หลิ่วเหมยอู่เอ่ยอย่างอ่อนหวานว่า “เหมยอู่ได้ยินว่าช่วงนี้ร่างกายขององค์หญิงไม่ค่อยสู้ดีนัก แต่ก่อนหน้านี้ไม่มีเวลามาเยี่ยม วันนี้จึงตั้งใจมาเยี่ยมองค์หญิงโดยเฉพาะเพคะ” นางสั่งให้เซียงซั่นนำถาดขนมวางลงตรงหน้า “ขนมเหล่านี้หม่อมฉันตั้งใจเข้าครัวทำมาให้องค์หญิง องค์หญิงลองชิมดูสิเพคะว่าทรงโปรดไหม”
“เจ้าทำเองเลยงั้นหรือ” เฉินเสียนเลิกคิ้วถาม
“เพคะ เหมยอู่ทำอาหารไม่เก่ง ขอองค์หญิงทรงอย่ารังเกียจ”
“ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าก็อยากจะลองชิมเสียหน่อย” พูดจบเฉินเสียนก็หยิบขนมขึ้นมาหนึ่งชิ้นและเตรียมจะส่งเข้าปาก
อวี้เยี่ยนเห็นดังนั้นจึงรีบหยุดเธอไว้ “องค์หญิง ของที่ไม่รู้ที่มาที่ไปเช่นนี้ องค์หญิงควรระมัดระวังนะเพคะ”
เฉินเสียนมองหลิ่วเหมยอู่ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “จะเป็นของที่ไม่รู้ที่มาที่ไปได้อย่างไร เมื่อครู่เจ้าไม่ได้ยินหรือว่านายหญิงน้อยลงมือทำด้วยตัวนางเอง”
อวี้เยี่ยนตอบว่า “องค์หญิงกำลังทรงพระครรภ์ เพื่อความปลอดภัยของเด็กในท้อง ไม่ว่าจะทำอะไรก็ควรระมัดระวังเป็นพิเศษนะเพคะ”
เฉินเสียนกล่าวต่อ “เจ้าคิดว่าเหมยอู่จะวางยาเพื่อหวังทำร้ายเด็กในท้องของข้างั้นหรือ เหมยอู่จะเป็นคนแบบนั้นได้อย่างไร ถ้าหากขนมเหล่านี้อันตรายจริงและข้าสูญเสียลูกไปหลังจากข้ากินมัน เรื่องนี้ย่อมต้องมีคนรับผิดชอบ นางจะถูกสงสัยโดยง่ายและได้รับการลงโทษเป็นร้อยเท่าพันเท่าไม่ใช่หรือ”
หลิ่วเหมยอู่หน้าถอดสี
เฉินเสียนหยุดไปนิดหนึ่งก่อนจะพูดต่อว่า “ดูเหมือนนี่จะไม่ใช่สิ่งที่ข้าควรกังวล แต่เป็นสิ่งที่เหมยอู่ควรกังวลมากกว่า ถ้านางบอกว่าขนมนี้ปกติดีแต่หากข้ากินไปแล้วเกิดมีปัญหาขึ้นมา เหมยอู่จะแก้ต่างอย่างไรก็คงฟังไม่ขึ้นจริงไหม”
อวี้เยี่ยนรู้ว่าเฉินเสียนกำลังคิดอะไร เธอกำลังทำให้เรื่องมันแย่ยิ่งกว่าเดิม
ตั้งแต่ถูกฉินหรูเหลียงทุบตีจนเกือบแท้งในคราวนั้นเฉินเสียนก็ไม่สนใจสิ่งใดอีกต่อไป
คราวนี้อวี้เยี่ยนยังไม่ทันห้าม หลิ่วเหมยอู่ก็ส่งเสียงห้ามเธอเสียก่อน “องค์หญิง อวี้เยี่ยนพูดถูกแล้วเพคะ องค์หญิงกำลังทรงพระครรภ์จึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ขนมพวกนี้ช่างมันเถิดเพคะ เป็นเหมยอู่เองที่ไม่ได้พิจารณาให้รอบคอบเสียก่อน”
พูดจบก็สั่งให้เซียงซั่นเก็บขนมไป
เฉินเสียนเตือนนางขนาดนี้แล้ว นางจึงให้เธอกินขนมนั้นไปส่งๆ ไม่ได้ ต่อให้ในขนมไม่มีพิษแต่ถ้าเธอบอกว่ามีพิษ นางก็จะได้ไม่คุ้มเสีย หรือต่อให้มีพิษจริงๆ นางก็ทำอะไรเฉินเสียนไม่ได้เลย
แม้ว่านางจะอยากวางยาทารกในครรภ์ของเฉินเสียนมากก็ตามที!
เฉินเสียนถามเรียบๆ ว่า “ข้าได้ยินคนพูดกันว่าก่อนหน้านี้ข้าทำร้ายเจ้าจนยับเยิน ตอนนี้ดีขึ้นแล้วหรือ”
หลิ่วเหมยอู่ตอบว่า “หม่อมฉันอยากอธิบายเรื่องนี้กับองค์หญิงมาตลอด ทุกอย่างเป็นความผิดของหม่อมฉันเอง หม่อมฉันไม่ระวังและบังเอิญหกล้มในสวน แต่ตอนนั้นท่านแม่ทัพใจร้อนเกินไป ไม่รอให้หม่อมฉันพูดจบก็รีบรุดมาหาเรื่ององค์หญิง วันนี้ที่หม่อมฉันมาที่นี่ก็เพื่อจะมาขอโทษเพคะ”
“เรื่องนั้นไม่จำเป็นหรอก แม่ทัพฉินปฏิบัติต่อข้าอย่างไร ข้าจะตอบแทนอย่างสาสม ข้าคิดว่าข้ายังตอบแทนไปไม่ครบ ไว้หลังจากนี้ข้าจะค่อยๆ ตอบแทนเขา” เฉินเสียนยกชาขึ้นจิบพลางพูดด้วยรอยยิ้ม
“แต่ฉินหรูเหลียงยืนยันเสียงแข็งว่าข้าตบเจ้า ถ้าข้าตบเจ้าจริงข้าก็คงเริ่มจากใบหน้าก่อน ข้าจึงบอกให้เขาไปดูว่าบนหลังของเจ้ามีรอยแผลหรือไม่ ถ้าหากว่าเจ้าเป็นคนลงมือทำร้ายตัวเองก็คงทำให้เกิดรอยแผลที่หลังไม่ได้ หรือไม่ก็จงใจทำให้คนเห็นแค่ด้านหน้า ไม่จำเป็นต้องทำไปถึงด้านหลัง เจ้าไม่ได้บอกว่าเจ้าล้มหรอกหรือ แต่ข้าแน่ใจว่าคงไม่ได้ล้มหงายหลังจนสี่ขาชี้ฟ้าแน่ๆ”
ได้ยินเธอพูดดังนั้นหลิ่วเหมยอู่ก็หน้าซีดเผือดทั้งยังกำผ้าเช็ดหน้าในมือไว้แน่น
สองวันก่อนฉินหรูเหลียงออกมาจากสวนสระวสันตฤดูและตรงไปยังสวนดอกพุดตานของหลิ่วเหมยอู่ นางจำได้ดีว่าเขาถามเกี่ยวกับบาดแผลที่หลังของนางขณะที่ทายาให้
ที่แท้ก็เป็นเพราะเหตุนี้นี่เอง! เฉินเสียนเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด!
ตอนนั้นหลิ่วเหมยอู่ไม่ได้สนใจ แต่ตอนนี้นางกังวลเหลือเกินว่าฉินหรูเหลียงจะรู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร
นั่งต่อได้ไม่นานนางก็พาเซียงซั่นจากไปด้วยจิตใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
เฉินเสียนหรี่ตามองแผ่นหลังของสองนายบ่าวที่ค่อยๆ หายลับไปจากประตู อวี้เยี่ยนที่อยู่ข้างๆ บ่นพึมพำว่า “ตอนเห็นท่าทางสอพลอของนาง บ่าวไม่สบายใจเลยเพคะ ทำไมองค์หญิงถึงยังต้อนรับพวกนางอยู่อีก”
เฉินเสียนกระตุกยิ้มมุมปากและกล่าวว่า “มันไม่มีทางเลือก ข้าว่างเกินไป” แล้วเธอก็ถามอย่างกระตือรือร้น “เจ้าคิดไหมว่าเซียงซั่นก็สวยไม่ใช่เล่น เดินเอวบิดน่ามองยิ่งกว่าเหมยอู่เสียอีก”
อวี้เยี่ยนกะพริบตาปริบๆ เอ่ยอย่างเคืองๆ ว่า “องค์หญิงยังมีกะจิตกะใจชื่นชมอยู่อีกหรือเพคะ นางหลิวรูปร่างหน้าตาสะสวยขนาดนั้น เซียงซั่นจะไปเทียบเคียงได้อย่างไรกัน!”
เฉินเสียนยกมือขึ้นลูบรอยแผลเป็นบนใบหน้า เธอเอนศีรษะพิงพนักเก้าอี้ จากนั้นริมฝีปากบางก็เอ่ยว่า “เซียงซั่นเอ๋ย แล้วเจ้าจะพบกับความโชคดี”
เป็นคำพูดที่ฟังดูเรียบๆ แต่อวี้เยี่ยนฟังแล้วกลับตัวสั่นขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
โชคดีหรือ? ทำไมอวี้เยี่ยนกลับคิดว่าบ่าวผู้นั้นกำลังจะพบเจอความโชคร้ายมากกว่า แต่เซียงซั่นควรประสบโชคร้ายตั้งแต่ตอนที่นางทำลายโฉมหน้าขององค์หญิงด้วยมือของนางแล้วด้วยซ้ำ!
ดวงตะวันเริ่มลอยสูงขึ้น อวี้เยี่ยนจึงประคองเฉินเสียนเข้าไปในห้องเพื่อพักผ่อน
เจ้าทารกน้อยที่อยู่ในครรภ์ของเธอช่างกระฉับกระเฉงเหลือเกิน ทุกวันจะต้องเตะท้องทักทายเฉินเสียน บางครั้งเธอกำลังหลับสบายๆ แต่ก็ต้องตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะโดนเจ้าเด็กผีนี่เตะเข้า
เด็กเกือบจะมีอายุครบห้าเดือนแล้วแต่ท้องของเฉินเสียนกลับนูนขึ้นเพียงเล็กน้อยและมองไม่ค่อยชัด ร่างกายของเธอค่อนข้างซูบผอม ยิ่งถ้าสวมเสื้อผ้าหลวมๆ และไม่ตั้งใจมองก็คงดูไม่ออก
ตอนนี้เธอนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งและมองดูใบหน้าตัวเองในกระจก
ยาขี้ผึ้งที่เหลียนชิงโจวให้เธอครั้งก่อนใช้ได้ผลดีมาก หลังจากทาไปหนึ่งเดือนรอยแผลเป็นก็จางลงอย่างเห็นได้ชัด ผิวบริเวณรอบๆ ก็เรียบเนียนเกลี้ยงเกลายิ่งกว่าเมื่อก่อน
หากเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ รอยแผลเป็นบนใบหน้าก็จะหายไป เหลือไว้เพียงร่องรอยแห่งกาลเวลาเท่านั้น
เฉินเสียนสร้างรอยแผลเป็นปลอมๆ ติดลงบนแผลเป็นที่หายจนเกือบเป็นปกติ และยังคงสวมบทเป็นหญิงอัปลักษณ์ต่อไป
อวี้เยี่ยนบ่นพึมพำว่า “ใครๆ ก็ปรารถนาให้ตัวเองสวยขึ้น แต่องค์หญิงดันอยากทำให้ตัวเองอัปลักษณ์กว่าเดิม เมื่อแผลบนใบหน้าหายสนิท องค์หญิงคงสวยกว่าหลิ่วเหมยอู่ไม่รู้กี่เท่า!”
เฉินเสียนไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดๆ
ในตอนนั้นแม่บ้านจ้าวนำยาหม้อที่ต้มเสร็จแล้วมาให้และเตรียมเขี่ยถ่านที่มอดแล้วออกจากเตา
เห็นดังนั้นเฉินเสียนจึงหยิบถ่านออกมาสองสามก้อนแล้วพาตัวเองเดินไปที่โต๊ะและคลี่กระดาษออก จากนั้นจึงใช้ถ่านสีดำวาดภาพบนนั้น
อวี้เยี่ยนกับแม่บ้านจ้าวยืนมองอยู่ข้างๆ พลางทำเสียงจิ๊จ๊ะอย่างชื่นชม
แค่เพียงเวลาสั้นๆ รูปร่างมนุษย์ก็ปรากฏบนกระดาษ เป็นการวาดที่ตัดทอนรายละเอียดให้น้อยลงและดูน่ารักน่าขบขันมากขึ้น
อวี้เยี่ยนเอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “บ่าวไม่คิดว่าถ่านดำๆ นี่จะใช้นำมาวาดรูปได้ องค์หญิงสุดยอดจริงๆ เพคะ วาดออกมาได้แปลกไม่เหมือนใคร”
เฉินเสียนกล่าวด้วยรอยยิ้มจางๆ “เมื่อก่อนตอนที่ยังใช้หน้าตาทำมาหากินได้ข้าก็พึ่งพรสวรรค์ ตอนนี้เมื่อพึ่งหน้าตาไม่ได้แล้ว ข้าก็คงเหลือแค่พรสวรรค์นี้เท่านั้น”
ความคิดสร้างสรรค์ของเธอไหลทะลักและวาดการ์ตูนสี่ช่องออกมาได้อย่างง่ายดาย แม้ว่ารูปแบบการวาดตัวละครจะแตกต่างไปจากการวาดรูปทั่วไปของต้าฉู่ แต่มันก็เหมือนจริงมาก
อวี้เยี่ยนและแม่บ้านจ้าวมองปราดเดียวก็รู้ทันทีว่าเธอวาดฉินหรูเหลียงกับหลิ่วเหมยอู่! ข้างๆ เขียนไว้ว่า ‘ไก่และหมาห้ามเข้า’
เฉินเสียนส่งกระดาษแผ่นนี้ให้อวี้เยี่ยนและสั่งว่า “เอาไปติดกับแผ่นไม้ให้แข็งแรงแล้วนำไปตั้งไว้ที่หน้าประตู”
อวี้เยี่ยนไม่กลัวว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ นางจึงรับและนำไปติดอย่างชื่นมื่น
เมื่อเห็นเช่นนั้นแม่บ้านจ้าวก็ขัดขึ้นว่า “องค์หญิง แบบนี้ไม่ค่อยดีนะเพคะ”
เฉินเสียนหรี่ตาพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “แม่นมจ้าว ข้ากำลังท้องอยู่นะ เจ้ารู้ไหมว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับคนท้อง”
“บ่าวไม่รู้เพคะ”
เฉินเสียนตอบว่า “สิ่งสำคัญที่สุดคือความสุขของข้า หากว่าข้าไม่มีความสุข เจ้าเด็กนี่ก็จะไม่มีความสุขไปด้วย”
“แต่ถ้าท่านแม่ทัพรู้เข้า…”
“ก็ให้เขามาคุยกับข้าเอง”