เฉินเสียนมองมาที่เขาเป็นเวลานานแล้วกล่าวว่า “เรื่องในราชสำนักมากมายนัก อัครเสนาบดีเป็นถึงหัวหน้าขุนนางในราชสำนัก จะออกไปจากราชสำนักง่าย ๆ แบบนี้ได้อย่างไร ข้าไม่อนุญาต หากต้องการสำรวจตรวจสอบ ข้าจะส่งคนอื่นออกไป”
เฉินเสียนถาม “อัครเสนาบดียังมีเรื่องอื่นอีกไหม?”
ซูเจ๋อกล่าว “หม่อมฉันได้เรียกเหลียนชิงโจวกลับมายังเมืองหลวง ธุรกิจร้านค้าเหลียนจี้ของเขามีอยู่ทั่วต้าฉู่ และตอนนี้ก็ถูกฟื้นฟูขึ้นมากว่าครึ่งแล้ว ฝ่าบาทต้องรีบใช้โอกาสนี้ สั่งห้ามธุรกิจในมือ และเปลี่ยนเป็นทรัพย์สินส่วนราชวงศ์เพื่อวางรากฐานสำหรับรายได้ของท้องพระคลังในอนาคตพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนตกใจและกล่าวว่า “อัครเสนาบดีหมายความว่า ให้ข้ายึดทรัพย์สินและกิจการธุรกิจของเขา?”
ซูเจ๋อมองเฉินเสียนด้วยสายตาที่ดูมีความลับและกล่าวว่า “ฝ่าบาท เขาไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว หากยังปล่อยเขาไว้ ความร่ำรวยของเขาอาจไม่เป็นผลดีในอนาคตข้างหน้า”
แม้ว่าเฉินเสียนจะรู้ว่าซูเจ๋อมักมีวิธีการเสมอและถึงแม้จะโหดร้ายในบางเรื่อง แต่สิ่งที่เขาพูดยังคงทำให้เฉินเสียนแปลกใจจนต้องสูดหายใจเข้าลึก ๆ
เฉินเสียนลดเสียงของเธอและพูดด้วยเสียงต่ำ “อัครเสนาบดีซู เหลียนชิงโจวเป็นลูกศิษย์ของท่าน ท่านอุตส่าห์สั่งสอนฝึกฝนเขามาหลายปี สำหรับเขาแล้ว ท่านเป็นเหมือนอาจารย์และเพื่อนของเขา แต่เมื่อสักครู่ท่านพูดอะไรออกไป?”
ซูเจ๋อกล่าว “เพื่อบรรลุซึ่งจุดมุ่งหมายบางอย่าง”
“ตอนแรกที่ท่านสั่งสอนฝึกฝนเขาก็เพื่อจะหลอกใช้เขา และตอนนี้เขาก็หมดประโยชน์แล้ว ท่านก็ต้องการที่จะฆ่าเขาทิ้ง?” เฉินเสียนไม่อยากจะเชื่อ เธอต้องการหาเบาะแสจากการแสดงออกของซูเจ๋อ แต่เธอกลับล้มเหลว
ซูเจ๋อกล่าว “ไม่เพียงแค่เขา ยังมีอาลักษณ์ฝ่ายพิธีการเฮ่อโยว ท่านแม่ทัพใหญ่ฉินหรูเหลียง”
“อัครเสนาบดีซู ท่านรู้ไหมท่านกำลังพูดอะไรอยู่?”
“อาณาจักรต้าฉู่เพิ่งจะเริ่มก่อตั้งราชวงศ์ใหม่ หลายสิ่งหลายอย่างที่รอดำเนินการอยู่ และต้องการกำลังคนจำนวนมาก ประกาศขององค์จักรพรรดิที่ออกไปเพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้กับพวกเขาก็ไม่เป็นผลเท่าไรนัก แต่ตอนนี้ราชสำนักมีเสถียรภาพขึ้น คนของต้าฉู่มีพรสวรรค์และความสามารถ พวกเขาเป็นขุนนางที่ช่วยองค์จักรพรรดิในการก่อร่างสร้างอำนาจขึ้นมา และไม่ควรอยู่ใราชสำนักเป็นเวลานาน เป็นที่เชื่อกันว่าแม่ทัพโฮ้วได้บอกความจริงแก่องค์จักรพรรดิเกี่ยวกับความสำเร็จอันยิ่งใหญ่และการหมดอำนาจของขุนนาง”
หลังจากหยุดชะงัก ซูเจ๋อพูดอีกครั้งว่า “ไม่เพียงแค่นั้น กองกำลังชายแดนใต้ของแม่ทัพโฮ้ว และกองพันแม่ทัพใหญ่บริเวณพรมแดนทางตอนเหนือและพรมแดนทางตะวันตก ก็ไม่อาจละเลยได้ ฝ่าบาทจะต้องเรียกพวกเขาทั้งหมดกลับมายังวังหลวง…”
“พอแล้ว” เฉินเสียนจ้องมองเขา “ท่านต้องการให้ข้าฆ่าพวกเขาทั้งหมดทิ้ง ในตอนแรกที่เหล่าขุนนางต่างต้องการให้ข้ากำจัดท่าน ข้าก็ไม่ควรจะต้องกำจัดท่านหรอกหรือ?”
ซูเจ๋อกล่าวอย่างอ่อนโยน “หากตอนนั้นฝ่าบาทกำจัดหม่อมฉัน ก็คงไม่ต้องมีวันนี้ที่เหล่าขุนนางต้องการจะผูกขาดอำนาจ”
เฉินเสียนกล่าวว่า “ท่านออกไปเถอะ ข้าไม่อยากพูดเรื่องนี้อีก”
ก่อนที่ซูเจ๋อจะออกไป เขาได้พูดกับเธอ “หากฝ่าบาทไม่กล้าลงมือ หม่อมฉันสามารถทำแทนได้ ถึงอย่างไรหม่อมฉันก็ฆ่าคนมานับไม่ถ้วนแล้ว และก็ไม่สนใจว่าจะต้องฆ่าเพิ่มอีกกี่คน”
เมื่อซูเจ๋อหันหลังกลับ เฉินเสียนก็โยนบัญชีตำราลงบนพื้น เธอจ้องมองไปที่แผ่นหลังของเขา ทั้งเจ็บปวดทั้งโกรธและกล่าวว่า “ซูเจ๋อท่านกล้า ท่านรู้ว่าข้าไม่กล้าแตะต้องท่าน!”
ซูเจ๋อหยุดชะงักและกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา “หากฝ่าบาทต้องการลงมือเมื่อไหร่ หม่อมฉันจะยอมให้จับกุมแต่โดยดี”
เมื่อออกมาจากห้องตำราหลวง ซูเจ๋อตั้งใจที่จะเดินผ่านไปยังโรงเรียนไท่ ตอนนี้เป็นเวลาที่ซูเซี่ยนเลิกเรียน และกำลังเดินออกมาจากโรงเรียนไท่
ซูเซี่ยนมองเห็นซูเจ๋อที่ยืนอยู่ใต้ต้นหวู่ถง ดอกหวู่ถงที่อยู่ข้างลำตัวเขาตกลงมายังพื้น ไม่รู้ว่าเขายืนอยู่ที่นั่นมานานเท่าไรแล้ว
ซูเซี่ยนเดินเข้าไป และยืนอยู่ตรงหน้าเขา เงยหน้าขึ้นไปมองเขาและเรียกเขา “ท่านพ่อ”
ซูเจ๋อยื่นมือออกไปลูบคลำศีรษะของเขา และยิ้มออกมา
ซูเซี่ยนกล่าว “ตอนท่านแม่อยู่ที่พระตำหนักไท่เหอ ท่านแม่มักกอดข้าและร้องไห้อยู่บ่อยครั้ง ท่านพ่อทำให้ท่านแม่เสียใจหรือ กลางคืนท่านแม่ก็เรียกชื่อท่านพ่อออกมา”
ซูเจ๋อคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “อาเซี่ยน คงรอให้เจ้าค่อย ๆ เติบโตไม่ทันแล้ว เจ้าต้องรีบ ๆ เติบโตนะ”
ดวงตาของซูเซี่ยนสั่นไหว และเขาถามเหมือนกับเฉินเสียน “ทำไมหรือขอรับ?”
“รีบ ๆ โต ถึงจะปกป้องท่านแม่ได้ยังไงล่ะ ต่อไปต้องขยันตั้งใจเรียน อย่าทำให้ท่านแม่เป็นห่วง” ซูเจ๋อพูดอย่างแผ่วเบา “หากพ่อไม่อยู่ เจ้าจะต้องดูแลท่านแม่ให้ดี ๆ ทำให้ท่านแม่อารมณ์ดี อย่าทำให้ท่านแม่ร้องไห้ รู้ไหม?”
ใบหน้าเล็กของซูเซี่ยนยืนนิ่งโดยไม่ตอบ
เมื่อซูเจ๋อหันหลังกลับทำท่าจะเดินออกมา ซูเซี่ยนก็ดึงมุมชุดของเขาไว้แน่น
ซูเซี่ยนถามเสียงเบา “ท่านพ่อไม่ต้องการพวกเราแล้วใช่ไหมขอรับ?”
ซูเจ๋อกล่าว “พ่อต้องเดินทางออกจากเมืองหลวงระยะหนึ่ง”
ต่อมาซูเซี่ยนยืนอยู่ใต้ต้นหวู่ถงเฝ้าดูซูเจ๋อเดินออกไปทีละก้าว
ในตอนกลางคืน ซูเจ๋อใช้นามของเฉินเสียนเชิญฉินหรูเหลียง เหลียนชิงโจวและเฮ่อโยวเข้ามารับประทานอาหารและดื่มเหล้าในวังหลวง
แต่หลังจากที่พวกเขามาถึงยังท้องพระโรงของพระที่นั่งหวาสวี พวกเขากลับไปเห็นเฉินเสียน กลับมีเพียงแค่ซูเจ๋ออยู่ที่นั่น
ในวังหลังต่างรับรู้สถานะของซูเจ๋อเป็นอย่างดีอย่างเงียบ ๆ เขาต้องการจะจัดงานเลี้ยงขึ้น คนในวังก็จัดการให้เขาโดยปกติ
เฉินเสียนอยู่ในห้องตำราหลวงตลอดเวลา และไม่รับรู้เรื่องราวทั้งหมด อวี้เยี่ยนทราบเรื่องขึ้น จึงรีบวิ่งมากราบทูลเฉินเสียน “ฝ่าบาททราบเรื่องที่ซูเจ๋อเชิญท่านแม่ทัพ ใต้เท้าเฮ่อและคุณชายเหลียนเข้ามารับประทานอาหารและดื่มเหล้าที่พระที่นั่งหวาสวีไหมเพคะ?”
เฉินเสียนหน้าซีดทันทีและถามว่า “เกิดขึ้นเมื่อไหร่?”
อวี้เยี่ยนเห็นว่าเรื่องนี้มีบางอย่างผิดปกติ และกล่าวว่า “เมื่อสักครู่เพคะ เหล้าได้ถูกนำไปส่งที่พระที่นั่งหวาสวีแล้วเพคะ!”
เฉินเสียนผลักเก้าเก้าอี้ออก และรีบวิ่งออกไปจากห้องตำราหลวง เพื่อมุ่งหน้าไปยังพระที่นั่งหวาสวี เธอวิ่งด้วยความรวดเร็วจนนางกำนัลที่วิ่งตามหลังมาตามไม่ทัน
ซูเจ๋อ ท่านทำอย่างนี้ได้อย่างไร!
เขาผลักไสเธอออกมาแล้ว เขายังต้องการผลักคนรอบตัวของเธอออกไปอีกหรือ! คนที่เคยบอกว่าจะพาเธอไปให้ถึงจุดสูงสุด และเมื่อมองกลับมาก็ยังเจอคนที่คอยอยู่เคียงข้าง แต่วันนี้กลับทำให้เธอต้องกลายเป็นคนโดดเดี่ยวเดียวดาย!
พวกเขา ไม่เพียงแค่เป็นขุนนางของเธอ และยังเป็นเพื่อนของเธอ เป็นคนที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเธอในช่วงเวลาที่ลำบาก!
ซูเจ๋อสามารถที่จะโหดเหี้ยมอำมหิตและเลือดเย็น แต่สำหรับเธอไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถทำได้
เฉินเสียนไม่รู้ว่าเธอต้องวิ่งไปที่พระที่นั่งหวาสวีด้วยอารมณ์แบบใด ในหัวเธอรู้สึกสับสนไปหมด และหัวใจของเธอก็เต้นแรงมาก ทำให้เธอรู้สึกปวดหัว
ด้านนอกของห้องโถงเงียบมาก และโคมไฟวังเคลือบทรงหกเหลี่ยมใต้เพดานห้องก็เปล่งแสงนวลตา ประตูหน้าห้องโถงเปิดอยู่ และแสงสีเหลืองอบอุ่นก็ส่องออกมาจากประตู เฉินเสียนยืนหอบอยู่ที่หน้าประตูทางเข้า เธอวิ่งมาจนเหงื่อไหลย้อย เงาของเธอที่ยืนอยู่ถูกยืดออกและดูโดดเดี่ยว
เฉินเสียนมองเข้าไปในท้องพระโรงที่ทุกคนกำลังยกแก้วดื่มเหล้า เธอวิ่งเข้าไป และยืนหอบอยู่หน้าโต๊ะที่พวกเขานั่งอยู่ และหยิบแก้วเหล้าในมือพวกเขาทิ้งลงบนพื้น
ไม่นานเศษแก้วก็กระจายไปทั่วพื้น
ทั้งสามคนต่างตกใจ ยกเว้นซูเจ๋อ ภายในท้องพระโรงเงียบสงัด เหลือเพียงเสียงลมหายใจหอบของเฉินเสียน
ดวงตาแดงก่ำของเฉินเสียน ผมเผ้าที่หลุดร่วงลงมา ผมที่หน้าผากก็หล่นลงมา เธอยังไม่หยุดแค่นั้น หยิบขวดเหล้าที่ทั้งสามคนดื่มนำมาเทลงกับพื้น และพูดกับตัวเอง “ห้ามดื่มเหล้าที่เขาให้มา และห้ามกินของที่เขาจัดไว้ พวกท่านได้ยินไหม ได้ยินไหม!”
ทั้งฉินหรูเหลียง เฮ่อโยวและเหลียนชิงโจวต่างตกตะลึง แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไร