“ปากหวานจริงๆ” มู่เวยเวยถอนหายใจแล้วเอ่ยปากชม
“งั้นอยากลองชิมดูไหมล่ะ?” เย่ฉ่าวเฉินก้มลงกระซิบที่ข้างหูเธอ
มู่เวยเวยที่ถูกเขาก่อกวนหน้าแดง ทั้งเขินอายทั้งโกรธ “หรูอี้พูดไม่ผิดจริงๆ คุณนี่แก่แล้วไม่เจียม”
“เฮ้ย ก็อยู่ในบ้านตัวเองหนิ…” เมื่อพูดถึงตรงนี้ สายตาของเย่ฉ่าวเฉินก็มองเห็นจางเห่อพาคนคนหนึ่งเดินผ่านเข้ามา รอยยิ้มบนใบหน้าเขาลดลงทันที กระซิบข้างหูภรรยาเบาๆ “นี่ไง มาแล้ว”
มู่เวยเวยหันไปมอง หญิงสาวในเสื้อโค้ทสีชมพูเดินตามหลังจางเห่อเข้ามา หน้าตาสละสวย รูปร่างบอบบาง หุ่นกำลังดี
นั้นคือจ้าวเสวียน
แตกต่างจากท่าทีของสามี มู่เวยเวยไม่มีเจตนาไม่ดีต่อจ้าวเสวียน เธอคิดว่าทั้งหมดเป็นความผิดของลูกชายเธอ ผู้หญิงคนนี้เป็นผู้รับเคราะห์เหมือนกัน และเธอเคยมีประสบการณ์คล้ายๆ กันมาก่อน จึงมีอัธยาศัยดีเป็นมิตร
จ้าวเสวียนเดินเข้ามา มู่เวยเวยรู้สึกว่าดวงตาของเธอเป็นมีแดงราวกับเพิ่งร้องไห้มา
“คุณท่าน คุณหญิง นี่คือจ้าวเสวียนครับ”
จ้าวเสวียนเงยหน้ามองเย่ฉ่าวเฉินอย่างหวาดกลัว แล้วกล่าวทักทายด้วยความนอบน้อม “คุณชายเย่ คุณหญิงเย่สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีจ้ะ” มู่เวยเวยยิ้มแล้วพูดขึ้น “เธอมาหาเรามีเรื่องอะไรเหรอ?”
น้ำตาของจ้าวเสวียนร่วงลงมา พูดอย่างนอบน้อม “ฉันไม่ได้อยากมารบกวนท่านทั้งสอง แต่มีเพียงท่านทั้งสองเท่านั้นที่รับผิดชอบฉันได้”
มู่เวยเวยเห็นว่าเธออายุรุ่นราวคราวเดียวกับลูกสาวเธอจึงเกิดความสงสาร พูดปลอบโยน “เธอมีเรื่องอะไรก็ค่อยๆ พูด อย่าเพิ่งร้องไห้”
น้ำตาของจ้าวเสวียนไหลริน พูดไปพลางร้องไห้ไปด้วย “เรื่องก่อนหน้านี้เมื่อเดือนกว่าๆ ท่านทั้งสองจำเป็นต้องรับรู้ แม้ว่าฉันจะชอบประธานเย่มาก แต่ฉันก็รู้ว่าท่านประธานเย่ไม่ได้ชอบฉัน ดังนั้นเรื่องนี้ฉันจะถือซะว่าเป็นเพียงความฝัน ไม่ได้คิดอะไร แต่… แต่วันนี้ ฉันเพิ่งรู้ว่าตัวเองตั้งท้อง ประธานเย่กลับบอกให้ฉันไปเอาเด็กออก…ฮือ…”
เย่ฉ่าวเฉินและมู่เวยเวยมองหน้ากันด้วยความตกใจ แล้วถามขึ้น “เธอบอกว่าเธอท้องเหรอ?”
จ้าวเสวียพยักหน้า “ค่ะ ฉันเพิ่งไปตรวจมาวันนี้ ประธานเย่ไม่เชื่อ จึงพาไปตรวจอีกรอบ อายุครรภ์ได้สามสิบห้าวันแล้ว”
เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ เย่ฉ่าวเฉินและมู่เวยเวยไม่รู้ว่าจะดีใจหรือเสียใจดี ถ้าพูดกันตามเหตุผล คงมีความสุขที่ได้มีหลาน แต่เรื่องที่เป็นทุกข์คือหญิงสาวคนนี้ไม่ใช่คนที่ลูกชายชอบ
มู่เวยเวยมองดูเธอที่ยืนอยู่ มองทะลุเข้าไปเห็นถึงความเศร้าและความหดหู่ เดินไปข้างหน้าจับมือเธอ แล้วดึงลงมานั่งตรงม้านั่ง “กำลังท้องกำลังไส้อย่ายืนนาน นั่งลงแล้วค่อยๆ พูด”
“ขอบคุณค่ะคุณหญิง” จ้าวเสวียนกล่าวขอบคุณ
“อย่างร้องไห้ เช็ดน้ำตาก่อน” มู่เวยเวยยื่นกระดาษทิชชูให้เธอ “จ้าว…เธอชื่อจ้าวเสวียนสินะ”
หญิงสาวพยักหน้า
มู่เวยเวยเงยหน้าขึ้นมองสามี แล้วพูดปลอบเธอต่อ “งั้น… ก็แบบนี้แหละ ตระกูลเย่ของเรามีความคิดสมัยใหม่แล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องของคนหนุ่นสาว จริงๆ พวกเธอควรจัดการกันเอง แต่ตอนนี้เธอกำลังท้อง มันคนละเรื่องกัน เธอต้องพูดมาก่อนว่าเธอคิดยังไง?”
จ้าวเสวียนสะอื้นแล้วเอ่ยว่า “ฉันอยากเก็บเด็กคนนี้ไว้ เขาเป็นลูกคนแรกของฉัน”
มู่เวยเวยก็เป็นแม่คนเช่นกัน แน่นอนว่าเธอรู้ความรู้สึกของคนเป็นแม่อย่างดี เธอจับมือของจ้าวเสวียนแล้วพูดว่า “เด็กน้อย เธอไม่ต้องเสียใจนะ เรื่องนี้ขนาดเราเป็นผู้ใหญ่ยังเข้มแข็งได้ยาก เธออาศัยอยู่ที่บ้านตระกูลเย่ก่อน รอให้จิงเหยียนกลับมา เราค่อยว่ากันอีกที”
“คุณผู้หญิง ฉันจะไม่ทำร้ายลูกของฉันเด็ดขาด” จ้าวเสวียนจับมือเธอแล้วพูดอย่างหนักแน่น
มู่เวยเวยรับผิดชอบได้ “วางใจเถอะ ตระกูลเย่ของเราไม่รังแกเธอหรอก ฉันจะให้คำตอบที่เธอพอใจแน่ๆ”
สีหน้าของจ้าวเสวียนหดหู่ แต่ในใจกลับรู้สึกสบายใจ ได้ยินมาว่าคนที่มีอำนาจที่สุดในบ้านไม่ใช่เย่ฉ่าวเฉินผู้ที่เคยมีชื่อเสียงโด่งดัง แต่เป็นหญิงสาวผู้สง่างามท่านนี้ที่อยู่ตรงหน้าเธอ ดังนั้น เพียงแค่จับเธอไว้แน่นๆ ก็เข้าใกล้ความสำเร็จขึ้นไปอีกขั้น
ตอนนี้ดูเหมือนว่า ข่าวลือนั้นจะเป็นความจริง
เย่ฉ่าวเฉินมองไปยังหญิงสาวที่กำลังร้องไห้ เขารู้สึกว่าเรื่องนี้มันบังเอิญเกินไปแต่พูดอะไรมากไม่ได้ ที่น่าเสียดายคือเขาไม่มีหลักฐาน
บ่ายวันนี้ จ้าวเสวียนพักอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลเย่ตลอดทั้งวัน สาวใช้นำผลไม้สดมาให้เธอ ถูกประดับตกแต่งอย่างสวยงาม ปฎิบัติต่อเธอราวกับเจ้าหญิง และยังมีโซฟานุ่มๆ ตัวนี้อีก ในที่สุดเธอก็เข้าใจว่าทำไมผู้หญิงส่วนใหญ่จึงอยากแต่งงานกับคนที่มีฐานะร่ำรวย เมื่อเคยเจอสถานที่แห่งนี้แล้ว ใครยังจะมองห้องรับแขกเล็กๆ แคบๆ?
เธอต้องใช้สิ่งนี้เพื่อให้ได้อยู่ที่นี่ จ้าวเสวียนตัดสินใจ
มู่เวยเวยกลัวว่าเธอจะเบื่อ จึงยกน้ำร้อนมาแก้วหนึ่งแล้วมานั่งคุยเป็นเพื่อนเธอ “จ้าวเสวียน บ้านเธออยู่ที่นี่ไหน?”
จ้าวเสวียนจงใจขยับเข้ามาใกล้มู่เวยเวย พูดอย่างนอบน้อม “บ้านของฉันอยู่ที่เมืองA และตอนเด็กๆ ฉันยังเคยเจอประธานเย่อีกด้วยค่ะ”
“จริงเหรอ?” มู่เวยเวยไม่นึกแปลกใจ เพราะรูปร่างหน้าตาของลูกชายเธอ ใครเห็นก็ประทับใจ
“ตอนที่ฉันอยู่ประถม หลังเลิกเรียนวันหนึ่งฉันถูกรุ่นพี่รังแก บังเอิญว่าประธานเย่ผ่านมาพอดีจึงไล่ตีเด็กพวกนั้นไป ฉันจำประธานเย่ได้ตั้งแต่ตอนนั้นมา” จ้าวเสวียนไม่คิดปกปิดเรื่องราวของตนเอง เพราะอย่างไรตระกูลเย่ต้องสืบเบื้องลึกเบื้องหลังของครอบครัวเธออย่างชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นเธอจึงพูดไปตามตรง “หลังจากเรียนมหาวิทยาลัย เพราะพ่อติดหนี้พนันพวกคนพวกนั้นจึงมาตามหาฉัน คืนวันนั้นประจวบเหมาะว่าประธานเย่และน้องสาวไปช่วยฉันไว้ได้ จากนั้นฉันก็ตัดสินใจแล้วว่า ต้องตั้งใจเรียน อนาคตจะได้มาทำงานในบริษัทของประธานเย่ คิดไม่ถึงว่าตนเองจะทำได้”
มู่เวยเวยไม่รู้ว่าทั้งสองคนมีโชคชะตาร่วมกันเช่นนี้ และเมื่อได้ฟังเธอบรรยาย ผู้หญิงคนนี้ช่างมีความมุมานะ เพราะเธอรู้ว่าการเข้าสู่เย่ฮวางนั้นยากเพียงใด
“แล้วพ่แม่ของเธอล่ะ?”
“พ่อแม่ของฉันหย่ากันตั้งแต่ปีแรก ฉันอาศัยอยู่กับแม่ เมื่อสองวันก่อนคุณยายของฉันป่วย แม่จึงไปดูแลคุณยายที่ชนบท”
มู่เวยเวยถอนหายใจแล้วพูดว่า “เป็นเด็กคนหนึ่งที่ชีวิตรันทดเหมือนกัน”
จ้าวเสวียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “คุณผู้หญิง ฉันไม่รู้สึกว่าชีวิตของตนเองรันทดเลยค่ะ สุดท้ายตอนนี้ฉันก็ยังมีการงานที่ดี การให้เลี้ยงดูตัวเองไม่ใช่ปัญหา แต่ถ้าให้เลี้ยงดูลูก…” เมื่อพูดถึงประโยคสุดท้าย รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอกลายเป็นความกังวล
มู่เวยเวยตบมือเธอเบาๆ “ไม่ต้องกังวล นี่คือลูกหลานของตระกูลเย่ ถ้าเขาเกิดมาคิดว่าตระกูลเราจะเพิกเฉยงั้นหรือ?”
จ้าวเสวียนยิ้ม “ขอบคุณคุณผู้หญิงนะคะ ฉันไม่ได้กังวลว่าจะจ่ายไม่ไหว แต่ฉันกลัวว่าจะดูแลเขาได้ไม่ดี ฉันยังไม่เคยเป็นแม่คน”
“เด็กโง่ คุณแม่ทุกคนใต้ฟ้านี้เริ่มจากการเป็นแม่ครั้งแรกทั้งนั้น รวมทั้งเราด้วย”
จ้าวเสวียนพยักหน้า มู่เวยเวยยิ้มอย่างซาบซึ้งใจ
ตอนที่กำลังจะถึงเวลารับประทานอาหารเย็น เย่จิงเหยียนกลับมาอย่างอ่อนล้า เขาเอ่ยขึ้นโดยที่ไม่ได้มองไปยังห้องนั่งเล่น “ผมไม่กินข้าวนะ” แล้วเดินตรงขึ้นไปชั้นบน แต่เดินไปได้เพียงสองก้าวมู่เวยเวยก็ตะโกนไล่หลัง “ผิงอัน มานี่ก่อน”
“แม่ วันนี้ผมเหนื่อยมาก ผมคิดว่า…” เย่จิงเหยียนหันกลับไป มองเห็นคนคนหนึ่งนั่งยืนอยู่ในห้องนั่งเล่น แววตาของเขาเย็นชาขึ้น “เธอมาทำอะไรที่นี่?”
จ้าวเสวียนซ่อนตัวอยู่หลังมู่เวยเวยราวกับกระต่ายน้อยกำลังหวาดกลัว
มู่เวยเวยพูดอย่างไม่พอใจ “ทำไมอารมณ์เสียขนาดนี้? กินดินระเบิดมารึไง? มานี่”
เย่จิงเหยียนรู้ว่าที่จ้าวเสวียนมาปรากฎตัวที่นี่เธอมีจุดประสงค์อะไร ไม่แปลกใจที่บ่ายวันนี้ไม่ได้ไปทำงานที่บริษัท โทรศัพท์ก็ปิดเครื่อง กลายเป็นว่าวิ่งมาในบ้านเพื่อหากำลังเสริมนี่เอง
เย่จิงเหยียนทำอะไรไม่ถูก จึงเดินไปข้างหน้า แล้วนั่งลงบนโซฟา พูดขึ้นอย่างอดกลั้น “แม่ เรื่องนี้ให้ผมแก้ไข้เองได้ไหม?”
มู่เวยเวยพูดขึ้นอย่างเย็นชา “แกจะแก้ยังไง? ให้จ้าวเสวียนไปเอาลูกออกน่ะเหรอ?”
เย่จิงเหยียนมองไปที่จ้าวเสวียน แต่ไม่ได้พูดอะไร
“ตอนเด็กๆ แม่เคยสอนว่า เป็นผู้ชายต้องมีความรับผิดชอบ คืนนั้นแกเสียใจเพราะผู้หญิงคนอื่น ตอนนี้ยังให้ผู้หญิงอีกคนไปทำแท้ง? แกรู้ว่าไหมการทำแท้งสามารถทำร้ายผู้หญิงได้มากแค่ไหน?” น้ำเสียงของมู่เวยเวยเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง เมื่อรับรู้ได้ว่าลูกชายอ่อนเพลียทั้งร่างกายและจิตใจ และยังมีรอยคล้ำใต้เปลือกตา ท่าทีจึงอ่อนโยนลง พร้อมนั่งลงข้างๆ เขา “ผิงอันแม่รู้ความรู้สึกของลูก แต่ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว เรามาหาวิธีให้ได้ผลดีด้วยกันทั้งสองฝ่ายกันดีไหม?”
เย่จิงเหยียนประสานมือเข้าด้วยกัน ไม่พูดอะไรอยู่เป็นเวลานาน
เขาไม่ต้องการเด็กคนนี้ จะบอกว่าเขาเลวก็ได้ จะบอกว่าเขาไร้ความรับผิดชอบก็ได้ เขาไม่ต้องการเด็กคนนี้ หากมีเด็กคนนี้ เขาก็ต้องพัวพันกับผู้หญิงคนอื่นตลอดไป เขากลัวว่าครั้งหน้าหากเขาได้พบกับต้วนอีเหยา แม้คำว่ารักเขายังไม่มีสิทธิ์บอกเธอด้วยซ้ำ
บรรยากาศตกอยู่ในสภาวะหยุดชะงัก ต่างคนต่างไม่ประนีประนอม เย่ฉ่าวเฉินนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ข้างๆ ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะไม่เกี่ยวกับเขา เขาเป็นเพียงคนหนึ่งที่เฝ้าดูอย่างตื่นเต้น
เขาไม่ต้องการทำให้ภรรยาต้องขุ่นเคือง และก็ไม่อยากทำให้ลูกชายต้องอับอาย ฉะนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือการหุบปาก
“หนูกลับมาแล้วค่ะ” ้เสียงของหรูอี้ดังมาจากประตู “ฮึ? วันนี้คึกคักจัง”
หรูอี้กระโดดโลดเต้นเข้ามา มองเห็นจ้าวเสวียนนั่งอยู่ที่มุมโซฟา แต่เมื่อเห็นสีหน้าของพี่ชายก็รู้ทันทีว่าผู้หญิงคนนี้คือใคร
เฮ้อ ไม่เห็นความเคลื่อนไหวมาเดือนกว่าๆ แล้ว ทำไมโผล่มาตอนนี้ล่ะ?
“แม่คะ นี่ใครเหรอคะ?” เย่ชูวเสวียนั่งลงถัดจากพี่ชาย แล้วถามแม่ด้วยรอยยิ้ม
“เธอคือจ้าวเสวียน”
“จ้าวเสวียน?” เย่ชูวเสวียแกล้งเป็นเลอะเลือน คิดอยู่ในใจแล้วส่ายหัวไปมา “อ่อ ฉันจำได้แล้ว คนที่พาพี่ชายไปโรงแรมวันที่พี่ชายเมา”
คำพูดของเย่ชูวเสวียมีนัยบางอย่าง คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต้องรู้สึกอับอายบ้างแหละ แม้แต่จ้าวเสวียก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงหัวใจตนเองที่เต้นรัวได้
“คุณหนูเย่สวัสดีค่ะ” จ้าวเสวียนยืนขึ้นแล้วกล่าวทักทาย
“นั่งลงๆ” เย่ชูวเสวียมองดูเธอด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นระหว่างพี่ชายกับเธอ แต่ฉันมีคำถามที่ติดในใจมานาน วันนี้ฉันเพิ่งเจอเธอเลยอยากถามเธอสักหน่อย”
“คุณหนูเย่ถามมาได้เลยค่ะ” จ้าวเสวียนเริ่มตึงเครียด
เย่ชูวเสวียนั่งไขว่ห้าง ถามขึ้นเบาๆ “ตอนที่พี่ชายเมา ทำไมเธอไม่พาเขามาส่งที่คฤหาสน์ตระกูลเย่ แต่กลับพาเขาไปโรงแรม? คุณไม่รู้เหรอว่าชายหญิงอยู่ด้วยกันสองต่อสองมันอันตรายมากแค่ไหน?”
ใบหน้าของจ้าวเสวียนค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง “ตอนนั้นฉัน…ฉันไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ และอีกอย่างฉันก็ไม่รู้ว่าบ้านของพวกคุณอยู่ที่ไหน?”
“จริงเหรอ? ฉันได้ยินมาว่าเธอเป็นเลขาของพี่ชาย เป็นเลขาแต่ไม่รู้ว่าบ้านของเจ้านายอยู่ที่ไหน?”
สายตาของจ้าวเสวียนลุกลี้ลุกลน “ฉันทำงานได้ไม่ดีเลย ฉันไม่รู้จริงๆ ค่ะ”
เย่ชูวเสวียค่อยๆ กดดันไปทีละขั้น “แล้ววันนี้รู้ได้ยังไง? ใช่แล้ว เธอมาที่นี่เองหนิ”
จ้าวเสวียนกัดริมฝีปากแน่นไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร กลัวว่าเรื่องต่างๆ จะถูกเปิดเผย จึงลุกขึ้นยืนแล้วหันไปพูดกับมู่เวยเวย “คุณหญิงคะ พวกคุณไม่ต้องถามอะไรฉันหรอกค่ะ ในเมื่อตระกูลเย่ไม่ต้องการเด็กคนนี้ ฉันจะเลี้ยงดูเขาเอง ไม่รบกวนพวกคุณ”
“เด็ก? เด็กอะไร? คุณท้องเหรอ?” เย่ชูวเสวียประหลาดใจมาก ถึงว่าทำไมถึงมาที่นี่ ถ้าตอนนั้นตัวเองฉลาดก็ต้องกินยาไว้สิ
“หรูอี้!” มู่เวยเวยเตือนสติลูกสาว เย่ชูวเสวียมุ่ยปากมองไปที่พี่ชายแล้วไม่พูดอะไรต่อ
“อย่าเพิ่งโกรธเลย เด็กคนนี้ถูกตามใจมาตั้งแต่เด็ก อยากถามอะไรก็ต้องได้ดั่งใจ” มู่เวยเวยปลอบจ้าวเสวียนอย่างอ่อนโยน “เธอนั่งลงก่อน มีอะไรก็ค่อยๆ คุยกัน”
แน่นอนว่าจ้าวเสวียนไม่ต้องการไปจริงๆ ดังนั้นเธอจึงนั่งลง”
“ผิงอัน มีอะไรจะพูดไหม” มู่เวยเวยสะกิดแขนลูกชาย
เย่จิงเหยียนลืมตาขึ้นมาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ผมไม่ต้องการเด็กคนนี้ พวกคุณจะบอกว่าผมเลือดเย็นก็ได้ บอกว่าผมไม่มีความรับผิดชอบ นี่คือความคิดของผมในตอนนี้”
คำพูดไม่กี่ประโยคของเขาทำให้บรรยากาศชะงักงันอีกครั้ง จ้าวเสวียนสีหน้าโศกเศร้า มองไปที่ฟางเส้นสุดท้ายของตนเอง มู่เวยเวยอดไม่ไหว แต่ก็ตำหนิอะไรลูกชายไม่ได้ จึงหันไปถามเย่ฉ่าวเฉิน “คุณไม่คิดจะพูดอะไรบ้างเหรอ”
เย่ฉ่าวเฉินค่อยๆ วางหนังสือพิมพ์ลง “แล้วแต่คุณ ผมฟังคุณ”
“พ่อเป็นปรมาจารย์แห่งการเอาตัวรอดจริงๆ” เย่ชูวเสวียหัวเราะเยาะ
เย่ฉ่าวเฉินขยิบตาให้เธอ พ่อลูกสองคนหัวเราะกันอย่างรู้ทัน
มู่เวยเวยครุ่นคิดสักครู่แล้วพูดว่า “พวกคุณไม่แสดงความคิดเห็น งั้นสำหรับฉันไม่ว่ายังไงเด็กคนนี้เขาก็เป็นสายเลือดของตระกูลเย่ ขนาดหนูจ้าวเธอเป็นผู้ถูกกระทำ ยังยืนกรานที่จะเก็บเด็กคนนี้ไว้ ตระกูลของเราไม่ทำเรื่องที่ไร้มนุษยธรรมแบบนั้น ให้เด็กคนนี้อยู่นี่ที่ ครอบครัวของเราเลี้ยงดูเขาได้”
จ้าวเสวียนดีใจมาก แทบจะคุกเข่าขอบคุณมู่เวยเวย “ขอบคุณคุณหญิงมากๆ นะคะ”
มู่เวยเวยเป็นคนจิตใจดี เธออยากเก็บเด็กคนนี้ไว้ ส่วนจ้าวเสวียนก็ไม่มีแม่อยู่คอยข้างกาย ต้องมีคนดูแลเธอ จึงพูดขึ้นว่า “ตอนนี้ร่างกายเธอยังไม่สบาย อยู่ในบ้านตระกูลเย่ดีกว่า…”
“แม่” เย่จิงเหยียนพูดขัดจังหวะขึ้นมา “เธออยู่ที่นี่ไม่ได้”
“แม่ของจ้าวเสวียนไม่อยู่ ต้องมีคนคอยดูแลเธอตลอด”
“แม่ตระกูลเรามีทรัพย์สินมากมาย ให้เธอไปอยู่ที่ไหนก็ได้ แล้วหาพี่เลี้ยงสักคน ทำไมต้องให้อยู่ที่นี่?”
มู่เวยเวยโมโหขึ้นมา เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เธอโกรธลูกชาย “เรื่องทั้งหมดนี่แกเป็นคนก่อ ตอนนี้ไม่อยากรับผิดชอบก็ช่าง แต่ทำไมถึงมีความคิดแบบนี้?”
“โอเคๆ แม่จะให้เธอยู่ก็อยู่ งั้นผมจะไป” พูดจบ เย่จิงเหยียนก็หันหน้าเดินออกจากประตูไป
เย่ชูวเสวียตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงรีบวิ่งตามออกไป “พี่”
มู่เวยเวยชี้ไปที่แผ่นหลังของลูกชาย แล้วเอ่ยถามสามี “เขาโกรธฉันเหรอ?”
เย่ฉ่าวเฉินรีบปลอนโยนภรรยา “อย่าเพิ่งโกรธอย่าเพิ่งโกรธ ผมจะสั่งสอนเขาให้”
“ที่ฉันทำแบบนี้ทั้งหมดเพื่อใคร? ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเขาเมา… จำเป็นด้วยหรือที่ฉันต้องให้เข้ามาอยู่ที่นี่…” มู่เวยเวยสั่นสะท้านเพราะความโกรธ
จ้าวเสวียนเห็นว่าเหตุการณ์ไม่ได้คาดคิดเกิดขึ้น พูดขึ้นอย่างรู้สึกผิด “คุณผู้หญิง ฉันไปดีกว่าค่ะ อย่าให้แม่กับลูกต้องต้องทะเลาะกันเพราะฉันเลย ฉันดูแลลูกได้ค่ะ”
“เธอนั่งลงก่อน ให้เขาไป ปีกกล้าขาแข็งกล้าเถียงกับฉัน เก่งขนาดนี้ตลอดชีวิตก็ไม่ต้องกลับมา” ใบหน้าของมู่เวยเวยแดงก่ำด้วยความโกรธ
เธอมองไม่ออก เรื่องนี้เริ่มมีลับลมคมใน จะบอกว่าผู้หญิงคนนี้จงใจล่อลวงเขา แต่ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาก็ไม่มีหลักฐาน ตอนนี้ผู้หญิงคนนี้ตั้งครรภ์แล้ว เขาแก้ไขอะไรไม่ได้ เกิดเรื่องไร้คุณธรรมเช่นนี้ มู่เวยเวยจะไม่โกรธได้อย่างไร?
เย่ฉ่าวเฉินพลางลูบหลังภรรยาพลางออกตัวแทนลูกชาย “คุณอย่าโกรธเลย เวลาเพิ่งสั้นๆ ยังต้องตรวจสอบกันอีก ผมได้ยินมาจากที่บริษัท ไม่กี่วันมานี่เขากินอะไรไม่ลง บางที่อาจจะเพราะกดดันมากเกินไป คุณเลี้ยงผิงอันมากับมือ เขาเป็นคนยังไงคุณก็น่าจะรู้ดี? รอให้เขาใจเย็นลงก่อนคงคิดได้แล้วกลับมาขอโทษคุณ เมื่อถึงตอนนั้นผมจะช่วยคุณด่าเขาเอง”
เมื่อมู่เวยเวยได้ยินว่าลูกชายกินข้าวไม่ลงมาสองสามวัน ใจก็อ่อนยวบลง พูดด้วยผิดหวัง “ถึงเขาจะกดดันมากแค่ไหน ก็บังคับให้ผู้หญิงคนหนึ่งไปทำแท้งไม่ได้? นี่คือสิ่งที่ผู้ชายสมควรทำงั้นเหรอ?”
เย่ฉ่าวเฉินทำได้เพียงแค่เออออตามคำพูดของภรรยา “สิ่งที่ผิงอันทำไม่ถูกต้องอย่างแน่นอน ความผิดพลาดนี้ร้ายแรงกว่าความผิดทั้งหมดของเขา”
จ้าวเสวียนเคยได้ยินชื่อเสียงของเย่ฉ่าวเฉินก่อนที่จะเป็นผู้บริหารใหญ่ของเย่ฮวางมานาน เมื่อได้เห็นวันนี้ช่างสมคำร่ำลือจริงๆ ไม่รู้ว่าชาติที่แล้วคุณหญิงเย่ทำคุณบุญมากเพียงใด คิดไม่ถึงว่าจะมีสามีดีเช่นนี้ ที่ในสายตาเขามีเพียงแค่เธอคนเดียว
ถ้าเธอได้รับความรักจากเย่จิงเหยียนสักหนึ่งเปอร์เซ็นต์ เธอก็พอใจแล้ว
ด้านนอกมีเสียงรถยนต์ดังอยู่ไกลๆ เย่จิงเหยียนไปแล้วจริงๆ
จ้าวเสวียนถอนหายใจ นอกจากเรื่องครอบครัวเธอ ท้ายที่สุดเธอจะเทียบกับต้วนอีเหยาได้อย่างไร เขาไม่อยากอยู่ร่วมชายคาเดียวกับตนเองด้วยซ้ำ
จากนั้น เย่ชูวเสวียก็เดินคอตกกลับมา แบมือออกแล้วพูดขึ้น “พี่ชายบอกว่าเขาจะไปอยู่ที่คอนโดสองสามวัน ไม่กลับมา”
ไฟโกรธในตัวมู่เวยเวยลุกโชนขึ้นอีกครั้ง “ไม่กลับก็ไม่ต้องกลับ ถ้าให้ดีก็ไม่ต้องกลับมาเลย”
เย่ชูวเสวียมองไปที่จ้าวเสวียน ก็รู้สึกทุกข์ใจขึ้นมาทันที “หนูไม่กินข้าวนะ จะขึ้นห้อง”
“ทำไมไม่กิน? ตอนกลางคืนจะหิวนะ”
“ลดน้ำหนัก”
สองคำงายๆ ล็อคคำถามต่อไปของพ่อทันที ถ้าเธอเป็นจ้าวเสวียน เมื่อตั้งท้องเธอจะไปโรงพยาบาลแล้วทำแท้งซะ เพราะอย่างไรเย่จิงเหยียนก็ไม่กลับมาชอบเธอ ไม่ใช่ปล่อยให้เด็กเกิดขึ้นมาบนโลกนี้ให้ต้องเจ็บปวด?
หรือต้องการใช้ลูกเพื่อเรียกร้องเงิน จากนั้นก็จะจากไป แต่ยังชื่นชมเธออยู่นิดๆ ตอนนี้ที่เธออยากเก็บเด็กคนนี้ไว้ อีกด้านหนึ่งก็เพราะรักพี่ชาย จึงต้องการใช้ลูกเพื่อเอาชนะใจพี่ชาย อีกด้านเกรงว่าเธอต้องการเป็นคุณนายตระกูลเย่ ถึงอย่างไรถ้าเพียงแค่อยากเป็นคุณนาย ต้องการเงินเท่าไหร่?
ผู้หญิงคนนี้หัวใสจริงๆ มาหาแม่เพื่อใช้เป็นเครื่องราง
ในห้องนั่งเล่นเหลืออยู่สามคน สีหน้าของมู่เวยเวยหมองคล้ำลง เดินมาจับจ้าวเสวียนแล้วพูดขึ้น “ไป ไปกินข้าวกันเถอะ ไม่ต้องไปสนพวกเขา”
ท่าทีของจ้าวเสวียนดูเป็นกังวล “คุณหญิงฉันต้องไปค่ะ ไม่อย่าทำให้ครอบครัวของพวกคุณไม่สงบสุขเพราะฉัน”
มู่เวยเวยกำลังโกรธ ปล่อยให้เธอไปไม่ได้แน่นอน “ใครจะไปก็ไป เธอตั้งท้องเลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลเย่ เธอต้องอยู่ที่นี่นี่คือความถูกต้อง”
“แต่ ฉันไม่อยากให้ประธานเย่เกลียดฉัน” จ้าวเสวียนก้มหน้าพูดตะกุกตะกัก
มู่เวยเวยพาเธอมาที่ห้องรับประทานอาหาร “เด็กคนนั้นคือสิ่งสุดท้าย รอให้เขาใจเย็นลงก่อน เวลาเพิ่งผ่านไปไม่นาน เขาคงคิดได้ว่าต้องรับผิดชอบเธอ”
จ้าวเสวียนหยักหน้าโดยไม่พูดอะไร
เช่นนี้ จ้าวเสวียนจึงย้ายเข้าไปอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลเย่อย่างเปิดเผย
กลางดึกเธอนอนอยู่บนเตียง รอให้เย่ฉ่าวเฉินออกมาจากห้องน้ำ มู่เวยเวยเงยหน้าขึ้นแล้วถามเขา “วันนี้คุณว่าฉันหุนหันพลันแล่นไปหน่อยไหม?”
เย่ฉ่าวเฉินเช็ดผมด้วยผ้าขนหนู ยิ้มแล้วบอกเธอ “ตอนนี้สติกลับมาแล้วเหรอ?”
“ใจร้อนเกินไปจริงเหรอ?” มู่เวยเวยลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงด้วยสีหน้าซับซ้อน “ตอนนี้ฉันกำลังคิด อันที่จริงที่ผิงอันพูดก็ถูก ปล่อยให้จ้าวเสวียนอยู่ข้างนอกก็ได้ จ้างพี่เลี้ยงสองคนก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ฉันกำลังหัวร้อนทำไมถึงยอมให้เธออยู่ในบ้าน?”
“ตอนนั้นคุณราวกับพลุ ใครจะระเบิดก็ช่างมันเถอะ ยังไงเรื่องทั้งหมดก็เป็นแบบนี้ไปแล้ว อย่าคิดมากเลย” เย่ฉ่าวเฉินเชิดคางเธอขึ้นและจูบไปที่ริมฝีปากของเธอ “นอนเถอะ”
มู่เวยเวยผลักหน้าของเขาออก ยังคงคิดถึงเรื่องต่างๆ ในช่วงบ่าย “จ้าวเสวียนผู้หญิงคนนี้ นอกจากเบื้องหลังเรื่องครอบครัวที่ไม่ดี อย่างอื่นก็ไม่มีปัญหา สวย ขยันทำมาหากิน นิสัยก็ดี และเธอก็เป็นผู้ถูกกระทำ ทำไมคุณ ผิงอัน และหรูอี้ไม่ลองที่ดูเธอก่อน?”
เย่ฉ่าวเฉินเลิกผ้าห่มขึ้นแล้วเข้านอน เอามือลูบไล้ที่เอวภรรยาเบาๆ “อาจจะเพราะเชื่อและยอมรับในสิ่งที่ได้ยินได้เห็นมาก่อน เราทุกคนชอบต้วนอีเหยามากกว่า และเรื่องที่โรงแรมก็ไม่ง่ายขนาดนั้นเหมือนที่จ้าวเสวียนพูด สิ่งที่หรูอี้พูดก็ถูกต้อง ตอนนั้นเธอส่งผิงอันกลับบ้านเลยก็ได้ แต่เธอกลับไปที่โรงแรม คุณบอกว่าเธอไม่ได้มีแผนการอะไร แล้วใครจะเชื่อ?”
“แต่ตอนนี้เธอกำลังท้องนะ เราจะเพิกเฉยไม่ได้” มู่เวยเวยกล่าวอย่างไม่ค่อยมั่นใจ
“ดังนั้นผมจึงไม่อยากขวางคุณ เธอจะอยู่ก็อยู่ ในอนาคตคุณก็จะได้คิดให้เยอะขึ้น”
มู่เวยเวยถอนหายใจ “ตอนเด็กๆ ทั้งสองคนไม่เคยทำให้เราต้องเป็นกังวล พอโตขึ้นกลับตรงกันข้าม”
เย่ฉ่าวเฉินหายใจอยู่ระหว่างซอกคอของเธอ เขาขบคอเธอเบาๆ พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ถึงยังไงทั้งหมดก็มาทวงหนี้กับเรา ก่อนที่จะสายต้องรีบทวง หนีไม่พ้น”
“คุณ… คุณอย่า…” พูดยังไม่ทันจบ เย่ฉ่าวเฉินก็ปิดคำพูดสุดท้ายของเธอด้วยริมฝีปาก
กลางคืนอากาศเย็นเล็กน้อย
เย่จิงเหยียนนั่งอยู่ริมระเบียงของคอนโดมิเนียมใจกลางเมืองA พร้อมกับเบียร์หนึ่งกระป๋อง
วันนี้ที่ได้รู้ว่าจ้าวเสวียนกำลังตั้งครรภ์ เย่จิงเหยียนรู้สึกว่าหนทางข้างหน้าช่างมืดมน เขาไม่รู้ว่าต้องไปทางไหน
หากมันถูกลิขิตไว้ เมื่อเจอต้วนอีเหยาครั้งหน้า เขาจะเผชิญหน้ากับเธออย่างไร?
เขาไม่มีคุณสมบัติพอที่จะรักเธอด้วยซ้ำ
ทำไมพระเจ้าถึงลงโทษเขาเช่นนี้?
ตอนยังเป็นเด็กพอบอกเสมอว่า พระเจ้าประทานความสามารถพิเศษให้เขา จำเป็นต้องให้เขาทนทุกข์ทรมานคืนกลับไป ยี่สิบปีผ่านไปอย่างราบรื่นจนทำให้เขาสงสัยในประโยคนี้ คิดไม่ถึงว่าสิ่งที่รอคอยกำลังมาถึง
เขาต้องการไปพบอีเหยา แต่ตอนนี้สิ่งที่เขาทำได้คือรอเธออยู่ตรงนี้ จนกระทั่งถึงวันหนึ่งที่เขารู้สึกท้อแท้และหยุดรอ หรือตัดสินใจทิ้งทุกอย่างไว้ข้างหลังแล้วตามหาเธอ ในที่สุดก็ถึงจุดจบ
สำหรับลูก ลูกคือการตกผลึกของความรัก เขาเชื่อแบบนั้นมาตลอด ถ้าเป็นเพียงอุบัติเหตุ เขาจะไม่ให้ความรักแก่เด็กนอกจากเงิน
ในเมื่อจ้าวเสวียนต้องการให้กำเนิดเด็กคนนี้ เขาก็จะแสร้งทำเป็นว่าไม่มีเด็กคนนี้เกิดขึ้นมา