ซูเจ๋อยังคงข่มอารมณ์ใคร่กล่าว “งั้นท่านก็อย่ารัดข้าแน่นเกินไปสิ”
เขาไล่จูบตั้งแต่บริเวณคอ ใบหู กระดูกไหปลาร้าของเธอ มือบนเอวเธอย้อนกลับขึ้นมาพลันขย้ำเนินเขาของเธออย่างไม่เกรงใจ
เวลานี้เธอขดตัวสั่นอยู่ในอ้อมแขนของเขาด้วยความว้าวุ่น
เธอเปรียบดั่งบุปผาให้ซูเจ๋อเชยชมช่วงที่ผลิดอกบานสะพรั่งอย่างงดงาม
ซูเจ๋อค่อยๆกดทับเอวของเธอ ค่อยๆเคลื่อนลงไปด้านล่างจวบจนเธอกลืนกินเขาทั้งหมด
ซูเจ๋อไม่ได้ขยับแรง ค่อยๆรอเธอได้อารมณ์จนเปียกแฉะ เธอสัมผัสได้ว่าความแข็งที่คล้ายศิลาและคล้ายเหล็กร้อนกำลังกวัดแกว่งเข้าออกอยู่ในร่างกายเธอ หลอมเธอกลายเป็นธารน้ำยามวสันตฤดูเสียแล้ว
ทว่าเธอก็ยังไม่อาจดับเปลิวไฟแห่งโหยหาได้ หากแต่ยิ่งลุกโชนมากขึ้น
“ยังเจ็บอยู่ไหม?” ซูเจ๋อกัดหูเธอ พลางถามขึ้นมา
การขานตอบคือเสียงครวญครางที่เสนาะหูของเธอ
ซูเจ๋อจึงจับร่างกายเธอแล้วเริ่มเข้าสำรวจในส่วนที่ลึกบ้าง ตื้นบ้างอย่างเป็นจังหวะ
ความรู้สึกดังกล่าวประหนึ่งการดึงดูดและสำรวจซึ่งกันและกัน ต่อมาก็กระแทกกันอย่างเต็มใจ ช่างทำให้ร่างกายและจิตใจสุขสำราญยิ่งนัก
เฉินเสียนก้มหน้าเกยอยู่บนบ่าซูเจ๋อ ร่างกายเคลื่อนไหวตามท่าทางของเขา ถึงแม้บัดนี้จะถูกเขาครอบครอง เธอก็ยังรู้สึกระทึกใจยิ่ง
“ซูเจ๋อ……” เฉินเสียนขานชื่อเขาด้วยเสียงอู้อี้ที่ขี้คร้านและเย้ายวน หางตายังคงมีคราบน้ำตาอยู่
“หืม?”
เฉินเสียนเรียกชื่อเขาต่อ “ซูเจ๋อ……”
เหมือนเธอจะชอบเรียกชื่อของเขามาก เรียกซ้ำๆซากๆอย่างไม่เบื่อหน่าย
ซูเจ๋อจูบริมฝีปากเธอ จูบคางของเธอแล้วต่อเนื่องมาถึงไหล่ กล่าวเสียงหอบเบาๆว่า “ระดูมาเมื่อใด?”
เฉินเสียนคล้องคอเขาพลันยิ้มเบาๆอย่างมีเสน่ห์
เขายังคงเป็นเขาคนนั้น เวลานี้ยังไม่ลืมถามระดูของเธออีก
เฉินเสียนแนบติดเขาอย่างนุ่มนิ่ง เงยหน้าจูบคอเขา ดวงตาคู่สับสนตรึกตรอง กล่าวว่า “อีกประมาณสามถึงห้าวัน……”
ไม่ใช่ช่วงระยะตั้งครรภ์ง่าย เช่นนั้นเขาก็ไม่ต้องเป็นห่วงอะไรแล้ว
ซูเจ๋อเคลื่อนลูกกระเดือกลงมาอยู่ที่เอวบางของเธอกะทันหัน พลางใช้แรงเข้าส่วนที่ลุ่มลึกของเธอแรงๆ เวลาเดียวกันก็อ้าปากดูดดื่มเนิ่นอกเธอ
ชั่วพริบตา เฉินเสียนรู้สึกสมองขาวโพลน
การปลุกเร้าที่เสียวซ่านกะทันหันนี้ทำให้เธอรับมือไม่ไหว ทว่าซูเจ๋อกลับไม่คิดจะเลิกรา รุกล้ำเข้าร่างกายเธอด้วยความดุเดือดและลึกล้ำครั้งแล้วครั้งเล่า
สองขาของเธอรัดอยู่ที่เอวของซูเจ๋ออย่างไร้เรี่ยวแรง สมองของเธอราวกับมีดอกไม้ไฟจุดประกายแสงอย่างละลานตา เธอกัดที่บ่าของซูเจ๋อ พลางส่งเสียงครางไม่หยุด
ความเคลิบเคลิ้มตรงอุโมงค์ลึกแผ่กระจายไปทั่ว ประหนึ่งใยไหมที่พันตัวเธอเหมือนตัวไหม ทำให้เธอจมปรักอยู่ในนั้นยากจะถอนตัว
เธอคล้ายกับได้กลิ่นไม้กฤษณาบนอาภรณ์ซูเจ๋อ
เหนือศีรษะคือมุ้งเตียงที่สั่นคลอน เธอถูกซูเจ๋ออุ้มมาวางบนเตียง ซูเจ๋อทิ้งตัวลงมาทาบร่างพลันกอดคอแล้วทำศึกอย่างเต็มที่
แสงเทียนบนโต๊ะพริ้วไหวเบาๆ ทำให้บังเกิดภาพงดงามเต็มห้อง
เฉินเสียนลืมตา มองมุ้งราวกับสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว สองมือเธอจับแผ่นหลังบุรุษที่บุกรุกเข้าคูเมืองอย่างแนบแน่น
แผ่นหลังของเขาเต็มไปด้วยรอยแผลในอดีต เมื่อเฉินเสียนลูบไล้ทั่วทุกที่ หยาดน้ำก็เอ่อขึ้นมาคลอดวงตาโดยไม่รู้ตัว
เธอยกเอวต้อนรับเขา ไม่ว่าเขาจะทำการยึดครองเธออย่างรุนแรงเพียงใด เฉินเสียนจับศีรษะของเขา พลางจูบเขาอย่างเผ็ดร้อน พร้อมกันนั้นยังไม่วายส่งเสียงสะอื้น “ซูเจ๋อ ซูเจ๋อ ข้าไม่ยอมให้ท่านจากข้าอีกต่อไป……อาเซี่ยนก็เติบใหญ่แล้ว หากมีครั้งต่อไป ท่านโปรดพาข้าไปด้วย……ถึงจะไปที่ปรโลกข้าก็จะตามท่านไป……”
ซูเจ๋อมองเธออย่างลุ่มลึก ใช้เสียงต่ำที่แหบพร่าอันเต็มไปด้วยอารมณ์ใคร่ “ท่านรู้ไหมว่าตอนนี้ข้าแทบอยากจะฉีกท่านให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย เหตุใดท่านจึงทำให้ข้าหลงใหลปานนี้……”
เฉินเสียนสะลึมสะลือ ดื่มด่ำความสุขที่เขามอบให้เธอ คล้ายกับได้ยินเขากล่าวเลือนรางว่า “ท่านรักข้าขนาดไหนกันเชียว กระทั่งปรโลกก็จะตามข้าไป แต่ข้าไม่อยากพาท่านไปที่ที่มืดมนหนาวเย็นหรอก ข้าจะพาท่านไปชมนกชมไม้ ชมวิวใต้หล้าให้หมดเลย”
เขายังคงเป็นเขาคนก่อน ไม่ว่าความทรงจำจะกลับคืนมาหรือไม่ ทว่าเขาก็ไม่เคยลืมเลือนความตั้งใจของตน เฉินเสียนเข้าใจว่า ขอเพียงเขายังอยู่ อย่างอื่นก็ไม่สำคัญ
เฉินเสียนจับเอวซูเจ๋อแน่นหนึบ พลางยั่วยวนเขาอย่างไม่ชำนาญ แต่กลับทำให้เขาเคลิบเคลิ้มอย่างง่ายดาย เธอรองรับร่างกายเขาปลดปล่อยออกมา กล่าวเสียงกระซิบว่า “ดีจัง”
เสียงแมลงชวนให้รับรู้ถึงความเงียบงันในค่ำคืนคิมหันตฤดู
แสงรุ่งอรุณส่องผ่านหมู่เมฆ ท้องฟ้าเริ่มส่องแสงสว่างมายังสรรพสิ่งบนโลก
น้ำค้างที่เกาะตัวในยามราตรี เมื่อแสงแรกของวันใหม่มากระทบก็เกิดประกายระยิบระยับ น้อมรับวันใหม่ที่สดใสเงียบๆ
เมื่อดวงจันทราลาจาก สุริยนก็มาทักทาย
ลานบ้านที่เงียบกริบก็ทอดแสงทองขึ้นมาหนึ่งชั้น ด้านนอกหน้าต่างค่อยๆสว่างเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
เฉินเสียนขยับเปลือกตาตื่นขึ้นมาช้าๆ ไม่รู้ตอนนี้กี่โมงกี่ยามแล้ว ทว่าด้านในห้องยังคงสว่างไสวมาก
เธอลืมตา ชั่วอึดใจแรกคือเห็นใบหน้าที่สะท้อนอยู่ในดวงตาเธอด้วยระยะกระชั้นชิด
เฉินเสียนมองเขาอย่างเลื่อนลอย จากนั้นก็หลับตาด้วยความใจเย็น
ไม่ได้ ต้องสงบจิตเข้าไว้
แต่หลังหลับตาลง ไฉนจะสงบจิตใจได้
สมองของเธอราวกับเป็นหม้อที่ระเบิดแล้ว เกิดเสียงวง! วง !ไม่หยุด
นี่ไม่ใช่ห้องนอนเธอ หากแต่เป็นห้องนอนของซูเจ๋อ ยามนี้เธอนอนบนเตียงซูเจ๋อ กำลังซบอยู่ในอ้อมกอดเขา ชนิดกายแนบกายเลยทีเดียว
ทุกฉากทุกตอนของเมื่อคืนผุดขึ้นในสมองเธออีกครั้ง เมื่อคืนเธอกับซูเจ๋อคุยกันเข้าใจแล้ว ซูเจ๋อไม่มีพระชายา เธอเองก็ไม่มีสนมชาย ช่างยินดีปรีดาเหลือเกิน
ทว่าต่อมาเฉินเสียนไม่อาจต้านทาน เจอเหตุการณ์อย่างสับสนมึนงงเช่นนี้
หัวใจที่เงียบสงบหลังนอนหลับ บัดนี้เริ่มเต้นแรงตุ๊บๆต่อมๆอีกครั้ง มีหมอกโชยมาแตะใบหน้าของเธอ แลดูกระอักกระอ่วนและหวานฉ่ำเล็กน้อย
เฉินเสียนช้อนตามองซูเจ๋อ เขาหลับตาพริ้มเงียบๆ แสงอาทิตย์ส่องบนใบหน้าด้านข้างของเขา พลางเผยความงามอย่างไร้ที่ติ
เธอระงับการเต้นหัวใจตัวเอง เกรงว่าจะทำให้เขาตื่น เอามือของเขาที่โอบเอวของเธอไว้ออกด้วยความระมัดระวัง ก่อนจะล่าถอยจากอ้อมกอดเขาราวกับโจรผู้ร้าย
เฉินเสียนกังวลว่าประเดี๋ยวซูเจ๋อตื่นขึ้นมาจะจัดการยาก เพราะสวมใส่เสื้อผ้าแล้วจะคุยกันสะดวกกว่า และจะมีความกล้าเพิ่มขึ้นมาหน่อย
ว่าแล้วเธอก็ลุกขึ้นนั่งเงียบๆ เก็บอาภรณ์แต่ละชิ้นที่กระจายอยู่ข้างเตียงมา แล้วใส่ด้วยความลนลาน
ในขณะที่เธอกำลังผูกสายคาดเอวด้วยความตื่นตกใจ ไม่รู้ทำไมถึงผูกไม่ได้เสียที ทันใดนั้นก็มีเสียงงัวเงียที่เจือความเกียจคร้าน “ใส่ผิดด้านแล้วจะผูกได้อย่างไร?”
รูปกายงามของเฉินเสียนสั่นสะท้าน ถอดเสื้อด้วยความเงียบ จากนั้นก็พลิกด้านใส่ใหม่
ซูเจ๋อมองเธอใส่เสื้อผ้าด้วยความเร่งร้อน ทว่าไม่ได้ขัดขวาง ได้แต่ยิ้มอย่างอารมณ์ดี แล้วช่วยเธอจัดแจงอาภรณ์ด้านหลัง นำเส้นผมออกจากเสื้อผม แล้วปล่อยลงมาถึงระหว่างเอว