ช่วงบ่าย ในขณะที่ทั้งสองคนเริ่มทำการศึกสงครามในกระบะทราย เหลียนชิงโจวก็เข้ามาในกระโจม แะยังพาคนมาอีกหนึ่งคน
เมื่อเห็นสถานการณ์ตรงหน้า เหลียนชิงโจวก็ไม่เข้าไปขัดจังหวะ ได้แต่ยืนมองอยู่ข้าง ๆ อย่างเงียบ ๆ
ภูมิประเทศที่ลดขนาดลงบนกระบะทราย และธงเล็กสีดำแดงของทั้งสองฝ่าย แสดงถึงสนามรบขนาดย่อย เฉินเสียนรู้ดีว่าซูเจ๋อไม่มีวันอ่อนข้อให้อย่างแน่นอน และเขาก็เก่งเรื่องการรบและวิธีทางสงคราม ดังนั้นเธอจึงต้องจัดการกับมันด้วยสมาธิและความสงบอย่างเต็มที่
ทั้งสองแย่งชิงพื้นที่ดินแดนกันอย่างดุเดือด และธงเล็กๆ ในมือของพวกเขาเคลื่อนไปบนกระบะทราย ซึ่งทำให้คนที่เหลียนชิงโจวพามาด้วยถึงกับตื่นตาตื่นใจ
เหลียนชิงโจวมีความสุขและอิสระ เขาเป็นพ่อค้าที่สนใจแต่การทำกำไรและการหาเงิน และไม่ได้สนใจเรื่องการรบการเดินทัพสงครามนี้เลย เพียงแค่ดูเป็นเกมอย่างหนึ่งที่แปลกใหม่
เหลียนชิงโจวมองไปที่ชายหนุ่มที่อยู่ข้าง ๆ เขา และเห็นว่าเขากำลังกะพริบดวงตาสีดำคู่นั้น และดูเหมือนจะสนใจกระบะทรายเป็นอย่างมาก และบางครั้งก็แอบมองไปที่เฉินเสียน
ชายหนุ่มคนนี้ คือเกาเหลียงคนที่เฉินเสียนนำตัวออกมาเมื่อคืนที่กองทัพจักรพรรดิพ่ายแพ้
หลังจากที่แยกย้ายกันคืนวันนั้น เกาเหลียงก็ไม่ได้พบกับเฉินเซียนอีกเลย ไม่ ควรจะเป็นองค์หญิงจิ้งเสียน
ถึงว่าเมื่อก่อนตอนที่พูดถึงเรื่องกองกำลังทหารในเขตใต้ตอนอยู่ในค่ายทหาร เธอถึงรู้เรื่องทุกอย่างดีไปหมด ที่แท้เธอก็คือผู้บัญชาการสูงสุดของกองกำลังทหารในเขตใต้นี่เอง
เกาเหลียงมองเฉินเสียนไม่ได้สวมชุดทหารธรรมดาและอยู่เคียงข้างเขาเหมือนตอนที่อยู่ในค่ายทหารอีกแล้ว
ชายที่อยู่ข้างๆ แต่งกายด้วยชุดสีดำ มีราศีของความเป็นผู้ดีอยู่ในทุกถ่วงท่ากิริยาของเขา ขณะที่เธอแต่งกายด้วยชุดกระโปรงธรรมดา มีคอปกสูงตั้งปิดคอเรียว และชุดคลุมเพียงชั้นเดียวซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของผ้าบางแห่งเจียงหนาน ดูเรียบง่ายและใจกว้างโดยไม่สูญเสียเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ตั้งแต่ที่เธอมาถึงเมืองขุย เธอก็ไม่จำเป็นปกปิดตัวตนที่แท้จริงของเธอว่าเธอคือผู้หญิง เธอคือองค์หญิง และเธอไม่จำเป็นต้องใส่ชุดเครื่องแบบทหาร และเธอก็ไม่ต้องการแก้วแหวนเครื่องประดับเงินทองต่าง ๆ นานา เธอมีเส้นผมที่สวยงาม และมีเพียงปิ่นหยกสีขาวปักอยู่เท่านั้น นอกจากนี้ก็ไม่มีเครื่องประดับอื่นอีกเลย
ทันทีที่เกาเหลียงเห็นเฉินเสียน ภายในหัวก็มีแต่ภาพไฟลุกลามขนาดใหญ่ของคืนวันนั้น
มันคือการเผชิญหน้าและการต่อสู้ที่น่าตกใจมาก
เฉินเสียนเต็มไปด้วยความดุร้าย เลือดที่ไหลออกมาจากดาบในมือของเธอช่างน่าหลงใหลและพร่างพราย ผมยาวของเธอพลิ้วไหวภายใต้แสงไฟ รวมถึงเธอดึงคอผู้ชายข้างกายลงมาจูบ ทุก ๆ อย่างนั้นช่างงดงามจนน่าตื่นตะลึง
ทันใดนั้นเฉินเสียนก็หันกลับมาและให้เขาหมอบลง และดาบในมือของเขาก็แทงอย่างรวดเร็วโดยไม่ลังเล ในเวลานั้นเกาเหลียงถูกรังสีความดุร้ายและหยิ่งทะนงของเธอเข้ามาครอบงำ และเขาก็ทำตามคำพูดของเธอด้วยความงุนงง อย่างละสายตาไม่ได้เลย
เกาเหลียงไม่เคยพบเจอผู้หญิงคนไหนที่หยิ่งทะนงและกล้าบ้าระห่ำได้เท่านี้อีกแล้ว ไม่รู้ว่าชนะและทำให้ผู้ชายหนีไปด้วยความตื่นตระหนกมาแล้วกี่พันกี่หมื่นคน
เขายังจำได้ว่าตอนที่เฉินเสียนอยู่ในค่ายทหารมักไม่ค่อยพูดจา
เกาเหลียงไปพักอาศัยอยู่กับเหลียนชิงโจว ใช้เวลาสองวันเพื่อที่จะผ่อนคลายตัวเองอย่างช้า ๆ เขาคิดว่ามันเป็นเพราะจิตใจและความกล้าหาญแบบนี้นั่นเองที่ทำให้เข้าใกล้ได้มากเมื่ออยู่ในค่าย และเขาพบว่าตอนที่เขากระโดดหนีไปก็ไม่ได้โยนความผิดมาให้เขา จึงทำให้รู้สึกซาบซึ้งอย่างมาก
และนี่ก็คือองค์หญิงจิ้งเสียน เกาเหลียงมีโอกาสได้สัมผัส และได้เคยผ่านการร่วมเป็นร่วมตายมาแล้วครั้งหนึ่ง
การฝึกฝนของเฉินเสียนและซูเจ๋อสิ้นสุดลง ซูเจ๋อกล่าว “พัฒนาไปมากเลยทีเดียว”
เฉินเสียนถอนหายใจและหรี่ตามอง “คำพูดนี้ของอาจารย์กำลังปลอบใจข้าอยู่หรือเปล่า? นี่หากเป็นการทำสงครามจริงละก็ ถ้าข้าแพ้ ท่านปลอบข้าแบบนี้ก็ไม่ต่างกับอับอายใจเลย”
ซูเจ๋อเลิกคิ้ว “ถ้าเช่นนั้นข้าจะรอให้ท่านหายอับอายก่อน”
เฉินเสียนทำความสะอาดมือของเธอ เงยหน้าขึ้นและเห็นเหลียนชิงโจว และกล่าวว่า “จิ้งจอกเหลียน ว่างมากหรือไงกัน?”
เหลียนชิงโจวหัวเราะด้วยความชอบใจ “อันที่จริงก็มีเรื่องที่ต้องทำนะ แต่น้องชายคนนี้ของข้าเขาขอร้องที่จะมาพบองค์หญิง ข้าก็เลยพาเขามาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนหันไปมองเกาเหลียงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เขา เธอยังจำเขาได้ และกล่าวว่า “เกาเหลียง สบายดีใช่ไหม”
เกาเหลียงสูญเสียสิ่งที่จะทำชั่วขณะหนึ่งและตื่นตระหนก เขาคุกเข่าลงและกล่าวว่า “กราบบังคมทูลองค์หญิง”
เฉินเสียนกล่าว “ไม่ต้องพิธีการให้มากความหรอก ลุกขึ้นเถอะ”
เกาเหลียงค่อย ๆ ลุกขึ้นและกล่าวว่า “หม่อมฉันมาประทานอภัยโทษที่ก่อนหน้านี้ที่หม่อมฉันได้เสียมารยาทกับองค์หญิงไปพ่ะย่ะค่ะ” เขากล่าวอย่างกระตือรือร้น
เฉินเสียนเหลือบมองซูเจ๋อ และยิ้มออกมา “ข้าควรจะขอบใจเจ้า หากวันนั้นไม่ใช่เพราะเจ้าที่พาเขามาหาข้า ไม่แน่เราทั้งหมดคงต้องแยกจากกัน”
เกาเหลียงกล่าวอย่างเคารพ “องค์หญิงได้รับความลำบาก ไม่ต้องการให้หม่อมฉันมาลำบากไปด้วย แต่หากหม่อมฉันหลบหนีไปเพียงผู้เดียว หม่อมฉันก็รู้สึกไม่สบายใจ เลยไปหาใต้เท้าคนนี้ที่อยู่กับองค์หญิง องค์หญิงได้ช่วยชีวิตของหม่อมฉัน หม่อมฉันมิอาจรับคำขอบคุณขององค์หญิงได้ หากจะขอบคุณควรเป็นหม่อมฉันมากกว่าที่ต้องขอบพระทัยองค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนกล่าว “ข้าชอบเจ้าเวลาที่เจ้าทำตามสบายมากกว่า เดี๋ยวก็กราบเดี๋ยวก็ขอบพระทัย ทำซะแปลกประหลาดไปเลย”
เมื่อเกาเหลียงกำลังจะตอบอีกครั้ง เขาถูกสายตาของเฉินเสียนจ้องไว้ เขาไม่รู้ว่าจะยกมือขึ้นตรงไหนแล้วจึงค่อย ๆ วางมือลง
เฉินเสียนกล่าวด้วยความพึงพอใจ “เหลียนชิงโจวบอกว่าเจ้าอยากพบข้า? เมื่อตอนเช้าแม่ทัพโฮ้วได้ประกาศคำสั่งใหม่ออกไป ให้ทหารใหม่จากเมืองหลวงที่ไม่มีที่อยู่อาศัยออกไปนอกเมืองเพื่อจัดหาที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกินชั่วคราว เจ้าไม่ไปหรือ?”
เกาเหลียงเม้มริมฝีปากของเขา
เฉินเสียนมองมาที่เขาและพูดอย่างชัดเจนว่า “หากเจ้าไม่อยากไป ข้าก็ไม่บังคับเจ้า เพียงแต่ตอนนี้สถานการณ์ข้างนอกวุ่นวายมากนัก หากปล่อยให้เจ้ากลับไปเมืองหลวงตอนนี้เกรงจะไม่ใช่เรื่องง่าย อาจจะต้องรอให้หลังสงครามเสร็จสิ้นลง เจ้าจึงจะกลับไปอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับคนในครอบครัวได้ ในช่วงเวลานี้ กองทัพเปิดทางให้ และเจ้าสามารถย้ายไปด้วยได้ในภายหลัง”
เกาเหลียงถาม “หม่อมฉันขออยู่ต่อในค่ายทหารได้ไหมพ่ะย่ะค่ะ?”
เฉินเสียนกล่าว “ไม่ได้หรอก เจ้าไม่ใช่ทหาร ทหารใหม่ในค่ายทหารตอนนี้ก็เยอะเต็มจำนวนแล้ว ไม่อย่างนั้นราษฎรก็พากันมาสมัครเป็นทหาร และกองทัพคงไม่ต้องออกคำสั่งจัดสรรหาที่ดินทำกินให้ราษฎรหรอก”
เกาเหลียงรวบรวมความกล้าแล้วกล่าวว่า “แต่หม่อมฉันไม่อยากกลับเมืองหลวงไปแบบนี้ หม่อมฉันต้องการเป็นทหารพ่ะย่ะค่ะ” พูดจบเขาก็คุกเข่าลง “ที่หม่อมฉันต้องการมาพบองค์หญิง เพราะหม่อมฉันมาขอความเมตตาขององค์หญิง ให้หม่อมฉันเป็นทหารพ่ะย่ะค่ะ!”
เฉินเสียนเหล่ตามองและกล่าวว่า “ประชาชนคนธรรมดาจากเมืองหลวงถูกจับกุมเพื่อมาอยู่ในกองทัพและเจ้าก็ไม่ต่างกัน ประชาชนคนธรรมดาไม่กล้าแม้แต่จะหยิบมีด ดังนั้นพวกเขาจะไปต่อสู้และฆ่าศัตรูได้อย่างไร?”
“หม่อมฉันสามารถฝึกฝน! สามารถเรียนรู้พ่ะย่ะค่ะ!” เขาเงยหน้าขึ้นมองเฉินเสียน “ตั้งแต่นาทีที่องค์หญิงได้ช่วยชีวิตหม่อมฉันไว้ หม่อมฉันก็ตัดสินใจไว้แล้วว่าจะเข้าร่วมเป็นทหารพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนหันหลังกลับราวกับว่าเธอไม่ต้องการได้ยินจากเขาอีกต่อไป
“กองกำลังทหารเขตใต้ไม่ได้เป็นทหารกบฏ ไม่มีการเผา ฆ่า และปล้นสะดม แต่พวกเขาต้องการให้ราษฎรประชาชนที่นี่อยู่อย่างสงบ ต้องการให้ประชาชนอยู่ดีกินดี เมื่อก่อนราษฏรประชาชนต่างไม่แสวงหาความก้าวหน้า เพราะพวกเขามองไม่เห็นความหวัง แต่ตอนนี้เข้าร่วมด้วยความเต็มใจ พวกเขาต้องการเปลี่ยนแปลง อยากเปลี่ยนแปลงไปให้ดีกว่าเดิม” เขาก้มหน้าผากแตะพื้นด้วยหัวใจและจิตวิญญาณ “องค์หญิงทรงตรัสว่าต้องขอบคุณราษฎรไม่ใช่หรือ งั้นหม่อมฉันขอให้องค์หญิงได้โปรดมอบโอกาสนี้ให้หม่อมฉันพ่ะย่ะค่ะ!”