“น้องสาวคุณ!” เอเลนมองเธออย่างแปลกใหม่ ในดวงตาของสีฟ้าเต็มไปด้วยความงุนงง
อ้าวเสว่ยิ้มไปทางเขาอย่างอ่อนโยน “พ่อแม่ของพวกเราแยกจากกันตั้งแต่ยังเด็ก ฉันกับเธอเติบโตขึ้นมาจากต่างที่กัน ฉันกับเนี่ยนโม่เป็นคู่ที่เหมาะสมกันตั้งแต่ยังเด็กจนโต อาจจะเป็นเพราะความสัมพันธ์ทางสายเลือด ก็เลยชอบอะไรเหมือนกัน”
“คุณบอกเรื่องพวกนี้กับผมทำไม” น้ำเสียงเอเลนอ่อนลงเล็กน้อย สำหรับผู้หญิงที่อ่อนโยนแบบนี้ ต่อให้ผู้ชายไม่ชอบ ก็คงไม่มีทางเกลียดได้จริงๆ
อ้าวเสว่หมุนตัวไปปิดน้ำ เธอลูบท้องของตัวเองด้วยความรักเอ็นดู “ไม่มีอะไร ก็แค่อยู่ที่บ้านตระกูลเย่ไม่ใครให้พูดคุยด้วยเท่านั้น ดังนั้นพอเจอใครก็อดที่จะพูดคุยด้วยไม่ได้”
เธอก้มหน้าเล็กน้อย คางแหลมได้มุมสวยงาม แม้ว่าจะตั้งท้องอยู่ แต่ก็ยังมีความเป็นตัวของตัวเองอยู่ บรรยากาศเงียบสงบ เธอเงยหน้าขึ้นยิ้ม “ไม่มีอะไร ก็แค่จะขอบคุณ ขอบคุณที่คุณดีกับน้องสาวฉัน ใช่แล้ว อย่าบอกเธอเด็ดขาด เพราะว่าเธอมีความเป็นปฏิปักษ์กับฉัน”
เธอก้มศีรษะให้เขาแสดงการรับรู้ จากนั้นก็ออกไป เมื่อเดินเข้ามาที่ห้องรับแขกรอยยิ้มที่อ่อนโยนของเธอก็จางหายไป เธอไปที่ห้องของเย่เฟิ่งหยี
เย่เฟิ่งหยีกำลังนอนตะแคงอยู่บนเตียง ต้าต้ากำลังทุบขาให้เธออยู่ เธอมองเห็นอ้าวเสว่ สีหน้าเธอดูดีขึ้นมาเล็กน้อย “ทำไมไม่พักผ่อนเยอะๆ”
อ้าวเสว่ถอนหายใจ “เมื่อครู่ฉันเพิ่งจะไปหาผู้ชายต่างชาติตาสีฟ้าคนนั้นมาค่ะ”
“ไปหาเขาทำไม” แม้เย่เฟิ่งหยีจะมีสีหน้าเรียบเฉย แต่ก็ไม่สู้ดีนัก เมื่อเธอนึกถึงตอนที่ชายชราล้อเลียนเธอในตอนนั้น เธอก็อดที่จะโกรธไม่ได้
อ้าวเสว่เดินเข้าไปใกล้เธอ โบกมือให้ต้าต้าถอยออกไป สีหน้าเศร้าหมอง “ท่านเองก็น่าจะมองออกคนที่ชื่อเอเลนคนนั้นชอบยียี จะอย่างไรยียีก็เป็นคนของตระกูลเย่เรา เนี่ยนโม่ชอบเธอมากขนาดนั้น เธอก็เป็นน้องสาวฉันอีก ยังไงก็ต้องสั่งสอนกันบ้าง จะปล่อยให้เธอทำให้ตระกูลเย่เสื่อมเสียไม่ได้”
“ก็มีแต่เธอที่คิดได้แบบนี้” เย่เฟิ่งหยีตบที่หลังมือเธอเบาๆ สีหน้าท่าทางเคร่งเครียด “ยียีเด็กคนนั้น ฉันก็ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดีจริงๆ!”
เมื่อบรรลุวัตถุประสงค์แล้ว อ้าวเสว่ก็ค่อยๆลุกขึ้น พูดคุยกับเย่เฟิ่งหยีอีกครู่หนึ่ง แล้วจึงออกมาในใจนึกถึงเย่เนี่ยนโม่ เธอแบกท้องคิดจะไปหาเขาที่ห้องหนังสือเสียหน่อย
เธอเดินไปที่ประตูห้อง จากนั้นก็หยุดฝีเท้า ภายในห้องหนังสือ เย่เนี่ยนโม่สมาธิจดจ่ออยู่กับเอกสาร ติงยียีนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงหน้าต่าง ดวงตาเธอมองไปยังก้อนเมฆนอกหน้าต่าง ดูเหมือนกำลังใจลอย
ในอากาศดูเหมือนแม้กระทั่งออกซิเจนก็ยังเปลี่ยนเป็นเบาบาง บางครั้งก็มีเสียงกระดาษถูกเปิดพลิก อ้าวเสว่มองอย่างเงียบๆ มือของเธออยู่บนลูกบิดประตู สุดท้ายก็ปล่อยมือ
ติงยียีมองก้อนเมฆนอกหน้าต่าง หันไปถลึงตาใส่เย่เนี่ยนโม่อย่างเบื่อหน่ายขั้นสุด ไม่รู้ว่าเกิดอะไรกับเขา เรียกตัวเองมาหลังจากนั้นก็ไม่พูดอะไร เอาแต่ตั้งใจจดจ่ออยู่กับงานของตัวเอง เธอเบื่อหน่ายอย่างยิ่ง ได้แต่นั่งเหม่อลอยตรงหน้าต่าง
เงียบเกินไปแล้ว เธอดึงผมอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย เย่เนี่ยนโม่เหลือบมองเธอ กดวิทยุสื่อสารที่วางอยู่ข้างโต๊ะ ไม่นานก็มีเสียงเคาะประตู พ่อบ้านเอามาขนมเลิศรสขึ้นมาส่ง วางตรงหน้าของติงยียี
ติงยียีทนไม่ไหวแล้ว วิ่งไปเอามือตบโต๊ะเขา “ตกลงว่าเรียกฉันมามีเรื่องอะไรกันแน่!”
เย่เนี่ยนโม่วางปากกาในมือลง เขาเงยหน้าขึ้นมามองติงยียีที่ยืนทำหน้าตาโมโหอยู่ข้างๆ ทันใดนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืน ติงยียีถอยหลังหลบตามสัญชาตญาณ
มือข้างหนึ่งยื่นมา ผ่านเอวของติงยียีไป เพราะการกระทำนี้เป็นสาเหตุให้กดทับเสื้อผ้า เนื้อผ้าเสียดสีกับผิวหนังตรงเอวทำให้เกิดความรู้สึกชาเล็กน้อย
ลมหายใจเขารดบนแก้มของติงยียี ไม่รู้ทำไม เธอก็หน้าแดงขึ้นมา เย่เนี่ยนโม่ดึงมือกลับ ในมือถือขนมเอาไว้หนึ่งชิ้น
“อ้าปาก” เขาสั่งเบาๆ ติงยียียังคงกังวลว่าเขาจะเห็นหรือไม่ว่าตนเองหน้าแดง แม้ไม่รู้ว่าเขาคิดจะทำอะไร แต่ก็อ้าปากตามที่เขาสั่ง
ขนมหนึ่งชิ้นถูกยัดใส่เข้าไปในปาก เย่เนี่ยนโม่กลับไปนั่งทำงานที่โต๊ะใหม่อีกครั้ง ติงยียีคาบขนมเอาไว้ ดวงตาโตเปล่งประกาย เห็นชัดว่ายังไม่รู้ว่าเกิดอะไร
อากาศยังคงเต็มไปด้วยกลิ่นแห่งความเงียบสงบ เครื่องปรับอากาศส่วนกลางส่งก๊าซอุ่นๆออกมา ในห้องไม่มีใครพูดอะไรอีก มีเพียงเสียงบดเคี้ยวละเอียดๆและเสียงกระดาษพลิกเปิดเป็นครั้งคราว
เช้าตรู่ เย่ป๋อยืนมองเอเลนอย่างแปลกใจที่ตระกูลเย่ แต่กลับไม่ได้แสดงออกมาให้เห็นภายนอก ทั้งสองคนก้มศีรษะ เย่เนี่ยนโม่เดินออกมาจากประตู มีอ้าวเสว่ตามมาด้านหลัง
“รอเดี๋ยวเนี่ยนโม่” อ้าวเสว่เรียกเขา ยื่นมือออกไปและค่อยๆเกลี่ยรอยพับที่ไม่เด่นชัดบนปกเสื้อของเขาให้เรียบ เย่เนี่ยนโม่ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรค่อยๆโน้มตัวลงไปปล่อยให้เธอทำตามใจ
“ระหว่างทางระมัดระวังตัวด้วยนะคะ ฉันจะรอคุณกลับมา” อ้าวเสว่ค่อยๆถอยไปข้างหลัง มองเขาอย่างลึกซึ้ง เย่เนี่ยนโม่พยักหน้า สายตากลับมองไปที่ทางขึ้นบันได ที่นั่นว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลย
อีกมุมหนึ่งของบันได ติงยียีส่งเขาจากไปด้วยสายอย่างระแวงระวัง แน่นอนว่าเธอมองเห็นการกระทำของทั้งสองคน แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะ ให้เธอคอยไปส่งเขาทุกวันเหมือนอ้าวเสว่ จากนั้นก็รอเขากลับมาตอนเที่ยงคืน เธอไม่ได้อยากใช้ชีวิตแบบนี้
บนโต๊ะอาหารเงียบมาก เย่เฟิ่งหยีไม่ได้ออกจากห้องเลย Alinถามด้วยเสียงขรึมว่า “เด็กน้อย จะกลับไปกับอาจารย์เมื่อไหร่ ไม่กลับอาจารย์ก็จะไม่ไปนะ!”
ติงยียียังไม่ทันได้พูด อ้าวเสว่ก็แย่งพูดขึ้นมาว่า “อาจารย์ อยู่ต่ออีกสักสองสามวันนะคะ ฉันยังมีเรื่องที่อยากขอคำชี้แนะกับอาจารย์อีกหลายอย่างเลยค่ะ”
แม้ในใจAlinsจะไม่พอใจสรรพนามที่เธอเรียก แต่ก็ไม่ได้พูดออกมา พูดอย่างคลุมเครือว่า “ว่างค่อยว่ากัน”
ติงยียีเอาคำว่า“อาจารย์” สองคำนี้กลืนลงไปเฉยๆ ยิ้มแล้วก้มหน้ากินโจ๊ก ทันใดนั้นตะเกียบคู่หนึ่งคีบอาหารมาใส่ในชามเธออ้าวเสว่พูดอย่างอ่อนโยนว่า “อย่ามัวแต่กินโจ๊ก กินอาหารว่างด้วย”
“ขอบคุณค่ะฉันไม่กิน” ติงยียีเขี่ยอาหารไปไว้ข้างๆ ในใจมีความโกรธ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้อีก เธอรู้ว่าอ้าวเสว่คิดจะทำอะไร แต่กลับไม่อาจขัดขวางได้
เอเลนเห็นอากัปกิริยาของทั้งสองคน ก็อยากจะช่วยลดความขัดแย้งของพี่น้องด้วยความหวังดีเขาพูดกับติงยียีด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “ยียีกินผักหน่อยสิจะได้แข็งแรง ตอนอยู่ที่ฝรั่งเศสสิ่งที่คุณชอบกินที่สุดก็คือผักนี่นา”
อ้าวเสว่หันไปมองเธอ “แม้แต่เพื่อนของเธอยังต้องกล่อมให้เธอกิน เธอก็ไม่ต้องมั่นใจในตัวเองมากขนาดนั้น รีบกินเถอะ”
“ขอบคุณค่ะ ฉันกินอิ่มแล้ว” ติงยียีรีบวางตะเกียบแล้วลุกจากที่นั่ง เอเลนลังเลอยู่ชั่วครู่ ก็รีบตามไป
อ้าวเสว่มองด้านหลังของทั้งสองคน เธอลุกขึ้นก้มศีรษะให้Alinพูดว่า “อาจารย์คะ ฉันไปดูคุณย่าหน่อยนะคะ”
“ต่อไปอย่าเรียกผมว่าอาจารย์ ผมรับปากว่าช่วงเวลาที่อยู่ประเทศจีนจะช่วยชี้แนะคุณ แต่จะไม่มีทางรับคุณเป็นศิษย์” Alinเหลือบมองพลางพูดกับเธออย่างเฉยชา
อ้าวเสว่อึ้ง “ฉันทำได้ไม่ดีเหรอคะ ฉันสู้ยียีไม่ได้เหรอคะ”
Alinส่ายหน้า “ไม่ใช่ เธอไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ชีวิตนี้ผมจะรับยัยหนูนั่นเป็นลูกศิษย์เพียงแค่คนเดียว”
เขาก็พูดถึงขนาดนี้แล้ว แม้ว่าในใจอ้าวเสว่จะอับอายไม่เต็มใจอย่างไร แต่สีหน้ากลับยังคงอ่อนโยน “ค่ะ ต้องขอโทษที่ทำให้ท่านรู้สึกไม่สบายใจ”
เธอเดินเลียบไปตามทางเดินระเบียงอย่างช้าๆ ในใจโกรธมาก เธอมีอะไรสู้ติงยียีไม่ได้ มีสิทธิ์อะไรถึงรับติงยียีเป็นลูกศิษย์แค่คนเดียว
มือของเธอวางบนราวบันไดริมหน้าต่างในทางเดิน มองออกไป ในสวนหย่อมเอเลนดูเหมือนกำลังง้อติงยียีอยู่ เธอยิ้ม อารมณ์ดีขึ้นมาทันที
ภายในห้องเย่เฟิ่งหยี อ้าวเสว่เกลี้ยกล่อม “คุณย่าคะ หนูไปเดินเล่นที่สวนหย่อมเป็นเพื่อนคุณย่านะคะ อยู่แต่ในห้องจะอึดอัดแย่นะคะ”
“ช่างเถอะ มองเห็นคนอื่นฉันก็อึดอัดใจ” เย่เฟิ่งหยีขมวดคิ้วแน่น ชาวต่างชาติสองคนนั้นเย่เนี่ยนโม่เป็นคนขอให้เขาอยู่ต่อด้วยตัวเอง ในฐานะผู้หญิงตระกูลเย่ เธอจะไม่ทำเรื่องที่หักหน้าผู้ชายแน่นอน
“นี่เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได่ วันนี้หนูลองเสนอแล้ว แต่อีกฝ่ายยืนกรานจะอยู่ต่อเพื่อรอติงยียี” อ้าวเสว่ลูบท้อง สีหน้าเป็นกังวล
เย่เฟิ่งหยีตบโต๊ะที่ทำจากไม้แดง “ให้พวกเขาอยู่! ไม่อย่างนั้นถึงเวลาจะบอกว่าตระกูลเย่ของพวกเราต้อนรับแขกไม่ดีไม่ได้นะ!”
เห็นเธอโกรธ อ้าวเสว่ก็รีบปลอบ “คุณย่าอย่าโกรธเลย พวกเราไปสวนหย่อมกันเถอะค่ะ เด็กน้อยก็บอกว่าอยากอยู่กับคุณย่าค่ะ”
เย่เฟิ่งหยีได้ยินเธอพูดแบบนี้ สีหน้าก็เริ่มที่จะอ่อนโยนลงอย่างแท้จริง ต้าต้าเห็นอย่างนั้นก็รีบมาประคองเธอ ทั้งสามคนเดินเข้าไปในสวนหย่อม
ภายในสวนหย่อม ติงยียีกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ “ฉันไม่ได้โกรธคุณจริงๆ”
“งั้นคุณเต็มใจที่จะรับดอกไม้ดอกนี้มั้ย” เอเอาดอกกุหลาบดอกหนึ่งมาจากด้านหลังราวกับแสดงมายากลอย่างนั้น พอติงยียีมองเห็น นี่ไม่ใช่ดอกไม้ที่ปลูกในแปลงดอกไม้ในเรือนกระจกในวันนี้ไม่ใช่หรือ
เอเลนคิดจะแกล้งหยอกเธอเล่น เขาเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว คุกเข่าลงกับพื้น ยื่นดอกกุหลาบขึ้นมาด้วยสีหน้าที่ดูเกินจริง “โอ้ จูเลียต ผมหวังว่าคุณรับรู้ในความรักของผม ดวงตาของคุณบอกความคิดของคุณแล้ว ผมอยากตอบ แต่ผมกังวลว่าผมจะประมาทเกินไป”
ติงยียีถูกเขาแกล้งหยอก หัวเราะจนตัวโยน ทันใดนั้นก็มีเสียงดุดังมาจากด้านหลังทั้งสองคน “เพ้อเจ้อ!”
ติงยียีหันไปมองอย่างแปลกใจ “คุณย่า!”
เย่เฟิ่งหยีโกรธจนตัวสั่น “พวกเธอทำไมถึงได้ทะเรื่องแบบนี้ในตอนกลางวันแสกๆ เนี่ยนโม่กับชูหวินชอบเธอขนาดนั้น เธอกับผู้ชายอื่นกลับ···กำลัง···”
เธอไม่รู้จะสรรหาคำใดมาแสดงความโกรธของตนเอง การอบรมเลี้ยงดูของตระกูลผู้ดีมีเงินทำให้คำที่เธอใช้ดุด่าคนของเธอขาดหายไปมาก เธอได้แต่โกรธจนหอบหายใจ อ้าวเสว่รีบตบที่หลังเธอเบาๆ “คุณย่า อย่าโกรธเลยนะคะ ยียีน่าจะแค่หยอกเลนกันกับเอเลน”
“คุณย่า เรื่องนี้เป็นแค่การหยอกล้อกันระหว่างเพื่อนเท่านั้นค่ะ” แม้ในใจติงยียีจะรู้สึกน้อยใจ แต่กลับไม่อยากให้คนอายุมากอย่างเธอต้องโกรธ
“คุณย่าชาวจีนท่านนี่ เมื่อครู่ผมหยอกเล่นกับยียีจริงๆ” เอเลนเห็นเรื่องบานปลายก็รีบอธิบายด้วยภาษาจีน
เย่เฟิ่งหยีค่อยๆสงบลง กลายเป็นผู้หญิงที่สูงส่งและสง่างามอีกครั้ง แม้ว่าสีหน้าเธอจะไม่ได้โกรธจนหน้าดำหน้าแดง แต่น้ำเสียงกลับไม่ได้ตื่นเต้นเหมือนเมื่อครู่ “ติงยียีเธอตามฉันมาหน่อย”
เอเลนคิดจะไปขวางไว้ด้วยท่าทีลังเลเล็กน้อยติงยียีค่อยๆส่ายหน้า การกระทำแบบนี้ในสายตาเย่เฟิ่งหยีแม้จะชอบแต่ก็ต้องแกล้งทำเป็นปฎิเสธ เธอเป็นฝ่ายหมุนตัวเดินไปทางห้องโถงก่อน มีคนนอกอยู่ด้วย เธอไม่ยอมเสียมารยาท