย
” ง่ายมากเลยค่ะ คุณแค่ต้องไปคุยกับคุณชายก่อน เพียงแค่คุณชายอนุญาตให้ฉันกลับเข้าบ้านตระกูลเย่ ส่วนที่เหลือฉันจะเป็นคนจัดการเอง เราจะร่วมมือกัน ถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นฉันจะเป็นคนรับผิดชอบเองค่ะ