ฉินหรูเหลียงพูดขึ้นต่อว่า : “เฉินเสียน นอกจากซูเจ๋อแล้ว ก็ไม่มีใครที่จะให้ท่านนึกถึงคำนึงหาแล้วหรือ? หากเป็นเช่นนี้ งั้นก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในพระที่นั่งหวาสวี ทำไมท่านถึงได้ช่วยชีวิตของพวกเราจากเงื้อมมือเขาและทำร้ายเขาอย่างไม่ลังเลแม้แต่นิดเดียว มันหมายความว่าอย่างไรกัน?”
มือของเขากำลังกุมมือที่เย็นเฉียบและเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือดของเฉินเสียนอยู่
ฉินหรูเหลียงพูดขึ้นว่า : “ท่านไม่ได้ตัวคนเดียว ท่านยังมีพวกเราที่คอยอยู่เคียงข้างท่าน ถึงแม้ว่าพวกเราจะเทียบไม่ได้กับเขา แล้วซูเซี่ยนล่ะ? ซูเซี่ยนเป็นลูกของท่านกับเขานะ ท่านจะทิ้งเขาไปโดยที่ไม่สนใจไยดีเลยหรือ!”
ในขณะที่กำลังควบม้าเข้าสู่ประตูวังของหลวงนั้น เขาก็ได้พูดขึ้นข้างหูของเธอว่า : “เฉินเสียน เขาเหลือซูเซี่ยนไว้ให้ท่านได้คิดถึงและคะนึงหา ท่านจะยอมแพ้และละทิ้งแม้กระทั่งซูเซี่ยนนะหรือ?”
เฉินเสียนล้มป่วยในที่สุด
ในช่วงเวลาที่เธอป่วยนี้ ทุกครั้งที่เธอลืมตาขึ้นสะลึมสะลือ ก็มักจะเห็นซูเซี่ยนคอยเฝ้าดูแลอยู่ข้างๆ เธอตลอดเวลาไม่ยอมห่าง
ซูเซี่ยนใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นคอยเช็ดหน้าเช็ดมือให้เธออยู่ตลอดเวลา ห่มผ้าให้เธอ ป้อนยาให้เธอ เขาอายุเพียงแค่ห้าขวบแท้ๆ แต่กลับทำทุกอย่างเองทั้งหมด
เฉินเสียนหลับตาเสียส่วนใหญ่ ถึงแม้ว่าเธอจะตื่นอยู่ก็ตาม เธอไม่อยากเห็นซูเซี่ยนในแบบนี้ เพราะเมื่อเห็นแล้วมันจะทำให้เธอรู้สึกว่ายังมีคนที่เธอรักและเป็นห่วงหลงเหลืออยู่ ตอนที่เธอลาจากโลกใบนี้ไปหาซูเจ๋อ เธอจะไม่สามารถไปอย่างสงบใจได้
ใบหน้าของซูเซี่ยนผอมแห้งและซีดเซียวไปหมด ช่วงที่ผ่านมานี้ เขาเข้านอนดึกและตื่นเช้ามาก เพราะเขาคอยเฝ้าดูแลเฉินเสียนอยู่ตลอดเวลา เมื่อเขารู้ว่าเฉินเสียนตื่นอยู่ เขาก็จะเล่านิทานหรืออ่านตำราให้เฉินเสียนฟังเสมอ
ขณะที่ซูเซี่ยนเล่านิทานได้เพียงครึ่งเรื่องนั้น เฉินเสียนก็จะถามขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบาว่า : “จากนั้นล่ะ?”
สำหรับซูเซี่ยนแล้ว นี่ถือเป็นแรงผลักดันและกำลังใจอันท่วมท้น ให้เขามีแรงเล่านิทานต่ออีกมากมาย
ในคืนที่พระจันทร์เต็มดวง เฉินเสียนอยากจะออกมาดูดวงจันทร์
อวี้เยี่ยนและแม่นมซุยจึงได้ยกเก้าอี้นวมออกมาข้างนอก เฉินเสียนถูกคลุมด้วยผ้าห่มที่ค่อนข้างหนา เธอแหงนหน้าขึ้นเล็กน้อย
ซูเซี่ยนอยู่ข้างๆ คอยอยู่เป็นเพื่อนเธอ
เฉินเสียนปลดขลุ่ยไม้ไผ่ออกจากชุดของเธอ แล้วพูดกับซูเซี่ยนว่า : “รู้หรือเปล่า นี่คือขลุ่ยที่พ่อเจ้าทำเองกับมือ เพื่อมอบให้แม่เป็นของขวัญแทนใจ”
เวลาผ่านพ้นมานานพอสมควร ขลุ่ยไม้ไผ่ได้รับการขัดเกลาจนเงางาม ลายแกะสลักบนตัวขลุ่ยไม้ไผ่ค่อยๆ จางหายไม่ชัดเจนอย่างเช่นเคย แต่เธอก็ยังเก็บติดตัวไว้เสมอไม่ยอมห่าง
“เมื่อก่อน พ่อเจ้าเคยบอกว่า ที่มอบขลุ่ยไม้ไผ่นี้ให้กับแม่ เพราะหวังว่าแม่จะเป่าให้กับพ่อเจ้า เพื่อที่เขาจะได้มาหาแม่บ่อยๆ”
เฉินเสียนยิ้มขึ้นด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด : “ตอนนี้หากแม่เป่าขลุ่ยเล่มนี้อีกครั้ง ไม่รู้ว่าพ่อของเจ้าจะได้ยินหรือเปล่า”
เธอหวังอย่างยิ่งว่าเขาจะได้ยินเสียงของมัน
จากนั้น เฉินเสียนก็เริ่มเป่าขลุ่ยขึ้นมา เธอเป่าเรื่อยๆ ไม่ยอมหยุด หากซูเซี่ยนไม่ปรามให้เธอหยุดเป่า เกรงว่าเธอคงอาจจะเป่ามันทั้งคืนเสียด้วยซ้ำ
ซูเซี่ยนเองก็ไม่อยากจะขัดเธอ เขาฟังเสียงขลุ่ยอย่างใจเย็น ทอดสายตามองออกไปยังผิวน้ำที่นิ่งสงบของทะเลสาบ
หลังจากนั้น ก็ได้สังเกตเห็นว่า มีของเหลวสีแดงสดค่อยๆ ไหลมาตามลำของขลุ่ยไม้ไผ่ ย้อมปลายนิ้วของเฉินเสียนจนกลายเป็นสีแดง จากนั้นก็ค่อยๆ หยดลงบนชุดกระโปรงของเธอช้าๆ จับตัวจนกลายเป็นรูปดอกบ๊วยในที่สุด
เฉินเสียนไม่รู้ตัวเลย นิ้วที่กำลังเคลื่อนไหวอย่างแผ่วเบาบนขลุ่ยของเธอ
เวลานั้น ซูเซี่ยนตกใจกลัวจนพูดอะไรไม่ออก เขาปีนขึ้นไปบนเก้าอี้นวม ตะโกนเรียกเธอไม่หยุด น้ำตาของซูเซี่ยนหยดลงบนใบหน้าของเฉินเสียน เธอเป่าขลุ่ยด้วยเสียงที่ขาดๆ หายๆ แต่ก่อนที่เธอจะเป่าบทเพลงนี้จบลง เธอจะไม่ยอมหยุดอย่างเด็ดขาด หากหยุดกลางคันไปทั้งแบบนี้ แล้วซูเจ๋อฟังไม่จบเพลงล่ะจะทำยังไง
ข้างในลำขลุ่ยไม้ไผ่เต็มไปด้วยเลือดของเธอทั้งนั้น
พระตำหนักไท่เหอโกลาหลวุ่นวายไปหมด อวี้เยี่ยนรีบไปตามหมอหลวงด้วยความตกใจสติเตลิดเปิดเปิงไปหมด
แม่นมซุยรีบพาเธอกลับเข้าไปในห้องบรรทมทันที
เฉินเสียนเอนตัวนอนลงบนเตียง เอื้อมมือไปลูบศีรษะของซูเซี่ยนเบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ข้าไม่เป็นไร อย่าร้อง”
เฉินเสียนรู้สึกอึดอัดคับข้องใจเป็นอย่างมาก เพราะมันไม่ได้หายอย่างง่ายดายขนาดนั้น หมอหลวงกำชับว่าเธอต้องพักรักษาให้ร่างกายหายดี ดังนั้นจึงควรงดการว่าราชการยามเช้าเป็นเวลาหนึ่งเดือน เพื่อที่เธอจะสามารถรักษาตัวจนหายดี
พักรักษาตัวมาระยะหนึ่ง ร่างกายก็ค่อยๆ เริ่มฟื้นตัว แต่ก็ไม่ควรจะหักโหมจนเกินไป แม้ว่าจะงดการว่าราชกิจในยามเช้า แต่ทุกครั้งเมื่อเฉินเสียนมีเวลาว่าง เธอก็มักจะนำหนังสือใบลานออกมาอ่านอยู่เสมอ อีกทั้งยังคอยจัดการเกี่ยวกับงานราชการและการปกครองราชอาณาจักร
ซูเซี่ยนกลัวว่าเธอจะเหนื่อยล้าจนเกินไป จึงได้นำหนังสือใบลานมาอ่านให้เธอฟังแทน
ทุกครั้งที่เหลียนชิงโจวเจอของเล่นแปลกๆ จากทุกที่ที่เขาเดินทางไปนั้น ก็มักจะส่งไปที่พระตำหนักไท่เหอเป็นอันดับแรก เฮ่อโยวและฉินหรูเหลียงเองก็ได้เข้าไปยังพระตำหนักไท่เหออยู่บ่อยๆ ส่วนเย่ซวิ่นก็ไม่ได้ว่าง ที่ไหนที่ครึกครื้นเขาก็มักไปร่วมด้วยอยู่เสมอ
เย่ซวิ่นนั้นไม่ถูกกับทางฝั่งเฮ่อโยวเป็นอย่างมาก คำพูดเพียงไม่กี่คำก็สามารถทะเลาะกันได้ตลอดเวลา แต่ทะเลาะกันบ้างก็ดีเหมือนกัน พระตำหนักไท่เหอจะได้ไม่เงียบเหงาจนเกินไป ดูผิวเผินจะได้พอรู้สึกว่าที่ตำหนักยังครึกครื้นอยู่บ้าง
เฉินเสียนที่ป่วยยังไม่หายดี นอกจากนอนพักผ่อนแล้วก็ฟังซูเซี่ยนอ่านหนังสือใบลาน จากนั้น ในขณะที่ซูเซี่ยนกำลังเล่านิทานให้เธอฟังอยู่นั้น เธอก็ไม่ได้ถามเรื่องต่อจากนั้นอีกเลย
เธอไม่มีกำลังใจที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ เพราะฉะนั้นเธอจึงไม่เคยหวังให้ตัวเองหายป่วยในเร็ววัน เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ ครึ่งชีวิตที่ผ่านมาของเธอ มันเป็นเพียงแค่ความทรมานก็เท่านั้น เธอแอบหวังลึกๆ ว่าตัวเองจะจบชีวิตลงพร้อมๆ กับการเจ็บป่วยในครั้งนี้
เฉินเสียนรู้สึกเกลียดที่ตัวเองเป็นอย่างนี้……คนคนหนึ่งยอมสละชีวิตเพื่อเธอ จนสุดท้ายกลับไม่ได้รับการตอบแทนที่ดี เธอมีสิทธิ์อะไรกัน? ทำไมคนที่ต้องตายไม่เป็นเธอ แต่กลับเป็นเขา?
เธอแสร้งว่าตัวเองกำลังมีความคิดเช่นนี้ มีชีวิตผ่านไปวันๆ โดยที่ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
จนวันหนึ่ง จู่ๆ ซูเซี่ยนก็หมดสติล้มลงข้างเตียงของเฉินเสียน เฉินเสียนจึงได้รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเธอนั้นกำลังตื่นขึ้นจากห้วงแห่งความฝันอันเรือนราง
นึกไม่ถึงเลยว่าพระวรกายขององค์จักรพรรดินียังไม่ทันจะหายดี องค์ชายใหญ่ก็มาล้มป่วยไปอีกคน
ทุกคนต่างพากันดูแลเฉินเสียนคนเดียว จึงได้มองข้ามซูเซี่ยนที่คอยดูแลเฉินเสียนอยู่ข้างเตียงอย่างใกล้ชิด แต่พอสังเกตเห็น ซูเซี่ยนก็มีไข้สูงมากแล้ว
หมอหลวงทูลว่า ร่างกายของเด็กนั้นยังอ่อนแอและไม่แข็งแรงเท่าผู้ใหญ่ อีกทั้งยังคอยดูแลเฉินเสียนติดต่อกันเป็นเวลาหลายวัน การพักผ่อนและอาหารโภชนาการก็ไม่เพียงพอ ไม่ทันได้ระวังจึงติดโรคลมหนาวมา
ตามภาวะไข้ขึ้นสูงของซูเซี่ยน อาการของโรคจากลมหนาวที่ซูเซี่ยนเป็นนั้นก็แย่ลงเรื่อยๆ เขาคงจะเริ่มมีอาการไม่สบายตั้งแต่วันสองวันก่อนหน้านี้แล้ว เพียงแต่ว่าเขาได้อดทนแล้วเก็บมันไว้ ไม่ยอมพูดออกมาแม้แต่นิดเดียว
ก่อนหน้านี้เธอคิดว่าตัวเธอคงจะเจ็บปวดจนชินชาไร้ความรู้สึกไปแล้ว แต่ในห้วงเวลาที่เฉินเสียนอุ้มร่างกายที่ร้อนผ่าวของซูเซี่ยนไว้นั้น ก็ได้รู้ซึ้งขึ้นมาทันที ว่าเธอยังสามารถเจ็บปวดเพิ่มขึ้นจากเดิมได้อีก
เมื่อสูญเสียซูเจ๋อไปแล้ว เธอจึงพึ่งได้สติขึ้นมาและได้ตระหนักว่าลูกของเธอและเขาจะต้องห้ามเป็นอะไรไปทั้งนั้น เธอไม่เคยเลยสักครั้งที่คิดจะปล่อยเขาไป แต่ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ?
ซูเซี่ยนเป็นโรคจากลมหนาว และเพราะกลัวว่าจะแพร่ระบาดแก่ผู้อื่น จึงไม่ได้อยู่ร่วมตำหนักเดียวกันกับเฉินเสียน แม่นมซุยทำตามขั้นตอนที่หมอหลวงได้กำชับไว้เป็นอย่างดี พาซูเซี่ยนกลับไปยังห้องของเขาเอง ทำแบบนี้ล้วนดีทั้งกับซูเซี่ยนและเฉินเสียน
หมอหลวงกำลังช่วยซูเซี่ยนลดบรรเทาอาการไข้ เฉินเสียนพิงอยู่ที่หัวเตียงด้วยใบหน้าขาวซีด
อวี้เยี่ยนปากน้ำตาพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ฝ่าบาททรงรีบหายดีเถอะเพคะ ฝ่าบาทหายดีแล้ว จึงจะสามารถไปดูแลอาเซี่ยนได้”
เมื่อได้ยินว่าซูเซี่ยนละเมอพูดเพ้อไม่หยุด ครั้งนี้เขาป่วยค่อนข้างหนัก เฉินเสียนสวมชุดคลุมแล้วลุกจากเตียงในทันที ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถขวางเธอได้ เธอเดินตรงไปยังห้องของซูเซี่ยนด้วยอาการโซเซไปมา
เธอขึ้นไปบนเตียงของซูเซี่ยน กอดเขาไว้ในอ้อมกอดแนบแน่น แล้วปลอบโยนเขาว่า : “ไม่ต้องกลัว อาเซี่ยนไม่ต้องกลัว แม่อยู่นี่แล้ว……”
ซูเซี่ยนรู้สึกเจ็บปวดทรมานอย่างที่สุด เขาจับเสื้อของเฉินเสียนไว้แน่น พูดขึ้นไม่เป็นประสาว่า : “ข้าไม่อยากให้ท่านพ่อพาท่านแม่ไปด้วย หากท่านแม่ต้องการจะไปให้ได้ งั้นก็พาข้าไปด้วย……พวกท่านไปที่ไหน ข้าก็จะตามพวกท่านไปด้วย”
หมอหลวงและนางกำนัลที่อยู่ในห้อง ต่างพากันร่ำไห้ด้วยความจุกอกพูดอะไรไม่ออกสักคำ
น้ำตาของเฉินเสียนเอ่อล้นจากดวงตา ไหลรินผ่านปลายจมูกหยดลงบนเสื้อตัวน้อยของซูเซี่ยน เธอพูดขึ้นพึมพำว่า “แม่ไม่ไปไหน แม่จะอยู่ที่นี่ จะไม่มีใครไปไหนทั้งนั้น ดีหรือเปล่า?”