“เมื่อครู่ กลุ่มโจรสลัดต่างชาติวิ่งเข้ามา ไม่พูดไม่จา ก็หยิบปืนกลกราดยิงไปทั่ว ยังร้องหาของบางอย่าง พวกมันพังฐานค้นหาทุกซอกทุกมุม ของมีค่าถูกพวกมันเอาไปหมดเลย รวมถึงหยกโบราณ ภาพวาดตัวอักษร และอาวุธยุทโธปกรณ์ในโกดัง ก็ไม่เหลือแล้ว”
กาวิน ได้ยินคำพูดเหล่านี้ เขาแทบจะกะอักเลือด สิ่งของเหล่านั้นล้วนมีค่า เป็นของที่เขาเก็บสะสมมานานก่อนจะประสบความสำเร็จเพียงเล็กน้อย แต่ก็…….
“โจรสลัดที่ไหน ? คนของใคร ? กล้าเข้าไปในเขตแดนของกูได้ยังไง ?” กาวินกัดฟันถาม น้ำเสียงของเขาแทบจะฉีกคนเป็นชิ้นๆ
“ผมไม่รู้ พวกมันเข้ามาเหมือนหมาบ้า ไม่พูดอะไรสักคำ เข้ามาเจอคนก็ฆ่า ไม่มีโอกาศที่จะได้พูดเลย”
“พวกแกล่ะ ? ไม่รู้จักสู้รึยังไง ? ฉันจะเลี้ยงดูพวกแกไปทำไม ?” กาวินด่า
“เจ้านาย ไม่ใช่ว่าพวกผมไม่สู้ ”แต่พวกมันมีเยอะเกินไป และตอนนี้ก็กลางคืนด้วย ทุกคนกำลังกินข้าวเสร็จ พวกเขาก็เลยรู้สึกขี้เกียจ……”
“เชี้ย !เชี้ย !”ความโกรธของกาวินไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ คนในรถตกใจจนไม่กล้าแสดงออก เพราะกลัวว่าจะกระทบกับตนเอง ผู้คนกลุ่มนี้ไม่ได้ขี้เกียจ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาดื่มกินกันสนุกสนานในขณะที่เขาไม่อยู่ เดาว่าพวกเขาเมาก่อนที่จะถูกโจมตีได้สำเร็จ
รอเขาด่าเสร็จ ก็ได้ยินทางนั้นพูดว่า “เจ้านาย เรื่องยังไม่จบ”
“ยังมีอะไรอีก !”กาวินถามด้วยความโกรธ เขารู้สึกว่าหัวของเขาจะระเบิดแล้ว
“ในตอนที่พวกมันจากไป ได้ขว้างระเบิดลงหลายลูก และทำลายฐานทับ ไม่ง่ายเลยกว่าผมจะหนีออกมา…….”
“ทำไมแกไม่ตายไปซะ !”กาวินด่าเสร็จ ก็โยนโทรศัพท์ลงบนพื้น แตกเป็นเสี่ยง ทำให้รู้ว่าเขาโกรธมากขนาดไหน
ชิ้นส่วนโทรศัพท์มือถือที่ตกอยู่ให้เห็น
จางเหิงกับอลิซมองหน้ากันอย่างเงียบๆ และทั้งสองก็เห็นความตื่นตระหนกในดวงตาของกันและกัน จากคำพูดของกาวิน พวกเขาก็สามารถเดาได้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
แต่พวกเขาก็ไม่มีใครกล้าถาม ด้วยความโกรธของกาวินแบบนี้ พวกเขาไม่เคยพบเจอ
ในขณะเดียวกัน นอกจากเสียงเครื่องยนต์ของรถตู้แล้ว ก็เป็นเสียงหอบของกาวิน
ผ่านไปหลายนาที กว่าสติของกาวินจะกลับมา
ฐานทับของเขาถูกซ่อนไว้ในเกาะ คนนอกยากที่จะหาเจอ จะบอกว่าว่าโจรสลัดบุกเข้าไปโดยไม่ตั้งใจ เขาไม่มีทางเชื่ออย่างแน่นอน รู้ว่าของสะสมของเขาอยู่ที่ไหน ยังรู้อีกว่าคลังอาวุธยุทโธปกรณ์อยู่ไหน ที่นี่ต้องมีสายลับแน่ ใช้ประโยน์จากการที่เขาไม่อยู่ ร่วมมือกับโจรสลัดภายนอก มาที่ซ่องโจรของเขา
สายลับคนนี้เป็นใครกัน ? !
กาวินครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ และก็มีหลายคนผุดขึ้นมาในหัวของเขา
คุณK และทหารรับจ้างต่างชาติสองคนที่ถูกทอดทิ้งไว้ด้วยกันครั้งที่แล้ว บางทีอาจจะเป็นแบบที่เขาคิด เย่ฉ่าวเฉินปล่อยพวกเขา แต่พวกเขาก็ยังไม่พอใจกับตัวเอง ดังนั้นจึงต้องการแก้แค้น
ต้องรู้ว่า คนพวกนี้รู้จักแค่เงินไม่รู้จักมิตรภาพ
บรรยากาศในรถหดหู่ มู่เวยเวยหันศีรษะมองออกไปนอกหน้าต่าง นึกถึงคนบริสุทธิ์ที่จางเหิงฆ่าไปเมื่อสองชั่วโมงก่อน เธอก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น
เป็นเพราะเธอใจดีเกินไป ถ้าหากตอนนั้นเธอไม่เป็นแม่พระ บอกเย่ฉ่าวเฉินว่าอย่าฆ่าคน และไปฆ่าจางเหิงโดยตรง วันนี้ชายบริสุทธิ์พวกนั้นก็คงไม่ตาย
ในตอนนี้ เธอเข้าใจความจริงแล้ว ไม่ใช่ทุกคนที่จะสมควรได้รับอภัย บางคนชั่วช้าเกินไป ก็ควรส่งเขาไปพบพระเจ้า
เธอสาบาน ว่าหลังจากนี้จะไม่ยุ่งกับเรื่องอะไรมากมายแล้ว
โชคชะตาฟ้าลิขิต
ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกถึงดวงตาคู่หนึ่งที่จ้องมองมาที่เธอจากด้านหลัง มู่เวยเวยหันกลับไปดู ก็สบตาเข้ากับดวงตาคู่นั้น แววตามีความกระหายเลือดอยู่ในความโกรธ
มู่เวยเวยหดคอโดยไม่รู้ตัว เธอรู้สึกได้ว่ากาวินจะสับและกินเธอ
“คุณ คุณมองฉันแบบนี้ทำไม ? ฉังคงไม่ได้ยั่วโมโหคุณหรอกนะ” มู่เวยเวยกอดแขนตัวเอง และอยากจะหนีออกไปจากที่น่ากลัวแบบนี้
กาวินมองไปที่เธอ เมื่อครู่เขาสงสัยว่า เรื่องนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับเย่ฉ่าวเฉิน แต่เขาก็รู้สึกว่าเย่ฉ่าวเฉินไม่มีความสามารถที่ยอดเยี่ยมแบบนี้ ต้องรู้ว่า แก๊งโจรเจียงหยางที่โหดเหี้ยมนั้นไม่ใช่ว่าคำพูดใครก็สามารถเชื่อได้
ปัญหาที่เร่งด่วนของเขาในตอนนี้ คือตามหาสมบัติที่ไม่รู้ว่าซ่อนอยู่ที่ไหน และรีบกลับไปกอบกู้การสูญเสียในครั้งสุดท้ายนี้ เพราะว่าเขามีความรู้สึกที่แข็งแกร่ง ถ้าหากว่าฝ่ายตรงข้ามจงใจจะแก้แค้น สถานที่อื่นๆของตัวเองก็คงจะไม่รอด
เมื่อคิดถึงตรงนี้ กาวินก็พูดกับจางเหิงว่า “ติดต่อไปสักสองสามตระกูล ถามดูว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นไหม” เมื่อครู่เขาหุนหันเกินไปโทรศัพท์ของเขาเลยพังยับเยิน
จางเหิงรีบหยิบโทรศัพท์ออกมากดหมายเลขบนเกาะ และรีบโทรออก “ฉันคือจางเหิง ช่วงนี้ที่บ้านปกติดีไหม ?”
“ปกติมาก ไม่มีเรื่องใหญ่อะไรเกิดขึ้น”
“เอาล่ะ จับตาดูไว้ อย่าวางใจ”
จางเหิงโทรออกอีกหลายครั้ง แต่ก็ได้รับคำตอบแบบเดียวกัน
“เจ้านาย ทุกอย่างเป็นปกติ” จางเหิงถามอย่างกล้าหาญว่า “เจ้านาย เมื่อครู่เกิดเรื่องอะไรขึ้น ?”
สายตาของกาวินแสดงความเย็นชา และพูดขึ้นว่า “เกาะพระจันทร์ถูกโจมตี”
“ห๊ะ ?”อลิซกับจางเหิงอุทานขึ้นพร้อมกัน แม้ว่ามู่เวยเวยจะไม่รู้ว่าเกาะพระจันทร์มีไว้เพื่ออะไร แต่ด้วยปฎิกิริยาของทั้งสาม น่าจะเป้นสถานที่สำคัญมาก
“ใครเป็นคนทำ สูญเสียอย่างไรบ้าง ?”จางเหิงอดไม่ได้ที่จะถาม
กาวินพยายามสงบสติอารมณ์ลง เงียบไปนานกว่าจะพูดขึ้นว่า “บนเกาะถูกปล้นของไปจนหมด ผู้คนก็ตายไปมากกว่าครึ่ง”
สมองของจางเหิงแทบจะระเบิด โดนปล้นสะดม ?
พระเจ้า เกาะพระจันทร์เป็นฐานทัพใหญ่ของพวกเรา ภายในมีปืนและอาวุธยุทโธปกรณ์ที่พวกพี่น้องเราใช้กัน ยังมีสมบัติล้ำค่าของเจ้านายอีก เช่นทองคำหนึ่งกล่อง ดังนั้นพวกเราต้องปฎิบัติหน้าที่ตลอด24ชั่วโมง นอกจากนั้นเกาะเล็กๆนั่นหาจากดาวเทียมไม่มีทางเจอ และมีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ หลายปีมานี้ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ทำไมถึงโดนปล้นสะดมได้ ?
“ใครเป็นคนทำ ? ”เห็นได้ชัดว่าอลิซไม่อยากจะเชื่อ โดยลืมไปว่าคนที่เธอถามคือเจ้านายที่ไม่สามารถล่วงเกินได้
“ข่าวเมื่อครู่บอกว่า เป็นกลุ่มโจรสลัดต่างชาติ ”คำพูดเหล่านี้แทบจะหลุดออกมาจากฟันของเขา
มู่เวยเวยดูเหมือนจะนั่งฟังบทสนทนาของทั้งสามคนอย่างเงียบๆ แต่ในใจกลับมีความสุข ฮ่าฮ่า กรรมตามสนองเป็นแบบนี้นี่เอง
เขาก่อกรรมทำชั่วในแผ่นดิน ก็จะมีบางคนใช้ประโยนช์จากที่ซ่อนของเขา ฉวยโอกาศสมบูรณ์แบบจริง
“งั้น งั้นพวกเราต้องกลับไปไหม ? ”อลิซถามอย่างกังวล
“แก๊งโจรสลัดนั่นมาและไปอย่างไร้ร่อยรอย พวกเราไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกมันในทะเล และตอนนี้พวกเราก็ไม่มีทางกลับไปได้แล้ว” กาวินตัดสินใจอีกครั้ง “พวกเราต้องรีบตามหาสมบัติให้พบโดยเร็ว แบบนี้ถึงจะสามารถชดเชยสิ่งที่สูญเสียไปได้”
อลิซและจางเหิงพูดอะไรไม่ออก พวกเขาเป็นคนใต้บังคับบัญชา เจ้านายพูดยังไงก็ทำยังนั้น แม้ในใจพวกเขาจะรู้สึกว่าการรีบกลับไปคือกุญแจสำคัญ
ไม่มีเด็กตามมาด้วย การเดินทางของกลุ่มล่าสมบัติก็เร็วยิ่งขึ้น มู่เวยเวยแสร้งทำเป็นล้มเพื่อถ่วงเวลาให้ช้าลง แต่ความคิดที่รอบคอบนี้จะถูกมองออกโดยอลิซ
“มู่เวยเวย ถ้าแกยังคิดที่จะถ่วงเวลา ฉันก็ไม่รังเกียจที่จะให้บอดี้การ์ดอยู่กับเธอ และปล่อยให้พวกเขาผ่อนคลายระหว่างทาง”อลิซยิ้มที่มุมปาก คำพูดของเธอทำให้มู่เวยเวยหนาวสั่น
“ฉันเดินเองได้” มู่เวยเวยพูดพร้อมกับเร่งฝีเท้าไปอยู่ข้างๆคุณฉ่าย ในบรรดาผู้คนมากมายนี้ มีเพียงคุณฉ่ายเท่านั้นที่เป็นกลาง อย่างน้อยเขาก็ไม่เกลียดชังเธอ
สถานที่ที่พวกเขามาในวันนี้เป็นมณฑลเล็กๆที่ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กัน ที่กลับมา ก็เพราะว่าคุณฉ่ายคิดว่าที่นี่น่าจะมีสมบัติซ่อนอยู่มากที่สุด
สถานที่ที่อันตรายที่สุดคือที่ที่ปลอดภัยที่สุด เย่ฉ่าวเฉินและมู่เทียนเย่คงคิดไม่ถึงแน่ว่าพวกเขาจะกลับมา
ทางขึ้นภูเขาสูงชันมาก เมื่อมาถึงพุ่มไม้ไม่มีทางแล้ว กาวินก็ผลักเธอมาอยู่ข้างหน้าอย่างไร้ความปราณี ปล่อยให้เธอสำรวจทาง
ตั้งแต่มู่เวยเวยเป็นเด็กเธอมักจะกลัวงูแมลงหนูพวกนี้ ทุกครั้งที่ก้าวเดินเธอก็จะแหย่กิ่งไม้ด้วยความกลัว เพื่อให้สัตว์ที่อยู่ในหญ้าตื่นหนี ไม่อย่างนั้นถ้าเท้าเธอเหยียบอะไรที่นิ่มๆ เธอก็จะหวาดผวา
หลังจากเดินไปสามสี่เมตร ขาของมู่เวยเวยก็มีรอยขีดข่วนจากพุ่มไม้และกิ่งไม้ แต่กาวินยังคงเร่งเธอ “เธอรีบเดินหน่อย”
มู่เวยเวยทนไม่ไหว หันไปตะโกน “คุณมีความสามารถคุณก็เดินสิ รังแกฉันที่เป็นผู้หญิงนับว่ามีความสามารถอะไร ?”
“หยุดพูดเรื่องไร้สาระ และเดินต่อไป”
ในที่สุดก็ปีนขึ้นไปบริเวณที่กว้าง กาวินพูดด้วยความสงสารว่า “พักครู่หนึ่ง”
ในตอนนี้ เสื้อผ้าของมู่เวยเวยเต็มไปด้วยเหงื่อ
เดินมาที่ก้อนหินแปลกประหลาดและนั่งลง มู่เวยเวยใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อ ทันใดนั้นก็รู้สึกว่ามีอะไรนุ่มๆที่ใต้เท้า เธอก้าวเท้าและเหยียบดูสองที และมีปฎิกิริยาตอบกลับมา หนังศีรษะเริ่มชาชี้ขึ้น เธอตะโกนและวิ่งลงหินไปอีกทาง
หลายคนตะลึงกับการกระทำของมู่เวยเวย ค่อยๆเดินมาใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย
“แกร้องบ้าอะไร ?” อลิซถามด้วยท่าทีรังเกียจ
มู่เวยเวยหอบ สีหน้าซีดเซียวและพูดเสียงสั่นๆว่า “ตรงนั้น…….ข้างล่างนั่น มันนุ่มๆ ไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างใต้”
เมื่ออลิซได้ยินดังนั้น เธอก็ถอยกลับออกมาอย่างใจเย็น เพราะเธอก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่งเหมือนกัน
จางเหิงหยิบกริซออกมาจากเอวของเขา และค่อยๆเข้าไปใกล้จุดที่มู่เวยเวยชี้ จากนั้นก็เหวี่ยงกริซอย่างแรง เสียงดัง “หวึด”กริซลอยผ่านอากาศและใบมีดจมอบู่ที่พื้นดิน เหลือเพียงด้ามจับที่อยู่ข้างนอก
สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่กริซ เวลาเหมือนจะเดินตรง แม้แต่เสียงลมก็เงียบลงมาก เงียบไปครึ่งนาที ก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ
ไม่มีเลือดกระเซ็นอย่างที่มู่เวยเวยคิดไว้ จางเหิงหยิบกิ่งไม้และเดินไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ หยิบวัชพืชที่ข้างกริชด้วยกิ่งไม้ ทำให้เห็นดินสีขาว
ดินทางตอนใต้มีลักษณะเป็นดินแดงกรด และดินสีขาวแบบนี้ก็หายาก
จางเหิงก้มตัวลงหยิบกริซ จากนั้นใช้เท้าเหยียบมันสองสามที มันนุ่มจริงๆ ราวกับว่ากำลังเหยียบท้องปลา แต่นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรแปลกไป
“ไม่เป็นไร ก็แค่ดินตรงนี้ค่อนข้างอ่อน มีอะไรที่ไหนกัน ?” จางเหิงพูดขณะเดินขึ้นมา
หลังจากเดินไปสองสามรอบก็ไม่มีอะไร
มู่เวยเวยตัวแข็ง ห๊ะ ? แค่นี้เหรอ ?
คุณฉ่ายเดินไปดู และอธิบายว่า “ภูมิประเทศที่นี่ค่อนข้างเป็นที่เรียบและทางใต้มีฝนตกเยอะ ถ้าระบายน้ำออกไม่ตรงเวลาดินอ่อนก็จะก่อตัวขึ้น แต่ดินอ่อนแบบนี้พบได้ทั่วไปแทบชายฝั่ง ไม่คิดเลยว่าบนเขาก็มี”
มู่เวยเวยยิ้มอย่างเขินอาย “เป็นแบบนี้นี่เอง ฉันคิดว่าฉันเหยียบงูแล้ว”
จางเหิงมองเธออย่างไม่พอใจ จากนั้นก็กลับไปที่เดิมและหยิบขวดน้ำจากกระเป๋าขึ้นมาดื่ม มู่เวยเวยเดินไปที่ก้อนหินใหญ่อีกครั้งด้วยความแปลกใจ และวนรอบๆดินสีขาว นี่ค่อนข้าง…….
ความหมายของคำทั้งสองยังไม่ทันพูดออกมา มู่เวยเวยก็รู้สึกข้างล่างเท้าเธอนั้นว่างเปล่า จากนั้นตัวทั้งตัวก็ตกลงไป
“อ๊า——ช่วยด้วย——”เสียงกรีดร้องที่น่ากลัวดังก้องทั้งป่า
กาวินและคนอีกหลายคนวิ่งมา พื้นสีขาวและนุ่มในตอนนี้กลายเป็นหลุมขนาดใหญ่ที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่าหนึ่งเมตร ร่างของมู่เวยเวยหายไปได้ยินเพียงเสียงกรี๊ดร้องแผ่วเบาและไม่มีที่สิ้นสุดของเธอเท่านั้น
คนที่ปากถ้ำมองหน้ากัน เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร ?
กาวินตะโกนเข้าไป “มู่เวยเวย——”
เสียงหายเข้าไปในหลุมดำ และเสียงร้องของเธอเมื่อครู่ก็หายไปแล้ว
“มู่เวยเวย——” กาวินตะโกนอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ
แย่แล้ว เธอคงไม่ตกลงไป แล้วตกลงไปในท้องของสัตว์อะไรหรอกนะ หรือไม่ก็ตกลงไปตายแล้ว
คุณฉ่ายมองหลุมอย่างละเอียด และพึมพำกับตัวเองด้วยความสงสัยว่า “น่าแปลก เทือกเขาแบบนี้จะมีถ้ำลึกขนาดนี้ได้อย่างไร ?”
ใจของกาวินเต้นรัว สายตาของเขาเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น “ที่นี่ คงไม่ใช่สถานที่ซ่อนขุมทรัพย์หรอกใช่ไหม ? ปากถ้ำนี้คือทางเข้าสู่ขุมทรัพย์ ?”
ทุกคน รวมถึงคุณฉ่ายล้วนตกใจกับคำพูดของกาวิน
พวกเขาค้นหาเกือบหนึ่งเดือน ลัดเลาะไปตามแม่น้ำภูเขาและสันเขา เพื่อหาสมบัติชิ้นนี้ แต่ทุกครั้งก็พบกับความล้มเหลว หรือว่าครั้งนี้จะเจอแล้วจริงๆ ?
ท่าทางของคุณฉ่ายก็ดูตื่นเต้นเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่า เขาถูกกาวินพูดกระตุ้น “ฉันไม่แน่ใจว่าจะใช่ที่นี่รึเปล่า แต่ในเมื่อมาแล้ว เหมือนกับครั้งที่แล้วที่เข้าไปในถ้ำแห่งความตาย เข้าไปดูก็รู้แล้วไม่ใช่เหรอ ?”
กาวินพยักหน้าตอบ “คุณพูดถูก ลงไปดูข้างล่างก็รู้แล้ว” เพียงแต่เขาไม่ได้พูดประโยคถัดไป ทำไมมู่เวยเวยตกลงไปแล้วไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ?
เธอตกอยู่ในอันตรายรึเปล่า ?
“มู่เวยเวย——” กาวินตะโกนอีกครั้ง ครั้งนี้เสียงแผ่วเบาดังมาจากหลุมที่เงียบงัน “ฉันเอง ฉันยังมีชีวิตอยู่”
หลายคนที่ปากหลุมถอนหายใจด้วยความโล่งอก ยังมีชีวิตก็ดีแล้ว คิดว่าเธอจะตายไปแล้ว
“คุณดูว่าข้างล่างมีอะไร ? ”กาวินถาม
จากนั้นผ่านไปสองนาที มู่เวยเวยก็สงเสียงกลับมาพร้อมกับความประหลาดใจอย่างสุดซึ้งว่า “รีบลงมา มีทองและเครื่องประดับมากมาย”
ขณะนี้เกิดความโกลาหลขึ้นด้านนอก พร้อมกับสายตาประหลาดใจของทุกคน
“เจอสมบัติแล้ว เจอสมบัติแล้ว ”ไม่รู้ว่ามีใครกำลังกระซิบ แต่ฉันพูดคำในใจของทุกคนออกมา
กาวินตื่นเต้นมาก ดูเหมือนการเดินทางครั้งนี้จะไม่เสียเปล่า การสูญเสียสมบัติทั้งหมดของเกาะพระจันทร์เหล่านั้นก็เป็นเพียงเล็กน้อย
“หลุมนี้ลึกแค่ไหน ?” คุณฉ่ายเอ่ยปากถาม
“ฉันไม่รู้ แต่ว่าในนี้มีแอ่งน้ำ ตกลงมาก็ไม่ตายหรอก”มู่เวยเวยบอกตามจริง
กาวินสงบความตื่นเต้นลง และหันไปพูดกับอลิซและอีกหลายคนว่า “พวกคุณใครอยากจะลงไปก่อน”
“ผมไปผมไป” บอดี้การ์ดที่อยู่ข้างหน้าคนหนึ่งพูดขึ้น นี่เป็นช่วงเวลาที่ดีที่จะแสดงความจงรักภัคดี
กาวินพอใจมากตบไหล่ของเขาและพูดว่า “ดีมาก พกของที่ควรใช้ลงไปด้วย เผื่อคุณจะได้ใช้มัน”
“ครับ”
เมื่อเตรียมพร้อมทุกอย่าง กาวินก็ตะโกนลงไปในหลุม “มู่เวยเวย คุณถอยไปหน่อย มีคนลงไป”
“อ่อ โอเค”
มู่เวยเวยที่นั่งอยู่ในความมืดสายตาเต็มไปด้วยความเจ้เล่ห์ ก็มีเสียง “ซ่า——หวิว——”ตกลงไปในน้ำ เมื่อชายคนนั้นขึ้นมาจากแอ่งน้ำที่ลึกและเย็นราวกับน้ำแข็ง เมื่อปีนขึ้นมา มู่เวยเวยก็ใช้หินในมือทุบไปที่ศีรษะของเขา ชายคนนั้นยังไม่ทันได้หายใจ ก็หมดสติไปในความมืด
“จอย ?”
เสียงตะโกนดังมากจากปากหลุม มู่เวยเวยใช้แรงลากจอยที่ตัวหนักไปยังที่มืด และหยิบกระเป๋ากันน้ำของเขาเอาไฟฉายออกมาเปิด
ทุกที่ที่แสงส่องถึง เป็นผนังถ้ำที่ชื้นและหินงอกหินย้อยหลากสี งดงามมาก
ที่แท้นี่ในความมืดก็เป็นฉากที่สวยงาม
มู่เวยเวยไม่สนใจที่จะเชยชม และหยิบเป้ของเขาขึ้นมาสะพาย จากนั้นก็เดินเข้าไป
อันที่จริงที่นี่ไม่ได้มีทองหรือเครื่องประดับอะไร เพราะเธอจงใจหลอกล่อคนข้างบน เพื่อให้เธอได้ของที่ต้องการ เช่น ไฟฉาย เชือก เทียน และของอื่นๆ ที่ใช้ในการหลบหนี
ไม่ว่าจะเรียกร้อง “ไมตรีจิต” กับคนภายนอก มู่เวยเวยเดินโค้งไปข้างหน้า หวังว่าจะพบทางออก เธอมีสัญชาติญาณที่แข็งแกร่ง ที่นี่ต้องมีทางออก เพราะว่ามีสายน้ำเล็กๆอยู่ใต้เท้าเธอและมีลมอยู่ในอากาศ ดังนั้นเธอจึงไม่จำเป็นต้องจุดเทียน
บางทีอาจเป็นเพราะหินงอกหินย้อย ความประหม่าในใจของมู่เวยเวยก็ลดลงไปมาก เธอเดินไปข้างหน้าอย่างไม่หันหลังกลับ ตอนนี้เธอมีความคิดเดียว นั่นก็คือหนีออกจากฆาตกรกลุ่มนี้
ยิ่งเดินเข้าไป ปากถ้ำก็เล็กลงเรื่อยๆ และต่อมาก็มีเพียงคนเดียวที่สามารถเดินไปได้
รอบด้านเงียบสงบ ใจของมู่เวยเวยเต้นรัว เธอเดินไปไกลและศีรษะของเธอก็กระทบเข้ากับหินงอกหินย้อยอยู่หลายครั้ง
หนทางข้างหน้าอันตรายขึ้นเรื่อยๆ
บางแห่งแทบจะเรียกเป็นทางไม่ได้ เพราะมู่เวยเวยจะต้องนอนราบขยับขึ้นไป
ผิวหนังที่แขนของเธอถูจนเป็นแผล หัวไหล่ของเธอก็เหมือนจะฉีกขาด แต่เธอก็ไม่สนใจ
ไม่รู้ว่าเดินมานานเท่าไหร่ จู่ๆสายตาก็เบิกกว้างขึ้น มู่เวยเวยมาถึงถ้ำขนาดใหญ่ คริสตัลแต่ละอันเปรียบเสมือนงานศิลปะ แสดงให้เห็นถึงความมีเสน่ห์ของตัวเองในความมืด
เอ๋ ? นี่คืออะไร ?
ด้วยแสงที่อ่อน มู่เวยเวยเห้นร่างเพชรสีฟ้าส่องไสว อยากจะก้าวไปข้างหน้าเพื่อมองชัดๆ แต่เมื่อก้าวเท้าลงไปในน้ำก็รีบยกขึ้น น้ำมันร้อน
เธอตกใจและรีบยกเท้าออกมา เมื่อมองดูก็พบว่าเท้าของเธอแดงแล้ว
กลิ่นกำมะถันฟุ้งออกมาแตะจมูก ถึงแม้ว่าจะอ่อนมากก็ตาม
มู่เวยเวยมองไปรอบๆร่างสีฟ้าอย่างระมัดระวัง เธอตกใจและก็ตกใจมาก
เนื่องจากแซฟไพร์สีฟ้าชิ้นนั้นฝังอยู่บนโลงศพที่สวยงาม โลงศพแกะสลักด้วยลวดลาย มีงานเลี้ยงภายในวัง มีการขี่ม้าและเต้นรำ ยังมีการตกแต่งด้วยกระจก และอีกมามาย
โลงศพนี้วางอยู่กลางถ้ำ ล้อมรอบด้วยสายน้ำที่กว้างกว่าหนึ่งเมตร
หรือว่าที่นี่จะเป็นสุสานหลวง ?
เมื่อมู่เวยเวยคิดได้เช่นนั้นก็รีบพนมมือและพูดเบาๆว่า “ขอโทษค่ะขอโทษค่ะ ขออภัยที่มารบกวนคุณ ฉันไม่ได้ตั้งใจเข้ามาในอาณาเขตของคุณ เมื่อเจอทางออกแล้วฉันจะรีบไปทันที”
หลังจากกราบไหว้เสร็จ มู่เวยเวยก็หยิบไฟฉายขึ้นมาและเริ่มหาทางออก แต่หลังจากมองไปรอบๆถ้ำ แต่ก็ไม่พบทางออกใดๆ
เป็นไปไม่ได้ หรือว่าสุสานนี้จะเป็นจุดสิ้นสุดแล้ว ?
ไม่มีทาง มู่เวยเวยไม่เชื่อตัวเองจะโชคไม่ดี และหาทางอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่พบอะไร
นั่งขัดสมาธิพักผ่อนตรงข้ามโลงศพ ความอยากรู้ของมู่เวยเวยเพิ่มขึ้น “คุณคือบรรพบุรุษท่านไหน ? ถึงถูกฝังเอาไว้ที่นี่ จะต้องมีปัญหามากแน่นอน ชาติก่อนต้องการมีอำนาจถึงจะมีเงิน หรือว่ามีเงินก็มีอำนาจเช่นกัน ?”
ฉันเหยียดมือลงบนพื้นเพื่อผ่อนคลาย จู่ๆก็มีหยดน้ำแข็งผ่านหลังมือลงไป
ทันใดนั้นในหัวของเธอก็คิดอะไรได้ ทำไมเธอถึงโง่อย่างนี้ มีน้ำไหลแสดงว่าต้องมีทางออก จากนั้นร่างกายเธอก็มีพลังเต็มเปี่ยม ลุกขึ้นใช้ไฟฉายส่องไปทางน้ำและเดินไป
ในที่สุด มู่เวยเวยก็เดินตามสายน้ำเล็กๆไปที่กำแพงหิน กระแสน้ำเล็กๆไหลซึมผ่านซอกหิน แต่เธอก็ไม่มีทางไปแล้ว
เศร้าใจ
นั่งลง ตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงตอนนี้ผ่านมาแล้วห้าถึงหกชั่วโมงแล้ว เธอยังไม่ได้กินอะไร หิวจนไส้กิ่วแล้ว
ไม่หาทางออกแล้ว กินอิ่มแล้วค่อยมีแรงทำต่อ เธอหยิบบิสกิตแท่งหนึ่งอันและเนื้ออัดแห้งออกมาจากกระเป๋า
รสชาติจืดชืดเหมือนกินเทียนไข
หลังจากกินเนื้อวัวคำสุดท้าย จู่ๆก็มีเสียงดังในอากาศ มู่เวยเวยกลั้นหายใจ และหลังจากฟังเสียง สีหน้าก็ซีดลง
ให้ตายเถอะ กาวินเจ้าคนเอื่อยเฉื่อยนั้นตามมาแล้ว
เธอรู้มานานแล้ว คนกลุ่มนี้จะไม่ยอมแพ้แน่
จะถูกจับแบบนี้ไม่ได้ เธอต้องหาที่ซ่อนตัว แต่จะซ่อนที่ไหนดีล่ะ ? มู่เวยเวยคิดถึงถ้ำเล็กๆที่เจอเมื่อครู่ และรีบวิ่งไปและดันตัวเองเข้าไปหลบ
ถ้ำนี้มีขนาดเล็ก มู่เวยเวยหดตัวเป็นลูกบอล โชคดีที่มุมนี้หลอกตามากและรอบๆก็มืด ถ้าไม่มองดีๆจะไม่เห็นเธอ แต่เธอสามารถเห็นข้างนอกได้อย่างชัดเจน
จากนั้นไม่กี่นาที เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นเรื่อยๆ มู่เวยเวยนับตาม นอกจากผู้ชายที่เธอทำให้สลบคนนั้น คิดว่าทุกคนน่าจะมากันหมด
ใกล้แล้ว ใกล้เข้ามาเรื่อยๆแล้ว
“ว้าว——”
ลำแสงสองสามดวงสว่างขึ้นในความมืด จากนั้นก็เป็นเสียงถอนหายใจของคุณฉ่าย มู่เวยเวยมองเห็นใบหน้าที่ดุดันของพวกเขา บนตัวของทุกคนล้วนมีบาดแผลมากน้อยต่างกัน
“ดู นี่คือโลงศพ”อลิซตะโกน เสียงของเธอดังแหลมคมไปทั่วทั้งถ้ำ
“ไปดูซิ ”กาวินพูดอย่างเศร้าๆ
ไม่รู้ว่าเท้าของใครไปสัมผัสกับน้ำ และร้องเสียงดังออกมา “อย่าโดนน้ำ น้ำมีอะไรผิดปกติ”
คุณฉ่ายชะโงกหน้าไปดู “ในน้ำมีปูนขาวและกำมะถันจำนวนมาก เพื่อกัดกร่อนสัตว์หรืออะไรก็ตามที่บุกรุกมา ดูเหมือนว่าเจ้าของโลงศพนี้จะไม่ธรรมดา”
“ให้ตายเถอะ นั่งแพศยานั่นโกหกว่ามีสมบัติ ที่แท้ก็เป็นโลงศพ” จางเหิงด่ากราดอย่างโหดเหี้ยม
คุณฉ่ายพูดขึ้นด้วยความไม่พอใจว่า “อาจจะมีสมบัติล้ำค่าอยู่ในโลงศพนี้ นั่นเป็นสิ่งที่เงินก็ซื้อไม่ได้ คุณลองมองไพลินและทับทิมต่างๆบนโลงศพ แต่ละชิ้นมีมูลค่าหลายสิบล้าน”
“จริงเหรอ? นี่ยังนับว่าได้ผล”ความโกรธของจางเหิงลดลงไปมาก
มู่เวยเวยที่อยู่ในความมืดเสียใจกับเจ้าของโลงศพ คุณเจอเข้ากับกลุ่มโจรที่แข็งแกร่งแล้วจริงๆ
“ทางน้ำนี้ไม่ได้กว้างมาก น่าจะข้ามไปได้” กาวินหันไปพูดกับบอดี้การ์ดอีกคนที่เหลืออยู่ว่า “คุณข้ามไปยกฝาโลงศพดูว่าข้างในมีอะไร”
บอดี้การ์ดลังเลเล็กน้อย แต่ถูกกาวินมองด้วยสายตาบึ้งตึง จากนั้นเขาก็ก้าวข้ามน้ำกำมะถันไป และเดินก้าวไปอีกก้าว
“ฟุบ——”ร่างของชายคนนั้นแกว่งไปแกว่งมาในแสงไฟสองสามดวง ก่อนที่เขาจะตกลงไปในคลองขนาดใหญ่
“อ๊าค——”เสียงกรีดร้องที่รุนแรงและเจ็บปวดดังก้องในถ้ำ มู่เวยเวยเห็นชายคนนั้นถูกของเหลวที่เป็นประกายกลืนกินเข้าไป เพียงระยะเวลาไม่ถึงนาที เขาก็จมหายไปอย่างเงียบๆ พื้นดินกลับเข้าสู่สภาพเดิม ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
สมองของมู่เวยเวยว่างเปล่า เขาถูกอะไรกลืนไป ? ของเหลวประกายสิ่งนั้นคืออะไร ?
กำลังคิดถึงเรื่องนี้ เสียงของคุณฉ่ายก็ดังขึ้นมา “มันคือปรอท”
“ร้ายแรงมากไหม ?”
คุณฉ่ายพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “มันมีพิษที่ร้ายแรงมาก เพื่อป้องกันไม่ให้คนรุ่นหลังมาปล้นสุสานราชวงค์ ในสมัยโบราณมักจะสร้างบ่อปรอทไว้ในสุสาน คุณรู้หรือไม่ว่าทำไมสุสานของจิ๋นซีฮ่องเต้ไม่ถูกขุดออกมาจนถึงปัจจุบัน ? นั่นก็เพราะว่าผู้เชี่ยวชาญพบปรอทจำนวนมากในดิน จึงไม่มีใครกล้าแตะต้องมัน ใครแตะจะต้องตาย ไม่คิดเลยว่าเจ้าของสุสานนี้จะใช้ปรอทด้วย ดูเหมือนว่าสถานะของเขาจะต้องสูงมากแน่ๆ”
กาวินและคนอื่นๆเงียบกันหมด ถ้างั้นทำยังไงดี ? สมบัติล้ำค่ามากมายอยู่ตรงหน้าแล้ว หรือว่าจะปล่อยมันไปแบบนี้ ?
คุณฉ่ายเห็นสีหน้าที่ไม่พอใจของพวกเขา จึงพูดแนะนำว่า “ไปเถอะ ไม่จำเป็นจะต้องเอาชีวิตตัวเองมาแลกกับเงิน”
จางเหิงไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด “ถ้างั้นพวกเราก็กลับไปมือเปล่า ?”
“นั่นเป็นปรอท พวกคุณไม่มีทางเข้าใกล้โลงศพได้ แล้วจะหยิบอัญมณีข้างบนได้อย่างไร ?”
จางเหิงสำลัก
อลิซหยิบไฟฉายและมองไปรอบๆ ในที่สุดก็พูดในสิ่งที่มู่เวยเวยกังวลออกมา “เอ๊ะ ? มู่เวยเวยไปไหนแล้ว ?”
“ใช่แล้ว นังแพศยานั่นล่ะ ?”จางเหิงถามด้วย “ดูเหมือนว่าที่นี่ไม่มีทางออก เธอไปไหนแล้ว ?”
คุณฉ่ายจ้องไปที่บ่อปรอทอย่างสงบนิ่งแน่วแน่ละพูดขึ้นว่า “เธอคงจะไม่เหมือนคนเมื่อครู่นี้นะ ตกลงไปในบ่อปรอทหรอกนะ”
ทันใดนั้นเสียงในอากาศก็เงียบลง ทั้งสามคนมองไปที่คุณฉ่าย จากนั้นก็หันไปมองบ่อปรอทอย่างพร้อมเพรียงกัน เพราะมันทำให้พวกเขานึกถึงเย่ฉ่าวเฉินที่ไม่รู้ว่าเป็นคนหรือปีศาจ
มู่เวยเวยที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดกำลังดีใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอคิดว่าคำสาปเป็นสิ่งที่สวยงาม
ได้โปรดเถอะพระเจ้า ต้องทำให้พวกเขาเชื่อว่า เธอตายไปแล้ว
“ฉันคิดว่ามันแทบเป็นไปไม่ได้ ”เสียงของกาวินทำลายจินตนาการของมู่เวยเวย
“เพราะอะไร ?” อลิซถาม
มู่เวยเวยที่แอบอยู่ในถ้ำเล็กก็ถามด้วยคำถามเดียวกัน ทำไมคุณถึงคิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่ฉันจะตกลงไปในบ่อปรอท ?
กาวินพูดด้วยน้ำเสียงเรียบว่า “ข้อแรก แม่น้ำนี้มีความกว้างประมาณสามถึงสี่เมตร ฉันไม่คิดว่าเธอจะข้ามไปได้ด้วยความกว้างขนาดนี้”
มู่เวยเวยกลอกตา เขาหมายความว่าตัวเธอเองขาสั้น ? ได้โปรด จริงๆแล้วเธอเป็นคนที่ขายาว
“ข้อสอง มู่เวยเวยน่าจะไม่สนใจอัญมณีบนโลงศพที่อยู่กลางบ่อปรอท”
“ถ้าเกิดว่าเธอเห็นค่าอัญมณีที่อยู่บนนั้น แล้วอยากได้มาเป็นของตัวเองล่ะ ? ”นี่คือเสียงของจางเหิง ที่แฝงไปด้วยความดูถูก
กาวินถามเขากลับ “ถ้าหากว่าแกเป็นมู่เวยเวย แกอยากหนีออกไปจากที่นี่ ยังจะสนใจอัญมณีพวกนั้นเหรอ? ”
จางเหิงตกตะลึง ถึงแม้ว่าเขาจะเกลียดผู้หญิงคนนี้มาก แต่เมื่อสัมผัสถึงความผิดชอบชั่วดี เธอคงจะหนีเอาชีวิตรอดก่อน
“นอกจากนี้ เท่าที่ฉันรู้ บ้านของเย่ฉ่าวเฉินมีอัญมณีไพลินราคาหลายสิบล้าน สีแบบนี้ สำหรับเธอแล้วคงไม่ดึงดูดหรอก”
มู่เวยเวยยอมรับว่ากาวินวิเคราะห์เธอถูก แต่ในขณนี้เธออยากให้ผู้ชายคนนี้สับสนเหมือนกับจางเหิง
“ถ้าอย่างนั้นเธอหนีไปอยู่ที่ไหนแล้วล่ะ ?” อลิซพูดพร้อมกับค้นหา ใจของมู่เวยเวยก็เริ่มเต้นเร็วขึ้น
จางเหิงยังคงไม่ค่อยเต็มใจ “เจ้านาย โลงศพนั่น……”
“แกมีวิธีแล้ว ?”กาวินขมวดคิ้วถาม
จางเหิงก้มหน้าไม่พูดอะไร แม้แต่คนที่มีวัฒนธรรมอย่างคุณฉ่ายยังไม่มีวิธี เขายังจะมีวิธีอะไร ?
กาวินพูดอย่างเย็นชา “โลงศพที่อยู่ที่นี่จะไม่มีใครหาเจอ ออกไปแล้วพวกเราค่อยหาทางกลับมาเปิดมัน สิ่งสำคัญตอนนี้คือต้องหามู่เวยเวย”
“ครับ เจ้านาย”
มู่เวยเวยกัดริมฝีปากไม่กล้าปล่อยให้ตัวเองส่งเสียงออกมา หูก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของอลิซใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จากนั้นมู่เวยเวยก็กลับตาลง เธอกลัวว่าอลิซจะรู้สึกถึงดวงตาเธอ สัญชาติญาณของผู้หญิงนั้นน่ากลัวมาก
กลิ่นน้ำหอมจางๆของอลิซเตะปลายจมูกของเธอ วนเวียนอยู่สักพักก็ค่อยๆจางหายไป
“น่าแปลก” ถ้านี้มีขนาดใหญ่มาก เธอจะไปซ่อนที่ไหนได้ ? อลิซพูดกระซิบและหยิบไฟฉายส่องหาดูอย่างละเอียด
จางเหิงเห็นว่าเธอไม่พบอะไร ก็เข้าร่วมทีมติดตาม แต่ก็ยังไม่พบมู่เวยเวยที่อยู่ในความมืด
“เจ้านาย มู่เวยเวยคงไม่ได้ตายไปจริงๆหรอกนะ” อลิซถามด้วยความไม่แน่ใจ
กาวินก็รู้สึกสงสัย ที่นี่ไม่มีทางออกหรือที่หลบซ่อน แต่คนได้หายไปแล้ว หรือว่าเธอจะตกลงไปในบ่อปรอทจริงๆ ?
อากาศในถ้ำเบาบางมาก ประกอบกับกลิ่นกำมะถันและสารปรอทที่ระเหยออกมา คุณฉ่ายรู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย ขมวดคิ้วและพูดว่า “ออกไปก่อนเถอะ อากาศที่นี่ไม่ค่อยดี ฉันรู้สึกแน่นหน้าอก”
กาวินก็เริ่มรู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย จึงพูดว่า “ก็ดี พวกเราออกไปหาทางกันก่อนค่อยเข้ามา”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ มู่เวยเวยที่แอบอยู่ในถ้ำก็ถอนหายใจอออกมายาวๆ หลังจากเสียงฝีเท้าของทุกคนหายไป เธอกำลังจะออกมาจากถ้ำ ไม่ทันระวังไฟฉายก็ตกลงมาจากกระเป๋า
มู่เวยเวยรีบคว้ามัน แต่ก็คว้าไว้ไม่ทัน ฉันเห็นไฟฉายกระทบกับผิวหินดัง “ตั้ง”เสียงดังฟังชัดมากในถ้าที่เงียบสงบ
มู่เวยเวยหลับตาลงด้วยความหดหู่ เธอยังคงหวังว่าจะคว้าน้ำไฟได้ และคิดจะกลับเข้าไปในถ้ำ ทันใดนั้นแสงก็ส่องเข้ามา
ทันใดนั้น เสียงของจางเหิงดังขึ้นมา “หึ !นี่ใครกันนะ ? ฉันคิดว่าแกตายไปแล้ว ที่แท้ก็ซ่อนตัวอยู่ที่นี่ ”
มู่เวยเวยยืดเอวให้ตรงและแขนขาของเธอที่กำลังจะชา “ถ้าหากจะต้องตายคนชั่วช้าอย่างพวกเจ้าตายก่อน ยังไม่ถึงตาฉัน”
เมื่อได้ยินเสียง อลิซก็หันกลับไป เมื่อเห็นมู่เวยเวยผมยุ่งอยู่บนคาน เธอก็ยิ้มเย้ยหยัน “มู่เวยเวย แกบอกว่าแกซ่อนตัวได้ดี พวกเรากำลังจะไปแล้วแกยังยื่นเท้าออกมา แกโง่เกินไปรึเปล่า”
มู่เวยเวยใช้แขนโอบรอบตัว เธอเอาแป้สะพายหลังด้วยสีหน้าเรียบเฉย และจ้องมองเขาอย่างเย็นชา โดยไม่ขยับไปไหน เธอไม่อยากออกไปกับพวกเขาจริงๆ
“ไปสิ อะไรอีก หรือว่าฉันต้องเชิญแก ?” แสงในมือของจางเหิงส่องมาที่หน้าเธอ ทำให้มู่เวยเวยไม่สามารถลืมตาได้
มู่เวยเวยยกมือบังแสง และพูดอย่างโกรธเคืองว่า “จางเหิง สมองคุณมีปัญหาเหรอ วางไฟฉายลง”
ไฟในใจของจางเหิงถูกจุดขึ้นทันทีด้วยคำพูดของเธอ เขาก้าวข้ามาและจับแขนของเธอ “พูดดีด้วยไม่ยอมก็คงต้องใช้กำลัง เดินไป”