บทที่ 541 ดูหมิ่นห้าสำนักใหญ่
ฟังน้ำเสียงของจู๋หวิน ลู่เสี้ยงหยางรู้ได้ทันทีว่าเธอคงไม่ใช่คนของห้าสำนักใหญ่ ไม่เช่นนั้น เธอคงไมกล่าวดูหมิ่นห้าสำนักใหญ่ถึงขนาดนั้นหรอก
ในความเข้าใจของลู่เสี้ยงหยาง นอกจากสำนักใหญ่ทั้งห้า ก็มีแต่สำนักกวางหมิงและสำนักจิ่วโหยวที่เป็นสำนักมารที่ทุกคนกล่าวขาน
เพราะงั้นลู่เสี้ยงหยางจึงกล่าวถามอย่างใช้ความคิด “ถ้าอย่างนั้นคุณเป็นคนของสำนักกวางหมิงหรือสำนักจิ่วโหยว”
จู๋หวินยังคงส่ายหน้า “สำนักกวางหมิงกับสำนักจิ่วโหยวถือเป็นอะไรกัน? นายในตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากกบในกะลา”
“…..”
ชายหนุ่มตกตะลึง ในใจเกิดคลื่นลมซัดกระหน่ำ
เขารู้สึกมาโดยตลอดในผืนแผ่นดินหวาเซี่ยที่กว้างใหญ่ไพศาล สำนักใหญ่ทั้งห้าสำนักกวางหมิงและสำนักจิ่วโหยวเป็นผู้ครองเมือง คนที่เดินมาจากสถานที่เหล่านี้ล้วนเป็นยอดฝีมือทั้งนั้น แต่ไม่คิดเลย ว่าหญิงสาวตรงหน้าไม่แม้แต่จะแยแสด้วยซ้ำ
และเธอไม่ได้มาจากสำนักใหญ่ทั้งห้าสำนักกวางหมิงหรือสำนักจิ่วโหยว ที่เธอกลับมีความสามารถที่แข็งแกร่ง
นั่นก็พิสูจน์แล้วว่า ในหวาเซี่ยที่กว้างใหญ่ มีผู้ยิ่งใหญ่อีกมากที่สามารถเทียบชั้นสำนักใหญ่ทั้งห้าได้ หรือแม้แต่แข็งแกร่งกว่าสำนักใหญ่ทั้งห้า
เมื่อนึกได้อย่างนั้น ลู่เสี้ยงหยางตกใจจนพูดไม่ออก หากความจริงเป็นอย่างนั้น คงเป็นอย่างที่หญิงงามได้ประเมินเขาไปก่อนหน้านี้ กบในกะลา
เธอจับจ้องสีหน้าที่นิ่งอึ้งไปของลู่เสี้ยงหยาง ก่อนกล่าวเสียงเรียบ “ความสามารถของนายในตอนนี้ ยังไม่มีสิทธิ์ที่จะได้รับรู้อะไรมากไปกว่านี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ นายต้องคิดหาวิธีล่อลวงเจ้าสำนักเทียนเหมินออกไป ฉันจะได้เปิดผนึก”
ลู่เสี้ยงหยางพยักหน้า “ผมเล่นเกมกับรองเจ้าสำนักเทียนเหมินมาสองวันแล้ว ชายหนุ่มพอจะคาดเดาความคิดของเขาได้อยู่บ้าง ในถ้ำที่เราอยู่ตอนนี้ เขาเพิ่งจะค้นหาไปเมื่อหนึ่งชั่วโมงนี้เอง ในเวลาอันสั้นเขาคงจะไม่กลับมาอีก”
จู๋หวินพยักหน้า เธอเลือกที่จะเชื่อใจลู่เสี้ยงหยาง ก่อนหน้านี้ลู่เสี้ยงหยางพาเธอหนีรอดมาสองวันจริงๆ บางทีอาจจะมีโชคช่วยเหลือบ้าง แต่ที่มากที่สุดก็คือการวางแผน
ลู่เสี้ยงหยางมีความเชื่อมั่นถึงขนาดนั้น ถ้างั้นก็เชื่อเขาแล้วกัน
ไม่พูดพร่ำอีกต่อไป เธอหลับตาลง เริ่มเข้าสู่การเปิดผนึกอีกครั้ง
ลู่เสี้ยงหยางใจไม่ใหญ่พอเหมือนกับจู๋หวิน ที่ในสถานการณ์แบบนี้ยังจะฝึกวิชาได้ เขาคอยระวังตัวอยู่เสมอ เล่นเกมทายใจกับรองเจ้าสำนักเทียนเหมิน
มีเพียงแต่ต้องทายใจของรองเจ้าสำนักเทียนเหมินให้ได้ ภายในการหนีเอาชีวิตรอดหลายวันหลังจากนี้ เขาถึงจะได้เปรียบ
หลังจากที่ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ลู่เสี้ยงหยางคิดที่ในเวลานี้ไม่ดีนักหากจะอยู่แบบนี้ต่อไป เธอเรียกจู๋หวิน ก่อนที่ทั้งคู่จะเข้าสู่สนามรบ
ลู่เสี้ยงหยางและจู๋หวินจากไปไม่นาน ร่างของรองเจ้าสำนักเทียนเหมินก็มาเยือนในถ้ำ
หลายวันมานี้เองก็กำลังไตร่ตรอง ทำไมถึงได้ล่าตัวไอ้หมอนั่นกับอีนางนั่นไม่ได้เสียที ที่แท้มีคนเล่นเกมจิตวิทยากับเขานี่เอง
“ฮ่าฮ่า กล้ามากนะ ที่ที่อันตรายที่สุดคือที่ที่อันตรายที่สุดงั้นหรือ ถ้าอย่างั้นต่อจากนี้ฉันจะเดินทางตรงกันข้าม ต้องจับพวกแกสองคนได้แต่” รองเจ้าสำนักเทียนเหมินหัวเราะอย่างเย็นชา พร้อมใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่น ก่อนที่จะออกจากถ้ำอย่างเร่งรีบ
ทางด้านลู่เสี้ยงหยาง หลังจากที่เขาออกจากถ้ำ อันที่จริงไม่ได้ไปไกลนัก เขาซ่อนตัวอยู่บนยอดเขาห่างจากถ้ำนี้หนึ่งกิโลเมตร ไม่นานเขาก็เห็นรองเจ้าสำนักเทียนเหมินเดินออกมา
รองเจ้าสำนักเทียนเหมินเหมือนว่าจะย้อนกลับไปทางเดิม คงจะค้นหาที่ที่พวกเขาเคยอยู่
ลู่เสี้ยงหยางรู้ดีว่ารองเจ้าสำนักเทียนเหมินคิดจะทำอะไร เพราะงั้นจึงหันไปกล่าวกับจู๋หวิน “ต่อจากนี้เราจะไปที่ที่ไม่เเคยไปก่อน มีแต่หลอกล่อแบบนี้ไปเรื่อยๆ รองเจ้าสำนักเทียนเหมินถึงจะจับทางเราไม่ถูก”
จู๋หวินกล่าว “เอาตามที่นายว่าเลย”
ใบหน้าของเธอมีสีสันขึ้นมาบ้าง ในขณะที่กล่าวประโยคนั้น เธอเริ่มมีความชื่นชมต่อลู่เสี้ยงหยางขึ้นมาบ้างแล้ว
แม้ว่าความสามารถของลู่เสี้ยงหยางจะอยู่ในระดับหนึ่ง แต่เขามีไหวพริบชาญฉลาด แม้แต่คนอย่างรองเจ้าสำนักเทียนเหมินเองก็เองเขาหลอกล่อให้วุ่น
คนแบบนี้ในอนาคตหากได้กลายเป็นยอดฝีมือละก็ จะต้องเป็นการมีอยู่ที่ทำให้ศัตรูต้องปวดเศียรแน่นอน
มีความสามารถแถมยังมีหัวสมองที่ดี คนแบบนี้น่ากลัวที่สุด แทบจะไร้จุดอ่อนเลย
ลู่เสี้ยหยางไม่มีกะจิตกะใจในการสังเกตความนึกความอ่านของจู๋หวิน ตอนนี้ในหัวของเขามีแต่แผนการที่จะรับมือกับรองเจ้าสำนักเทียนเหมิน
เขาพาจู๋หวินเดินผ่านกลางป่า เมื่อถึงสถานที่ที่เหมาะสมจึงหยุดพักผ่อน
เวลาผ่านไป พริบตาหมดไปหนึ่งวัน
ในตอนนี้ ท้องฟ้าประดับไปด้วยดวงดาว และจันทราที่แขวนอยู่
ลู่เสี้ยวหยางใช้กิ่งไม้และใบไม้ในการตั้งเป็นแคมป์เพื่อกำบังกาย ลู่เสี้ยงหยางเหลือบมองจู๋หวิน ทันใดนั้นหัวใจของเขาเต้นระรัวไปชั่วครู่ ผู้หญิงคนนี้ช่างงดงามเหลือเกิน
นอกเสียจากเธอมีโฉมหน้าที่งดงามแล้ว แถมยังมีความสง่าราวกับจักรพรรดิหญิงอีกต่างหาก ทำให้เขาตกเข้าไปอยู่ในเสน่ห์อันน่าหลงใหลของเธอ
ในระหว่างนี้ จู๋หวินเองก็เหลือบมองลู่เสี้ยงหยางอยู่หลายต่อหลายครั้ง กล่าวอย่างเรียบเฉย “อายุแค่นี้กลับฝึกวิชาคู่ ถือว่าไม่ธรรมดาเลย”
เป็นครั้งแรกที่เธอกล่าวชื่นชมลู่เสี้ยงหยาง ลู่เสี้ยงหยางรู้สึกไม่ค่อยชินนัก พลันส่ายหน้า “อันที่จริงผมก็คลำไปเรื่อย โชว์ความอับอายต่อหน้าท่านผู้อาวุโส”
จู๋หวินขมวดคิ้วแน่น “คลำไปเรื่อยแต่มาถึงจุดจุดนี้ได้ ฉันบอกได้แค่ว่านายมันอัจฉริยะ”
ลู่เสี้ยงหยางหัวเราะอย่างประหม่า
จู๋หวินนึกอะไรออก จึงกล่าวกับลู่เสี้ยงหยาง “นายเป็นศิษย์สำนักอะไรล่ะ?”
ตามรากแก่นแล้ว ลู่เสี้ยงหยางถือเป็นศิษย์ของสำนักจิ่วโหยว แต่เขาไม่กล้าพูดความจริงกับจู๋หวิน จึงกล่าว “ผมไม่มีสำนัก เมื่อสักครู่ผมก็บอกไปแล้ว ผมแค่คลำไปเรื่อย”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น จู๋หวินไม่พูดอะไรอีก แต่ในดวงตาของเธอกลับเผยความแตกต่างออกไป
ลู่เสี้ยงหยางอ้าปากค้างจะพูดอะไรต่อ แต่ท้องกลับร้องด้วยความหิวโหย หลายวันมานี้มัวแต่หนีเอาชีวิตรอดไม่ได้ทานอะไรอย่างจริงจัง ทุกวันมีแต่ผลไม้เท่านั้นที่ประทังชีวิตเขาเอาไว้
ตอนนี้เขาอยู่ในความปลอดภัยมากกว่าแต่เดิม เขาจึงคิดที่จะออกไปล่าสัตว์สักหน่อย
ลู่เสี้ยงหยางบอกกล่าวแก่จู๋หวิน ก่อนที่จะออกไปจากแคมป์
จู๋หวินไร้ปฏิกิริยาใดๆ เธอจ้องมองแผ่นหลังของลู่เสี้ยงหยางที่ไกลลับตาออกไป ด้วยความกังวลที่ฉาอยู่ในแววตา
หลังจากที่ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ลู่เสี้ยงหยางก็กลับมายังแคมป์ พร้อมกับกระต่ายหลายตัวที่อยู่ในมือ
ทีแรกคิดที่จะใช้ไฟย่างกระต่ายซะ แต่ลู่เสี้ยงหยางคำนึงถึงตอนนี้เขาอยู่กลางแจ้งไม่สามารถจุดไฟได้ ไม่เช่นนั้นจะถูกรองเจ้าสำนักเทียนเหมินพบตัวเป็นแน่
ลู่เสี้ยงหยางพาจู๋หวินเปลี่ยนสถานที่พำนักอย่างที่ไหวพริบ เมื่อสักครู่ที่เขาล่ากระต่ายได้พบกับถ้ำหนึ่ง ซึ่งค่อนข้างลับตา อยู่ใต้น้ำตก ปากถ้ำถูกแม่น้ำปกปิดเอาไว้ เขาและจู๋หวินเข้าไปซ่อนตัวในนั้น รองเจ้าสำนักเทียนเหมินไม่มีทางหาเจอแน่
เมื่อเข้ามายังถ้ำ ลู่เสี้ยงหยางไม่สามารถทนรอต่อไปได้ที่จะย่างกระต่ายในทันที
แต่ในเวลานี้เอง ในป่าไกลออกไปแล่นผ่านมาด้วยเสียงคำรามของสัตว์ป่า
ลู่เสี้ยงหยางรู้สึกได้ถึงอัตราย จึงยื่นกระต่ายให้กับจู๋หวิน เพื่อให้เธอย่างต่อไป ส่วนตัวเขาออกไปดูนอกถ้ำ
สัตว์ป่าค่อนข้างต่อต้านไฟ เขาไม่มสามารถให้สัตว์ป่าอยู่ตรงนี้นานได้ ต้องหาวิธีล่อมันออกไป