“อ่า ช่วยเราถือถุงช้อปปิ้งก็พอ ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ” มู่เวยเวยอธิบายอย่างไม่ค่อยใส่ใจ เพราะมีเรื่องที่ต้องจัดการหลายเรื่อง
เสี่ยวซีหร่านก็ไม่เซ้าซี้ถาม และเธอก็มีบอดี้การ์ดคอยตามอยู่ แค่ตอนเดินช้อปปิ้งเท่านั้นปกติพวกเขาจะไม่ได้ติดตามไปด้วย
“คุณจะอยู่ที่เมืองAนานแค่ไหน แล้วพักที่ไหนคะ ” ฉู่เหยียนถามอีกคนอย่างกระตือรือร้น เพราะอยากจะชวนมาพักด้วยกัน
“เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับการเจรจา เร็วที่สุดก็3วัน มากสุดก็ครึ่งเดือน พักอยู่ที่บ้านพักบนเขาฝั่งตรงข้ามน่ะ” เสี่ยวซีหร่านที่ไม่ได้เป็นคนชอบโกหก แต่ระดับการโกหกค่อนข้างดี เพราะสีหน้าแววตาไม่มีพิรุธเลย
ฉู่เหยียนดีใจกับคำตอบนี้ “อ่า งั้นก็ดีเลยค่ะ ถ้างานคุณเรียบร้อยแล้วก็โทรมาหาฉันนะคะ ฉันจะพาคุณไปเที่ยว ความจริงแล้วฉันอยากจะชวนคุณไปพักที่คฤหาสน์ตระกูลเย่ แต่ว่า…….”
เสี่ยวซีหร่านพูดขัดจังหวะขึ้นมาก่อน “ดีที่เธอยังไม่เอ่ยปากชวนซะก่อน ฉันเองไม่ค่อยชินที่ไปอยู่บ้านคนอื่นน่ะ”
มู่เวยเวยระบายยิ้ม เพราะเป็นแบบนี้ก็ดี
“เอ่อใช่ หนุ่มหล่อที่อยู่ที่บ้านคุณเป็นยังไงบ้างคะ”
เสี่ยวซีหร่านพูดอย่างตรงไปตรงมา “เขาฟื้นแล้วค่ะ วันที่มีแผ่นดินไหวที่เมืองA”
มู่เวยเวยตกใจอ้าปากค้าง “คุณพระ เขาฟื้นแล้ว แล้วเขาเป็นยังไงบ้างคะ ฉันขอพบได้ไหม”
เสี่ยวซีหร่านส่ายหน้าอย่างรู้สึกเสียดาย “เธอคงไปพบไม่ได้แล้วล่ะ”
“ทำไมล่ะคะ”
“เขากลับบ้านไปแล้ว บอกว่าจะตั้งใจเก็บเงิน แล้วมาสู่ขอฉันค่ะ ” เสี่ยวซีหร่านพูดจบก็ระบายยิ้มออกมา เพราะยังไงก็ถือว่าเธอไม่ได้โกหก
มู่เวยเวยพูดแซว “งั้นเขาต้องเก็บเงินเท่าไหร่คะ ถึงจะเพียงพอเนี่ย”
เสี่ยวซีหร่านก้าวเข้าไปในลิฟท์ก่อน แล้วก็หันมาตอบเธอ “จริงๆแล้ว แค่เพียงเขารักฉันอย่างจริงใจ เงินเท่าไหร่ก็ไม่สำคัญหรอกค่ะ แต่เขาอยากทำแบบนี้ ฉันก็เลยไม่ขัดอะไร”
มู่เวยเวยก้าวเข้าไป ยืนเยื้องไปข้างหลังเธอนิดหน่อย “ก็ถูกค่ะ ผู้ชายต้องกล้าได้กล้าเสีย จะว่าไป คุณเป็นคนที่เข้มแข็งมากเลยนะคะ ถ้าผู้ชายทั่วไปเข้ามาคงต้องถอดใจไปก่อนแน่ๆ”
“ไม่เสมอไปหรอกค่ะ แต่ทว่า ” เสี่ยวซีหร่านยิ้มบาง “เขาไม่ใช่ผู้ชายทั่วไป เพราะมั่นใจเต็มร้อยมากค่ะ”
“ยิ่งคุณพูดยิ่งน่าสนใจ อยากจะเห็นแล้วสิคะว่าเป็นยังไง ที่สามารถสยบคุณได้อยู่หมัด”
เสี่ยวซีหร่านตอบกลับไปว่า “รอให้เขามีเวลาว่างก่อน แล้วพวกเราจะเชิญมาทานข้าวกันนะคะ”
“ได้ค่ะ”
เสี่ยวซีหร่านแววตาเป็นประกาย แค่เพียงก้าวเข้าไปในร้านแบรนด์ดัง แถมมีมู่เวยเวยที่เป็นดีไซเนอร์มาด้วย สายตาตอนเลือกเสื้อผ้าช่างเฉียบแหลม ทั้งคู่เลือกซื้อเสื้อผ้ากันอย่างสนุกสนาน
ผ่านไปกว่าสองชั่วโมง ในมือของบอดี้การ์ดที่ติดตามทั้งคู่เต็มไปด้วยถุงช้อปปิ้ง
เสี่ยวซีหร่านไม่ได้ใช้การ์ดที่มู่เทียนเย่ให้ไว้ ตอนนี้เธอไม่คุ้นเคยกับการใช้เงินของผู้ชายเท่าไหร่
ตั้งแต่ออกมาจากร้านแบรนด์ดังต่างชาติ ขณะที่ทั้งคู่ยังคงพูดคุยกันเกี่ยวกับชุดที่เพิ่งลองกันมา สายตาของเสี่ยวซีหร่านก็เหลือบไปเห็น ผู้ชายที่อยู่ห่างไปประมาณสองเมตร ท่าทางลับๆล่อๆกำลังจะล้วงกระเป๋าผู้หญิง เพราะผู้หญิงคนนั้นกำลังสนใจชุดที่โชว์อยู่บนหุ่น
เสี้ยววินาทีต่อมาหัวขโมยนั่นก็ล้วงเอากระเป๋าสตางค์สีชมพูออกมา ซึ่งกระเป๋าก็หนาพอสมควร ดูท่าจะมีทั้งเงินและการ์ดต่างๆมากมาย ชายคนนั้นยิ้มพอใจ กำลังจะหมุนตัววิ่งหนี เสี่ยวซีหร่านก็พุ่งตัวเข้าไป ถีบไปที่หลังของผู้ชายคนนั้นเต็มๆ
เสี่ยวซีหร่านใช้แรงเต็มที่ อีกฝ่ายไม่ทันระวังตัว จึงล้มไปกองอยู่ที่พื้น
เกิดเหตุขึ้นด้านหลังผู้หญิงคนนั้น เธอจึงตกใจจนร้องออกมา แล้วนิ่งค้างมองเหตุการณ์ทั้งหมด โดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เสี่ยวซีหร่านไม่รอให้หัวขโมยลุกขึ้นมาได้ รีบเเอารองเท้าส้นสูงเหยียบหลังเขาไว้ “กระเป๋าสตางค์ล่ะ หยิบออกมา”
หัวขโมยเห็นว่าเป็นผู้หญิง จึงแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง “กระเป๋าอะไร ปล่อยผมเดี๋ยวนี้”
“เห็นเป็นผู้หญิงน่ารังแกหรอ ” เสี่ยวซีหร่านหยิบลูกรักราคาแพงใบใหม่ในมือฟาดไปศีรษะของหัวขโมย “จะหยิบออกมาไหม ถ้าไม่หยิบออกมาคืน เดี๋ยวฉันจะช่วยเอง”
หัวขโมยไม่คิดว่าเธอจะมุทะลุดุดันขนาดนี้ เหลือบมองไปข้างหลังก็มีชายร่างกายกำยำยืนอยู่อีกสองคน จึงรู้สึกขลาดกลัวขึ้นมา “หยิบแล้วๆ อย่าทำอะไรผมเลย”
รีบพูดพร้อมกับหยิบกระเป๋าสตางค์ที่เพิ่งขโมยไปออกมา หญิงสาวที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่ข้างๆ ก็เห็นเหมือนเป็นกระเป๋าสตางค์ของตัวเอง
เสี่ยวซีหร่านเงยหน้าขึ้นมาพูดกับหญิงสาวคนนั้น “ไม่เอาคืนไปหรอคะ คราวหลังเวลาเดินช้อปปิ้งก็ดูแลกระเป๋าดีๆนะคะ”
หญิงสาวคนนั้นก็หยิบกระเป๋าสตางค์คืนจากหัวขโมย แล้วกล่าวขอบคุณเสี่ยวซีหร่าน
เสี่ยวซีหร่านกดแรงเหยียบไปที่กระดูกสันหลังของหัวขโมย ทำให้เขาเจ็บปวดจนกรีดร้องออกมา
“อายุก็ยังน้อย ไปหาอย่างอื่นทำดีกว่าไหม อย่ามาเป็นหัวขโมยแบบนี้ อย่าให้ฉันเห็นอีกนะ ไปซะ” เสี่ยวซีหร่านเตะเขาอีกครั้ง หัวขโมยคนนั้นก็รีบลุกขึ้นและวิ่งหนีไป
มองไปรอบๆเห็นผู้คนไม่น้อยหยุดยืนดูเหตุการณ์วุ่นวายนี้ เสี่ยวซีหร่านจึงหันไปมองในกระจกเพื่อจัดเสื้อผ้าหน้าผมให้เข้าที่ ทำให้มู่เวยเวยที่ยืนตะลึงอยู่เอ่ยขึ้นว่า “ไปกันเถอะ ไปช้อปปิ้งกันต่อค่ะ”
หลังจากที่มู่เวยเวยหายตกใจจากเหตุการณ์เมื่อสักครู่แล้ว จึงหันไปแสดงความนับถือเสี่ยวซีหร่าน “ซีหร่าน คุณสุดยอดมาก”
เสี่ยวซีหร่านไม่ได้ใส่ใจอะไร “ก็ไม่ขนาดนั้น ก็แค่หัวขโมยคนหนึ่ง” เธอนึกย้อนไปตอนที่เคยถูกหมาป่าไล่ ช่วงที่ออกไปสำรวจ
มู่เวยเวยยังคงแสดงความชื่นชม “สมัยนี้คนที่รักษาความยุติธรรมแบบคุณไม่ค่อยมี คนส่วนใหญ่คิดในแง่ลบ พอเห็นเหตุการณ์แบบนี้ก็คงไม่เข้าไปช่วย”
“ฉันก็เคยโดนปล้นมาเหมือนกันค่ะ จึงรู้สึกโมโหมากไปหน่อย”
มู่เวยเวยนิ่งไป “เมื่อไหร่หรอคะ”
“เมื่อไม่กี่ปีก่อนที่ต่างประเทศ ฉันไปปีนเขากับเพื่อนค่ะ วางแผนกันว่าจะขึ้นไปตั้งแคมป์พักบนยอดเขา แต่ไม่คิดว่าตกดึกจะมีวัยรุ่นคนหนึ่ง เข้ามาขโมยของ ขโมยเอาของที่ใช้ตั้งแคมป์ไปจนหมด รวมทั้งพวกกระเป๋าสตางค์ พาสปอร์ต และของใช้ต่างๆ ครั้งนั้นเป็นครั้งที่โมโหมากจริงๆค่ะ แต่ก็โชคดีที่ฉันกับเพื่อนๆไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร”
เสี่ยวซีหร่านอธิบายสั้นๆอย่างแผ่วเบา ส่วนมู่เวยเวยตั้งใจฟังอย่างตื่นเต้น และถามต่อว่า “แล้วสุดท้ายทำยังไงกันต่อคะ”
เสี่ยวซีหร่านยิ้มเบาๆ “ตอนนั้นที่โดนช่วงประมาณตีสาม ก็มีคนเสนอว่าให้ลงจากเขา แต่เสียงส่วนใหญ่บอกว่า ของก็โดนขโมยแล้วยังจะไม่ได้ขึ้นไปเห็นทะเลหมอก พระอาทิตย์ขึ้นอีกหรอ นั่นเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ที่ไหนกัน หลังจากนั้นพวกเราจึงลงมติว่าจะอยู่ต่อ ฉันจำได้ว่าบนยอดเขาลมแรงมาก พัดแรงจนทุกคนมากองรวมกันเพื่อเพิ่มความอบอุ่น ทุกคนตัวสั่นรอจนถึงเช้า พอพระอาทิตย์ขึ้นท่ามกลางทะเลหมอกแล้ว พวกเราก็ดีใจกันมากๆ รู้สึกว่ามาไม่เสียเที่ยว แล้วฉันก็ไม่เคยเห็นพระอาทิตย์ขึ้นสวยขนาดนั้นมาก่อนเลยค่ะ”
มู่เวยเวยฟังอย่างหลงใหล จนเธอก็อยากไปเห็นพระอาทิตย์ขึ้นท่ามกลางทะเลหมอกบ้าง
“พาสปอร์ตของคุณหาย แล้วอย่างงี้กับประเทศยังไงคะ”
“ก็ต้องไปสถานทูตเพื่อทำใหม่ไงคะ แต่ตอนนั้นก็ยุ่งยากลำบากมากค่ะ”
หญิงสาวทั้งคู่เดินช้อปปิ้งกันพอประมาณ จนถึงห้าโมงเย็น เสี่ยวซีหร่านที่ตอนแรกจะโทรเรียกมู่เทียนเย่ให้มารับ แต่ว่าฉู่เหยียนที่ตั้งใจอยากชวนไปทานข้าวด้วยกัน บอกอีกว่าไม่ได้มาเมืองAบ่อยๆ ยังไงก็ไปทานข้าวด้วยกันสักมื้อ
เสี่ยวซีหร่านจึงตอบตกลงไป
หาร้านอาหารจีนท้องถิ่นที่ขึ้นชื่อสักร้าน เมื่อเข้าไปนั่งด้านใน โทรศัพท์ของมู่เวยเวยก็ดังขึ้น มองชื่อก็เห็นว่าเป็นเย่ฉ่าวเฉิน
“มีอะไรคะ”
“เธออยู่ที่ไหน ” เย่ฉ่าวเฉินดูเหมือนไม่ได้อยู่ที่บริษัท เพราะเสียงรอบข้างที่เข้าโทรศัพท์ค่อนข้างดัง “ผมจะไปรับ”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันกำลังจะทานข้าวกับเพื่อน ทานเสร็จแล้วจะให้คนขับรถไปส่งค่ะ”
“โอเค” พูดแค่นี้เย่ฉ่าวเฉินก็วางสายไป
มู่เวยเวยประหลาดใจนิดหน่อย เธอมีความคิดว่า หรือเย่ฉ่าวเฉินจะอยากมาทานข้าวด้วยกัน ไม่คิดว่าจะวางสายไปแบบนี้
แต่เธอคิดมากไป เพราะหลังจากนั้นไม่กี่นาที ก็เห็นเงาของเย่ฉ่าวเฉินปรากฎ
“คุณมาได้ยังไงคะ” มู่เวยเวยถามอย่างตกใจ
เย่ฉ่าวเฉินยกยิ้ม “พอดีอยู่ใกล้ๆแถวนี้ ” พูดพลางหันไปมองเสี่ยวซีหร่าน แล้วยื่นมือออกไป “คุณหนู่เสี่ยวสวัสดีครับ ผมชื่อเย่ฉ่าวเฉิน ได้ยินอาเหยียนพูดถึงอยู่บ่อยๆ ถ้าไม่รังเกียจ ขอนั่งด้วยคนนะครับ”
เสี่ยวซีหร่านยื่นมือไปจับเพื่อทักทายเบาๆ แล้วคลายออก สีหน้าเรียบนิ่ง “ไม่รังเกียจหรอกค่ะ เชิญนั่งค่ะ ”
เย่ฉ่าวเฉินนั่งลงข้างๆมู่เวยเวย แขนยาวพาดไปที่พนักเก้าอี้ด้านหลัง เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ แต่เสี่ยวซีหร่านไม่ได้มอง ตั้งใจทานอาหารอยู่
“ช้อปปิ้งอะไรมา” เย่ฉ่าวเฉินถามมู่เวยเวยเสียงเข้ม
มู่เวยเวยที่ไม่ค่อยพอใจที่เขามาทานอาหารด้วย แต่ต่อหน้าเสี่ยวซีหร่านไม่สามารถแสดงอาการอะไรมากได้ จึงพูดนิ่งว่า “เสื้อผ้าสองชุดค่ะ”
เย่ฉ่าวเฉินจับความรู้สึกของเธอได้อย่างรวดเร็ว แต่ไหนๆก็มาแล้ว จะให้ออกไปตอนนี้คงไม่ได้ จึงจับมือเธอเบา เพื่อให้เธอหายหงุดหงิด
มู่เวยเวยสบตาเขา แล้วก้มลงมองที่มือตัวเอง
เย่ฉ่าวเฉินหันไปเอ่ยกับเสี่ยวซีหร่านเพื่อทำลายความน่าเบื่อ “คุณหนูเสี่ยวมาเที่ยวที่เมืองA หรือว่ามาทำงานครับ”
“มาทำงานค่ะ”
“อ๋อ ถ้ามาเที่ยว ผมอยากจะแนะนำให้ไปหลายที่เลยครับ อาเหยียนว่างพอดี ให้เธอไปเป็นเพื่อนนะครับ”
เสี่ยวซีหร่านยิ้มเบาๆ “ขอฉันเช็คเวลาอีกทีนะคะ”
แล้วบรรยากาศก็กลับไปนิ่งสงบอีกครั้ง เย่ฉ่าวเฉินที่อ่านสีหน้าคนไม่ค่อยออก ไม่รู้ควรทำอย่างไร จึงเป็นตัวเองเหมือนเดิมก็แล้วกัน
เสี่ยวซีหร่านมองใบหน้าเย็นชาของเขา ก็รู้สึกถึงความทรมานจิตใจของฉู่เหยียน จึงรู้สึกโกรธแทนน้องสาวของมู่เทียนเย่ขึ้นมา แล้วถามขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “คุณเย่วางแผนจะแต่งงานกับอาเหยียนเมื่อไหร่คะ”
เย่ฉ่าวเฉินและมู่เวยเวยชะงักไปครู่หนึ่ง พวกเขาไม่คิดว่าเสี่ยวซีหร่านจะถามคำถามนี้ต่อหน้า
“ทำไมคะ หรือฉันถามคำถามที่ไม่ควรถาม” เสี่ยวซีหร่านยังคงยิ้ม แล้วจ้องไปที่เขาไม่วางตา
“ไม่มีอะไรที่ไม่สมควรถามหรอกครับ ” เย่ฉ่าเฉินแย้งขึ้นมาทันที “รออีกครึ่งปี ผมก็จะเริ่มคิดเรื่องนี้แล้วครับ”
“ครึ่งปีหรอคะ” เสี่ยวซีหร่านแปลกใจ ครึ่งปีบวกกับหนึ่งปีที่หายไป ก็เป็นปีครึ่ง แบบนี้ตามกฎหมายยังไม่สามารถหย่าได้โดยอัตโนมัติ แต่เธอคิดว่า ถ้าเย่ฉ่าวเฉินอยากจะหย่าจริงๆคงจัดการได้
“ใช่ครับ ครึ่งปี ”
“แล้วภรรยาของคุณล่ะคะ มู่เวยเวย คุณจะหย่ากับเธอหรอ”
เมื่อฟังประโยคนี้แล้ว ทั้งเย่ฉ่าวเฉินและมู่เวยเวยต่างรู้สึกสับสน และไม่รู้ว่าในช่วงเวลาแบบนี้จะตอบเธอยังไง
“คุณเสี่ยวดูจะเข้าใจผมดีจังเลยนะครับ”
เสี่ยวซีหร่านยิ้มเยาะ ไม่ไว้หน้าเขาสักนิด “ท่านประธานเย่เป็นถึงท่านประธานแห่งบริษัทยักษ์ใหญ่ ไม่มีใครไม่รู้จัก ข่าวซุบซิบพวกนี้ ถึงฉันจะไม่ถามขึ้นมา ก็มีคนไปพูดให้คุณได้ยินอยู่ดี ไม่ได้เข้าใจดีหรอกค่ะ แต่เพราะว่าเรื่องนี้เพื่อนที่แสนซื่อของฉันเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย ฉันก็เลยใจกล้าถามแทนค่ะ”
มู่เวยเวยฟังแล้วรู้สึกซาบซึ้งใจ เธออยากจะบอกความจริงทั้งหมดกับเสี่ยวซีหร่าน แต่ตอนนี้ไม่ได้จริงๆ ทำได้แค่ขอโทษเสี่ยวซีหร่านในใจ แต่หลังจากนี้จะแสดงความขอโทษเธออย่างแน่นอน
เย่ฉ่าวเฉินเงียบไปสักพัก แล้วพูดอย่างเย็นชา “คุณเสี่ยวครับ ประโยคที่ผมพูด ว่าอีกครึ่งปี ผมจะจัดการเรื่องทั้งหมดให้เรียบร้อย คุณไม่ต้องกังวลไปหรอกครับ”
เสี่ยวซีหร่านพูดอะไรไม่ออก จึงยักไหล่ขึ้น แล้วพูดว่า “โอเคค่ะ หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น แต่ว่า ฉันก็เป็นแค่เพื่อนคนหนึ่ง ไม่ควรถามอะไรเยอะแยะแบบนี้ ขอโทษที่เสียมารยาทนะคะ”
มู่เวยเวยรีบพูดขึ้นว่า “ไม่ๆๆ เธออย่าพูดแบบนี้สิ ฉันรู้ว่าเธอหวังดีกับฉัน”
เย่ฉ่าวเฉินไม่คุ้นเคยกับท่าทางหยิ่งผยองของเสี่ยวซีหร่าน จึงคิดไม่ถึงว่ามู่เวยเวยจะพูดดีกับเธอขนาดนี้ จึงพูดอย่างเย็นชา “คุณเสี่ยวดูจะรู้สถานะตัวเองดีแล้วนะครับ”
มู่เวยเวยจ้องเขม็งไปที่เขา เสี่ยวซีหร่านก็วางมือจากการทานอาหาร วางตะเกียบลง มองตรงไปที่เย่ฉ่าวเฉิน “ฉันรู้สถานะตัวเองดีค่ะ ไม่เหมือนบางคน ที่ไม่เห็นค่าในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ เห็นผู้หญิงเป็นของเล่น”
เย่ฉ่าวเฉินหัวร้อนขึ้นมาทันที “คุณหมายถึงใคร”
เสี่ยวซีหร่านพูดเย้ยหยัน “เข้าใจแล้วหรอคะ ก็หมายถึงคุณไง เย่ฉ่าวเฉิน ถ้าคุณยังอยากอยู่กับภรรยาคุณ ก็อย่ามายุ่งกับอาเหยียน แต่ถ้าอยากอยู่กับอาเหยียน ก็ไปจัดการเรื่องหย่ากับภรรยาให้เรียบร้อยก่อน ขืนคุณยังทำแบบนี้ ที่ให้ภรรยาอยู่ต่างเมือง แล้วก็มีผู้หญิงอีกคนอยู่ข้างๆ ฉันก็หมดคำจะพูด เพราะคุณเป็นผู้ชายที่ห่วยมาก”
เย่ฉ่าวเฉินที่ไม่เคยโดนผู้หญิงฉีกหน้าแบบนี้ แต่ก็ไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าจริงๆแล้วอาเหยียนคือมู่เวยเวย เขาโกรธจัด “เสี่ยวซีหร่าน ผมเห็นคุณเป็นผู้หญิงหรอกนะ ไม่อยากที่จะต่อล้อต่อเถียงด้วย ไม่งั้น…….”
“ไม่งั้นอะไรคะ จะตีฉันหรอ หึๆ ฉันคงจะเปิดโลกมากๆเลย”
มู่เวยเวยรู้สึกอับอายมาก จนตาแดงก่ำ กำมือแน่นและตะโกนใส่เย่ฉ่าวเฉิน “คุณหุบปากเถอะค่ะ”
เย่ฉ่าวเฉินที่กำลังเดือดดาล แต่เมื่อหันไปเห็นน้ำตาที่คลอเบ้าของมู่เวยเวย ความโกรธก็เลือนหายไป
เสี่ยวซีหร่านเห็นทีว่าคงทานอาหารมื้อนี้ต่อไม่ลง จึงกดส่งข้อความหามู่เทียนเย่ให้มารับ
ไม่กี่วินาที มู่เทียนเย่ก็ตอบกลับมา “โอเค อยู่ใกล้ๆพอดี”
“ทุกคนเล่าลือกันว่าท่านประธานแห่งเย่ฮวางกรุ๊ปเป็นคนจิตใจดีมีคุณธรรม ได้ยินว่าเมื่อสองวันก่อนมีการไปบริจาคให้เด็กที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง วันนี้ก็ได้มาเจออีก ชื่อเสียงโด่งดังจริงๆเลยนะคะ” เสี่ยวซีหร่านพูดประชดประชัน แล้วหันไปยิ้มให้มู่เวยเวย “พอแล้ว มื้อนี้คงกินไม่ลงแล้วล่ะ ไว้วันหลังฉันชวนเธอใหม่นะ ฉันขอตัวก่อน”
มู่เวยเวยรีบลุกตามเธอไป เพื่อกล่าวขอโทษ “ซีหร่าน ขอโทษด้วยนะ เขาก็เป็นคนแบบนี้แหละ”
“ชิ เขาคิดว่าตัวเองเป็นเทพเจ้าหรือไง ที่ทุกคนจะต้องยอม” เสี่ยวซีหร่านรับของจากในมือบอดี้การ์ด แล้วเดินไปพร้อมกับบ่นอย่างหงุดหงิด “แม่งเถอะ มีเงินแล้วยังไงหรอ คิดว่าผู้หญิงทุกคนจะโง่ยอมเขาทุกเลยหรือไง”
มู่เวยเวยก้มหน้างุด และบ่นพึมพำ “เธอก็มีเงินนะ”
“ฉันมีเงินก็จริง แต่ไม่ทำนิสัยเลวๆแบบเขาสักหน่อย ที่เล่นกับความรู้สึกของคนอื่น” เสี่ยวซีหร่านกร่นด่าเขาต่ออีก หันไปมองมู่เวยเวยผู้น่าสงสาร แล้วเชยคางเธอขึ้นมา “เธอสวยขนาดนี้ ครอบครัวก็ดี นิสัยก็ดี ทำไมถึงรักผู้ชายแย่ๆแบบนี้นะ แถมยังมีภรรยาอยู่แล้ว อยากให้เธอกลับใจนะ ไม่งั้นมันจะทำร้ายตัวเธอเอง”
“รับทราบค่ะ” มู่เวยเวยรับปากอย่างว่านอนสอนง่าย
เสี่ยวซีหร่านอยากจะเรียกสติสาวน้อยคนนี้ แต่ก็คิดว่า มันเป็นเรื่องที่เธอต้องเลือกเอง
“เอาเถอะ เธอตัดสินใจเองแล้วกันนะ”
“ซีหร่าน หลังจากนี้เธอจะยังเข้าใจฉันอยู่ไหม” มู่เวยเวยถามด้วยความกังวล เธอที่แสดงออกว่ารังเกียจคนทำผิดอย่างชัดเจน คงจะรังเกียจคนที่เป็นเมียน้อยแน่ๆ
หลังจากฟังเธอพูด เธอก็ตอบว่า “เธอเป็นคนดี ในหัวเธอคิดอะไรอยู่เนี่ย ยังไงเราก็เป็นเพื่อนกัน แค่ต่อไปอย่าให้ฉันเจอกับเย่ฉ่าวเฉินก็พอ ไม่งั้นเจอกันครั้งหนึ่งฉันก็จะบ่นแบบนี้แแหละ”
“ห๊ะ”
เสี่ยวซีหร่านเห็นรถคันคุ้นเคยแล่นเข้ามาในระยะสายตาพอดี จึงเข้าไปกอดฉู่เหยียนหลวมๆ เอ่ยลา แล้วก้าวเดินไปที่รถ
เสี่ยวซีหร่านวางกระเป๋าและถุงเสื้อผ้าไว้ที่เบาะด้านหลัง แล้วก้าวขึ้นนั่งที่ฝั่งข้างคนขับ
“ทานอาหารเป็นยังไงครับ” มู่เทียนเย่เอ่ยถามเสียงนุ่ม
เสี่ยวซีหร่านคาดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อย แล้วหันมาพูดด้วยเสียงหงุดหงิด “ก็ไม่ยังไงค่ะ ทะเลาะกับเย่ฉ่าวเฉินมานิดหน่อย”
“หา ทะเลาะกับเย่ฉ่าวเฉิน ” มู่เทียนเย่ตกใจ “เขาอยู่ที่นี่ด้วยหรอ”
“พวกเราทานข้าวกันอยู่ แล้วเขาก็เข้ามา อาเหยียนก็โทรบบอกแล้วนะคะว่าสาวๆจะทานอาหารกัน แล้วเขาเข้ามาแบบนี้มันหมายความว่ายังไง หรือกลัวว่าฉันจะพาอาเหยียนหนีไปหรือไงกัน” เสี่ยวซีหร่านพูดไปพลางรู้สึกรุ่มร้อนในท้อง
“ก็เลยทะเลากันหรอ”
“ก็ไม่ใช่ ฉันไม่ได้งี่เง่าขนาดนั้นนะคะ คือฉันถามว่าคิดจะแต่งงานกับอาเหยียนเมื่อไหร่ เขาบอกว่าอีกครึ่งปี แล้วฉันก็ถามต่อว่าจะหย่ากับมู่เวยเวยไหม เขาบอกว่าอีกครึ่งปี แล้วเขาก็ยังบอกอีกว่าฉันเป็นแค่เพื่อน ให้รู้สถานะตัวเองด้วย ” เสี่ยวซีร่านกลืนน้ำลายลงคอ แล้วพูดต่อ “ฉันรู้สถานะตัวเองดีอยู่แล้ว แต่พอได้ยินเขาพูดแบบนี้แล้ว ฉันเลยตอบกลับไปว่าอย่าเหยียบเรือสองแคม ก็เลยทะเลาะกันค่ะ”
มู่เทียนเย่รู้นิสัยของเธอดีว่าเป็นคนตรงๆ จึงยื่นมือไปลูบศีรษะเธออย่างอ่อนโยนเพื่อปลอบใจ “ดีแล้ว อย่าไปมีเรื่องกับคนแบบนั้นเลย เดี๋ยวผมจะให้เขาชดใช้เอง”
เสี่ยวซีหร่านคอแห้งจนต้องกลืนน้ำลายอีกครั้ง แล้วในหัวก็คิดอะไรบาางอย่างออก แล้วถามขึ้นว่า “เย่ฉ่าวเฉินตอบคำถามสองคำถามนี้ ว่าครึ่งปี คุณว่า นี่เป็นกรอบเวลาของเขา ที่เกี่ยวกับมู่เวยเวยหรือเปล่า”
มู่เทียนเย่ได้ฟังเธอพูดเตือนสติ ซึ่งแนวคิดก็คล้ายกับเสี่ยวซีหร่าน “ก็เป็นไปได้ ตอนนี้มู่เวยเวยหายไป เขาก็เลยอยากจะหย่ากับมู่เวยเวย แต่ก็รอให้ครบสองปี ไม่งั้น ภายในเวลาสองปีนี้เขาแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น ก็อาจจะมีความผิด แม้ว่าเย่ฉ่าวเฉินจะดูไม่ค่อยเคารพกฏหมาย แต่ความผิดแบบนี้ เขาคงจะไม่ยอมให้เกิดขึ้น”
“งั้นอีกครึ่งปีของเขาหมายความว่ายังไงกันแน่คะ เกลียดคนที่ป่าวประกาศไปทั่วแบบนี้ แถมไม่เจ็บปวดสักนิด ” เสี่ยวซีหร่านหงุดหงิดขึ้นมาอีก ทนไม่ไหวจนต้องกระทืบเท้าไปที่พื่นรถสองสามครั้ง
มู่เที่ยนเย่ยิ้มอ่อนโยน ปกติเธอจะทำตัวดูโตกว่าเขาเสมอ แต่เมื่อไม่พอใจเป็นเด็กแบบนี้ก็ดูน่ารักดี
เสี่ยวซีหร่านนึกบางอย่างออก จึงหันไปถามมู่เทียนเย่ “ฉันถามเย่ฉ่าวเฉินแบบนี้ คุณจะโกรธฉันไหม”
“ทำไมต้องโกรธคุณล่ะครับ คุณทำเพื่อผมไม่ใช่หรอ ผมต้องขอบคุณคุณต่างหาก” มู่เทียนเย่เป็นคนที่ไม่แสนดีอะไรมากมาย เขาไม่อยากดึงให้เสี่ยวซีหร่านเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ กลัวว่าเธอจะได้รับอันตราย แต่ด้วยความจิตใจดีของเธอ เขาจึงเข้าใจได้
เสี่ยวซีหร่านยิ้มออกแล้ว “งั้นก็ดีเลยค่ะ ฉันกลัวว่าคุณจะโกรธเพราะฉันเข้าไปยุ่ง ไปกันเถอะค่ะ หาร้านอร่อยๆทานอาหารกันดีกว่า ท้องร้องประท้วงแล้วค่ะ”
“ขออนุญาตครับ ไม่ทราบว่าคุณผู้หญิงอยากทานอะไรครับ ”
“อืม—— ทานปิ้งย่างเสียบไม้ค่ะ ไม่ได้ทานนานแล้ว โดยเฉพาะเนื้อแกะ ที่ข้างนอกเผ็ดๆแบบนั้นล่ะค่ะ แค่คิดก็น้ำลายไหลแล้ว”
มู่เทียนเย่ที่ยุ่งๆก็ยังไม่ได้ทาน จนตอนนี้ก็ท้องร้อง ทานเนื้อก็เป็นตัวเลือกของเขาเหมือนกัน เมื่อมองออกไปด้านนอก มู่เทียนเย่จำได้ว่ามีร้านปิ้งย่างอร่อยอยู่แถวๆนี้ แล้วก็หักเลี้ยวพวงมาลัยเข้าไปจอดที่หน้าร้าน
ทางด้านร้านอาหารจีน
หลังจากที่เสี่ยวซีหร่านขึ้นรถออกไป มู่เวยเวยก็ไม่อยากจะเห็นหน้าของเย่ฉ่าวเฉินเลย อยากจะเรียกรถกลับเอง แต่กระเป๋าวางอยู่ที่เก้าอี้ด้านในร้าน จึงทำได้แค่เดินหน้ามุ่ยกลับเข้าไป
ผลักประตูเข้าไป ก็เห็นเย่ฉ่าวเฉินนั่งกอดอก หน้าเย็นชา
มู่เวยเวยเอื้อมหยิบกระเป๋าของตัวเองแล้วจะก้าวเดินออกไป เย่ฉ่าวเฉินเห็นว่าแบบนี้ไม่ถูกต้อง จึงเข้าไปยืนขวางหน้าเธอเอาไว้
“หลบไป ” มู่เวยเวยกดเสียงต่ำด้วยความโมโห
“จะไปไหน”
“จะไปไหนก็ไม่เกี่ยวกับคุณ ตอนนี้ฉันไม่อยากเห็นหน้าคุณ” มู่เวยเวยออกแรงผลักเขาให้พ้นจากหน้าประตู แต่เธอก็สู้แรงผู้ชายไม่ไหว เขาจึงไม่ขยับไปไหนเลย
เย่ฉ่าวเฉินจ้องหน้าเธอที่โกรธจนลมออกหู จึงพูดด้วยเสียงนุ่ม “โอเค ถือว่าฉันผิดเอง ก็ได้ ฉันไม่ควรมาโดยไม่บอกก่อน”
“อะไรคือถือว่าคุณผิดเองก็ได้ ก็เห็นอยู่ว่าคุณผิดจริงๆ ” มู่เวยเวยตะโกนใส่ ” อีกอย่าง เสี่ยวซีหร่านเป็นเพื่อนของฉัน ทำไมคุณพูดกับเธอแบบนั้น”
“ก็เธอบอกเอง ว่าหล่อนเป็นแค่เพื่อน แล้วมีสิทธิอะไรมาถามแบบนี้ ”
“อะไรนะ ทำไมคุณพูดแบบนี้ เธอก็แค่ถามเพราะว่าเป็นห่วงฉัน คุณไปถามเธอแบบนี้ คิดถึงความรู้สึกฉันบ้างไหม คุณคิดว่าเธอเป็นใครคะ ที่คุณจะสามารถพูดจาถถากถางแบบนี้ได้”
เย่ฉ่าวเฉินยอมรับว่า เขาทำเกินไป ลืมสถานะของเสี่ยวซีหร่าน แล้วเธอจะทนไหวได้ยังไง เมื่อเทียบกับความร่ำรวยของเธอแล้ว เขามีแค่ครึ่งของเธอเท่านั้น
“ผมผิดเอง อย่าโกรธเลยนะ ” เย่ฉ่าวเฉินอ้อนวอน
แต่มู่เวยเวยไม่ยอม “หลบไป”
“ไม่ ” เย่ฉ่าวเฉินยืนขวางหน้าประตู มู่เวยเวยโกรธหนักกว่าเดิม กระแทกส้นสูงลงไปที่เท้าเขา เขาเจ็บจนต้องกัดฟันแน่น เธออกแรงผลักให้หลบ แล้วก็ก้าวเดินออกไป
แต่เย่ฉ่าวเฉินจะยอมปล่อยให้เธอออกไปคนเดียวอย่างนี้ได้อย่างไร เพราะตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว จึงรีบตามไปแม้เจ็บอยู่
“ยืนนิ่งกันอยู่ทำไมล่ะ รีบตามเธอไปสิ ” เย่ฉ่าวเฉินรีบตะโกนสั่งบอดี้การ์ดสองคนที่ยืนอยู่
ขณะที่รอให้เย่ฉ่าวตามมา มู่เวยเวยก็ถูกบอดี้การ์ดดักไว้ได้
“ขึ้นรถก่อนได้ไหม ไม่พอใจอะไรผม พอขึ้นรถแล้วค่อยอาละวาด โอเคไหม” เย่ฉ่าวเฉิน
กดเสียงทุ้มต่ำ ที่ด้านนอกมีคนมองเยอะแยะ
มู่เวยเวยยืนนิ่ง สุดท้ายเย่ฉ่าวเฉินก็ลากพาขึ้นที่นั่งด้านหลังไป
“ผมผิดเอง ที่มาโดยไม่บอกก่อน แล้วก็พูดไม่ดีกับเพื่อนของเธออีก เป็นความผิดของผมทั้งหมด คุณอย่าโกรธเลยนะ” เย่ฉ่าวเฉินขอโทษเสียงอ่อน
ดูเหมือนความโกรธของมู่เวยเวยจะค่อยๆลดลง “เย่ฉ่าวเฉิน ฉันแค่มาทานข้าวกับเพื่อน ทำไมคุณต้องจ้องจับผิดฉันขนาดนั้นด้วย คุณมีอะไรไม่วางใจหรอคะ แถมส่งบอดี้การ์ดมาติดตามด้วย”
เย่ฉ่าวเฉินรีบแก้ตัว “ผมไม่ได้จะจับผิดคุณ ผมแค่บังเอิญอยู่แถวนี้พอดี….”
“แต่ฉันไม่ได้บอกให้คุณมานะคะ ” มู่เวยเวยเอ่ยอย่างไม่พอใจ “ฉันอยู่ที่เมืองAไม่มีเพื่อนเลย ไม่ง่ายที่จะได้รู้จักกับเพื่อนดีๆแบบนี้นะคะ แค่เพียงอยากทานอาหารกันสงบๆ แล้วคุณก็เข้ามาก่อกวน”
“ผมไม่ได้อยากมาก่อกวน แต่ที่เธอพูดมันช่าง…….”
“ที่คุณมาก็คือก่อกวนค่ะ ฉันชอบเพื่อนคนนี้มากนะ เพราะเธอเป็นคนง่ายๆสบายๆ น่าชื่นชม ก่อนหน้านี้ฉันมีเรื่องปิดบังเธอ ฉันไม่อยากให้เธอเข้าใจผิดไปมากกว่านี้”
เย่ฉ่าวเฉินกลั้นยิ้มไว้ พ่นลมหายใจออกมา “โอเคครับ โชคดดีนะที่เสี่ยวซีหร่านเป็นผู้หญิง”