หลังจากปรับตัวอยู่ร่วมกันมากว่าครึ่งเดือน ต้วนอีเหยาและคนรอบข้างเริ่มคุ้นเคยกันมากขึ้น เพิ่งได้รู้ว่าบอดี้การ์ดสาวที่อยู่ก่อนหน้าตัวเองเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเพราะป่วยกะทันหัน ฉะนั้นต้องหาคนมาแทนที่ ดาดว่าเธอจะได้กลับไปประจำการในกองทัพหลังจากปฎิบัติหน้าที่ที่นี่สองเดือน
เมื่อเทียบกับการเป็นบอดี้การ์ดแล้ว ต้วนอีเหยาชอบอยู่กองทัพมากกว่า แม้ว่าก่อนหน้านี้จะได้รับการเลื่อนตำแหน่งอย่างรวดเร็ว
กลางดึก ต้วนอีเหยานั่งอยู่คนเดียวบนม้านั่งในสวน วันมะรืนเธอต้องไปที่เมืองA แล้ว ไม่รู้ว่าจะได้พบเขาไหม? หรือไม่อยากเจอกันแล้ว ถึงเจอก็ไม่มีอะไรจะพูด
มีเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลัง ไม่ต้องหันกลับไปมองก็รู้ว่าคือหัวหน้าบอดี้การ์ดเหล่ยหยิ่ง
“ทำไมตอนนี้คุณดูว่างๆ?” ต้วนอีเหยาถามด้วยรอยยิ้มจางๆ
เขาเดินเข้ามานั่งข้างๆ เธอ ล่วงมือทั้งสองข้างเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ท่าทางผ่อนคลานสบายๆใบหน้าเด็ดเดี่ยวเผยให้เห็นความสงบนิ่งที่หาได้ยากในวัยนี้
เขาถาม “คุณรู้ได้ยังไงว่าเป็นผม?”
ต้วนอีเหยาพูดอย่างใจเย็น “ไม่ต้องบอกว่าเป็นคุณ แต่ภายในระยะทางสามเมตรฉันรู้แล้ว แค่ได้ยินเสียงก็รู้ว่าเป็นใคร”
เหล่ยหยิ่งมองเธอด้วยความชื่นชมเล็กน้อย “ไม่น่าแปลกที่คุณเป็นทหารมือหนึ่งของกองทัพC สมคำร่ำลือจริงๆ”
“ที่ไหนกัน ไว้หน้าสหายร่วมรบทุกคนของฉันด้วย” ต้วนอีเหยายิ้ม
หญิงสาวที่อยู่ภายใต้แสงจันทร์ไม่มีความดุร้าย ใบหน้าละมุนละไม ผิวใสราวกับกระดาษ ขนตายาวงอนงาม ช่างสวยงามอย่างมาก
ไม่รู้ทำไม ความสงสารผุดขึ้นในใจของเหล่ยหยิ่ง ดูเหมือนว่าหญิงสาวอายุเท่าเธอต้องแต่งงาน หรือไม่ก็มีคนรักไปแล้ว แต่เธอกับต้องไปสู้รบในสถานที่ที่เต็มไปด้วยภยันตราย
ต้วนอีเหยาสังเกตเห็นการแสดงออกของเขา จึงหันมาถาม “ทำไมคุณมองฉันแบบนี้?”
“ผมกำลังคิดว่าคุณมีแฟนหรือยัง”
“ห่ะ?” ต้วนอีเหยาคิดไม่ถึงว่าหัวหน้าบอดี้การ์ดที่เคร่งขรึมและเฉยชามาโดยตลอดจะถามคำถามเช่นนี้
เหล่ยหยิ่งย้อนถาม “แปลกเหรอ?”
“แปลกมากๆ” ต้วนอีเหยายิ้มเยาะ “แล้วคุณล่ะ? คุณมีแฟนหรือยัง?”
เหล่ยหยิ่งยักไหล่แล้วถอนหายใจ “ที่บ้านแนะนำให้สองสามคน หนึ่งในนั้นผมคุยกันอยู่สองสามเดือน ทุกคนคิดว่าผมงานยุ่งเกินไป ไม่มีเวลาให้เธอ เธอจึงทิ้งฉันไป หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้หาอีก”
“งั้นคุณก็ยังดีกว่าฉัน ฉันยังไม่เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งแบบนั้น” ต้วนอีเหยานึกถึงใครบางคน แล้วยิ้มอย่างขมขื่น “ฉันเคยพบคนคนหนึ่ง แต่มันก็จบตั้งแต่ยังไม่เริ่ม”
เหล่ยหยิ่งหันหน้ามองไปบนฟ้า พูดขึ้นเบาๆ “งั้นก็หมายความว่าอีกฝ่ายตาไม่ถึง ผู้หญิงอย่างคุณไม่ใช่สิ่งที่ผู้ชายทั่วไปจะอืมถึงได้”
“เฮ้อ ถ้าพ่อของฉันได้ยินที่คุณพูดไม่รู้ว่าเขาจะดีใจหรือเสียใจนะ เขาอยากให้ฉันหาผู้ชายสักคนแล้วแต่งงานด้วยใจจะขาด ซะวันพรุ่งนี้เลยก็ดี”
“ท่านหัวหน้าต้วนคงไม่ขนาดนั้นหรอกมั้ง”
ต้วนอีเหยาบ่น “ครั้งที่แล้วเขาให้ฉันไปดูตัว เขามักพูดเสมอว่าเขาจะเสียใจกับแม่ของฉันมาก ถ้าฉันไม่แต่งงาน ทำให้ตอนนี้ฉันกลัวไม่กล้าเผชิญหน้ากับเขา ทำไมคนเราต้องแต่งงานกัน? ถ้าไม่แต่งงานก็ดีนะ อยู่คนเดียวว่างๆ สบายๆ อยู่คนเดียวกินคนเดียวก็อิ่ม เมื่อแก่แล้วก็ไปอยู่บ้านพักคนชรา เมื่อตายไปขี้เถ้ากระดูกก็ปล่อยสู่ทะเล ชีวิตจบสิ้น”
เหล่ยหยิ่งมองเธอด้วยความประหลาดใจ “สาวๆ หลายคนในตอนนี้คิดว่าจะหาผู้ชายที่ดีแล้วแต่งงานด้วยได้ยังไง ไม่คิดว่าคุณจะมีความคิดแบบนี้”
“คุณเคยอยู่ในสนามรบไหม?” ต้วนอีเหยาถามขึ้นมากะทันหัน
เหล่ยหยิ่งส่ายหน้า “ไม่”
ต้วนอีเหยาเหม่อมองออกไปไกล “ถ้าคุณเคยอยู่ในสนามรบคุณจะรู้ เมื่อเห็นสหายของตัวเองตายไป คุณจะรู้สึกว่าชีวิตที่เหลืออยู่ทุกวันคือกำไรชีวิต วันนี้ที่ฉันกำลังคุยกับคุณอยู่ที่นี่ ไม่แน่เดือนหน้าวันนี้ฉันอาจจะหายไปแล้วก็ได้ ดังนั้น ทำไมต้องเพิ่มคนอื่นเข้ามาให้ชีวิตยุ่งยากด้วยล่ะ?”
เหล่ยหยิ่งก็เป็นทหารเช่นกัน แน่นอนว่าเขาเข้าใจความรู้สึกของเธอ
เหล่ยหยิ่งตบไหล่เธอเบาๆ แล้วพูดว่า “เอาล่ะๆ อย่าคิดมาก พรุ่งนี้ยังมีอะไรต้องทำอีกเยอะ ไปพักผ่อนเถอะ”
“อืม เดี๋ยวก็ไปแล้ว”
อีเหยาถูกทิ้งให้อยู่บนม้านั่งคนเดียว เธอพูดกับตัวเอง “เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยนายกับเธอก็ได้อยู่ด้วยกัน ไม่มีวันแยกจากกัน แถมยังมีคนคอยดูแลนาย ดีแล้ว”
วันรุ่งขึ้น
จ้าวเสวียนตื่นแต่เช้า แม้ว่าจะกำลังตั้งครรภ์ แต่เธอก็ยังต้องไปทำงานที่บริษัท เธอไม่อยากให้คนตระกูลเย่คิดว่าเธอหนักไม่เอาเบาไม่สู้ และมีเพียงแค่ที่บริษัทเท่านั้นที่จะได้เจอเย่จิงเหยียน
มู่เวยเวยจับแขนเธอ “รอก่อน เดี๋ยวฉันให้รถที่บ้านไปส่งเธอ”
จ้าวเสวียนปฎิเสธทันที “คุณผู้หญิงไม่จำเป็นหรอกค่ะ ฉันไม่อยากให้ดูโอ้อวดเกินไป และก็ไม่อยากให้ท่านประธานเย่ต้องถูกนินทา”
มู่เวยเวยปลื้มใจอย่างมาก “ถึงจะพูดแบบนั้น แต่เธอกำลังต้องท้อง นั่งรถบัสไปไม่ได้” ประจวบเหมาะกับเย่ชูวเสวียเดินลงมาจากชั้นบน มู่เวยเวยจึงเรียกเธอไว้ “รีบมากินข้าวเร็ว ตอนไปทำงานก็ฝากจ้าวเสวียนไปทำงานด้วยนะ”
เย่ชูวเสวียไม่เต็มใจ “ทำไมต้องฝากหนู?”
“ก็ร้านแกอยู่ทางเข้าบริษัท ไม่ฝากแกแล้วจะให้ฝากใคร?”
เย่ชูวเสวียมุ่ยปาก “หนูขับรถเร็ว และเธอก็ยังท้องอีก ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นหนูรับผิดชอบไม่ไหวหรอกนะ?”
“หรูอี้ทำไมถึงพูดแบบนี้ล่ะ?” มู่เวยเวยก้มหน้าลงเล็กน้อย
“หนูพูดความเรื่องจริง” เย่ชูวเสวียเป็นผู้ปกป้องความซื่อสัตย์ของพี่ชาย และนอกจากนี้เธอยังชอบต้วนอีเหยามากกว่า
จ้าวเสวียนพูดอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ไม่ต้องลำบากขนาดนั้นหรอกค่ะ ป้ายรถเมล์อยู่ไม่ไกลจากบ้าน ฉันเดินไปแปปเดียวก็ถึงแล้ว”
“ไม่ต้อง ก็แค่ถือโอกาสนี้ให้หรูอี้พาเธอไปด้วยเลย” มู่เวยเวยปลอบโยนจ้าวเสวียนแล้วหันไปมองลูกสาว
เมื่อแม่จ้องมองมาด้วยสายตาเช่นนั้น เย่ชูวเสวียจึงต้องพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจ
“เอาล่ะเอาล่ะ แม้ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นฉันก็ไม่สน” เย่ชูวเสวียพูดทิ้งท้ายไว้ แล้ววิ่งไปที่ห้องรับประทานอาหาร เธอสั่งให้พ่อครัวห่อข้าวให้เธอชุดหนึ่ง
ใบหน้าของจ้าวเสวียนยิ้ม แต่ภายในใจกำลังโกรธ เธอก็ไม่ได้ไปยั่วโมโหคุณหนูเล็กสักหน่อย ทำไมถึงไม่อยากเจอหน้าเธอขนาดนี้?
รถสปอร์ตของเย่ชูวเสวียแล่นไปด้วยความเร็วสูง ตอนที่ออกมามู่เวยเวยกำชับว่า “ขับข้าๆ ระมัดระวังด้วย”
“แม่ นี่มันรถสปอร์ตนะ วิ่งช้าๆ ก็ถูกคนแก่ขับรถหัวเราะเยาะเอาสิ ไปกันเถอะ”
เย่ชูวเสวียสวมแว่นกันแดดตลอดทาง ใบหน้าเย็นชาสื่อออกมาว่าไม่ต้องการเสวนาด้วย จ้าวเสวียนอยากพูดคุยกับเธอหลายครั้ง แต่เมื่อได้เห็นสีหน้าของเธอก็ไม่กล้าเอ่ยปากพูดอะไร
มู่เวยเวยยังหลอกได้ แต่สาวน้อยคนนี้คงหลอกไม่สำเร็จ สายตาของเธอแหลมคม ยิ่งพูดน้อยยิ่งผิดน้อยลง
ตลอดทางที่เดินทางไปบริษัท เย่ชูวเสวียจอดรถที่หน้าร้านของเธอ ไม่มีเหตุผลจ้าวเสวียนหิ้วอาหารเช้าลงมาจากรถ
จ้าวเสวียนเอาอกเอาใจเธอ รีบเดินไปข้างหน้าแล้วพูดว่า “คุณหนูเย่จะให้เอาอาหารเช้าไปส่งให้ท่านประธานเหรอคะ?”
เย่ชูวเสวียเชิดหน้าแล้วพูดเบาๆ “ใช่”
“ถ้าคุณไม่ว่าง ให้ฉันเอาไปให้ก็ได้นะคะ”
เย่ชูวเสวียยิ้มอย่างเยือกเย็น “ฉันไม่ยุ่ง ตอนเช้าฉันมีเวลาว่างมาก”
“อ่อ”
เย่ชูวเสวียเดินเข้าไปในลิฟต์สำหรับผู้บริหาร จ้าวเสวียนกำลังจะก้าวเข้าไป เธอจึงหันกลับมาพูดว่า “ลิฟต์พนักงานอยู่ข้างๆ”
ใบหน้าของจ้าวเสวียแดงระเรื่อ ก้าวเท้ากลับมาอย่างรวดเร็ว ก้มศีรษะพลางกล่าวขอโทษ “ขอโทษด้วยค่ะ ฉันดูผิดไป” ท่าทีที่ดูอ่อนน้อมถ่อมตน แต่ภายในใจกลับกำลังสาปแช่งเย่ชูวเสวียอยู่หลายพันครั้ง ยัยกลิ่นเหม็นเน่า รอให้ฉันกลายเป็นเจ้าของคฤหาสน์ตระกูลเย่ก่อนเถอะ ฉันจะจัดการกับแก
ปกติเย่ชูวเสวียไม่ได้เป็นคนหยิ่งผยอง ถ้าเป็นคนอื่นเดินตามเข้ามาก็คงไม่ได้ว่าอะไร แต่เมื่อเห็นเป็นจ้าวเสวียนเธอยิ่งไม่ชอบ จึงจงใจทำให้เธอหน้าแตก
เมื่อถึงห้องทำงานของท่านประธาน เย่จิงเหยียนกำลังดูตารางงานสำหรับวันนี้ ใบหน้าของเขาซีดเซียว ดวงตาคล้ำเงยหน้าขึ้นมอง เมื่อเห็นว่าเป็นน้องสาว จึงถามขึ้น “แกมาทำไม?”
“รู้ว่าพี่ยังไม่ได้กินข้าวเช้า เลยเอามาให้จากที่บ้าน”
“ฉันกินไม่ลง”
เย่ชูวเสวียเปิดกล่องอาหารออก ชั้นแรกเป็นขนมปังชิ้นเล็กๆ สองสามชิ้น ชั้นที่สองคือผักดองหนึ่งจาน ชั้นล่างสุดเป็นโจ๊กหมูไข่เยี่ยวม้า “กินไม่ลงก็กินสักหน่อยเถอะ ไม่ง่ายเลยนะที่น้องสาวจะทำอะไรดีๆให้ พี่ไม่กินไม่ไว้หน้าฉันเลยนะ”
เย่จิงเหยียนหยิบตะเกียบและช้อนขึ้นมา “ก็ได้ เพื่อไว้หน้าแกนะ”
เย่ชูวเสวียนนั่งลงบนโต๊ะพร้อมกับรอยยิ้ม มองดูใบหน้าซีดเซียวของเขา พูดขึ้นด้วยความกังวล “เมื่อคืนพี่ดื่มอีกแล้วเหรอ?”
“ไม่ดื่มนอนไม่หลับ เลยดื่มนิดหน่อย”
“ฉันรู้ว่าพี่รู้สึกแย่ แต่ยังไงก็ต้องดูแลร่างกายด้วย พี่อายุเพิ่งจะยี่สิบเจ็ดชีวิตนี้ยังอีกยาวไกล ไม่รู้ว่าตอนไหนจะบังเอิญได้เจอพี่เสี่ยว เมื่อถึงเวลานั้นพี่จะได้มีแรงวิ่งตามเธอได้ทัน”
เย่จิงเหยียนตักโจ๊กขึ้นมาแล้วเงยหน้ามองเธอ พูดเชิงหยอกล้อ “แกเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอารมณ์ความรู้สึกตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“อย่าคิดว่าฉันกำลังล้อเล่นนะ” เย่ชูวเสวียพยักหน้า “พูดสั้นๆเลยนะพี่ ฉันไม่ชอบจ้าวเสวียนคนนี้ให้มาเป็นพี่สะใภ้ พี่เสี่ยวดีกว่า ทั้งมีออร่าทั้งมีเสน่ห์ มีเพียงผู้หญิงคนนี้เท่านั้นที่คู่ควรกับพี่ชายของฉัน”
“แกมาส่งอาหารเช้าที่นี่ หรือมาส่งมีดกันแน่? คำพูดแต่ละคำแทงฉันซะเถอะ ยิ่งพูดยิ่งกินข้าวไม่ลง” เย่จิงเหยียนมองไปที่เธออย่างจนปัญญา
“โอเคๆ ฉันไม่พูดแล้ว พี่กินเถอะ” ทันใดนั้นเย่ชูวเสวียก็นึกเรื่องของวันพรุ่งนี้ขึ้นมาได้ ถามขึ้นอย่างอยากรู้อยากเห็น “พี่ท่านคนนั้นจะมาเยี่ยมชมบริษัทเราจริงเหรอ?”
“ตามแผนก็เป็นแบบนั้น แต่ไม่รู้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไหม?”
เย่ชูวเสวียพูดด้วยเสียงทอดถอนหายใจ “ฉันก็อยากเจอพวกเขาเหมือนกัน เห็นแต่เป็นออกอากาศอยู่บ่อยๆ แค่คิดก็น่าตื่นเต้น ได้ยินมาว่าท่านคุณหญิงลำดับที่หนึ่งก็มาด้วย”
เย่จิงเหยียนพยักหน้า “อืม พรุ่งนี้เธอจะไปเยี่ยมเยียนเพื่อปลอบขวัญและให้กำลังใจที่โรงเรียนผู้พิการทางการได้ยินก่อน”
“งั้นทั้งหมดที่เราให้ไปเป็นเงินทุนใช่ไหม?” เย่ชูวเสวียถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“ใช่”
เย่ชูวเสวียตื่นเต้น “พี่ฉันอยากไปเจอเธอด้วย พี่ช่วยคิดว่าวิธีหน่อยสิ”
สีหน้าเย่จิงเหยียนจริงจัง “แกคิดว่าท่านใครอยากพบก็พบได้งั้นเหรอ? เลิกยุ่งวุ่นวายได้แล้ว”
“เราเป็นผู้ให้การสนับสนุนนะ ให้ฉันเข้าร่วมในฐานะผู้สนับสนุนก็ได้ พี่ไม่ต้องคอยไปดูที่โรงงานเหรอ? ฉันก็จะไปโรงเรียน” เย่ชูวเสวียมองพี่ชายที่ทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน จับแขนเขาแล้วทำตัวเหมือนเด็กน้อย “พี่ได้โปรดช่วยฉันเถอะนะ ฉันยังไม่เคยได้เห็นคนใหญ่คนโตเลย แค่ให้ฉันไป ฉันจะไม่ทำตัววุ่นวาย ขอร้องล่ะน่า”
เย่จิงเหยียนกลัวว่าความพยายามของเธอจะมากเกินไป “โอเคๆ ฉันกลัวแล้ว ฉันจะโทรหาทางนั้นแล้วเจรจาให้ ตอนนี้ทางโรงเรียนเตรียมการไว้เรียบร้อยแล้ว เรื่องกะทันหันแบบนี้ไม่ได้ทำได้ง่ายๆ”
“พี่ฉันรู้ว่าที่พี่ทำให้ฉันน่ะดีที่สุดแล้ว”
เย่จิงเหยียนส่ายหัวแล้วยิ้ม “ฉันไม่อยากทำดีกับแกเลย ใครใช้ให้เแกมาเป็นน้องสาวฉันล่ะ?”
“พี่ค่อยๆ กิน กินเสร็จแล้วก็อย่าลืมช่วยฉันด้วยนะ ฉันจะลงไปแล้ว”
“รีบๆไป รำคาญจะแย่”
ทันทีที่เสียงเงียบลง เย่จิงเหยียนกินไปแค่สองสามคำก็วางช้อนลง เขาไม่อยากอาหารจริงๆ
วันนี้เย่จิงเหยียนยุ่งผิดปกติ เขามาที่โรงงานเพื่อตรวจสอบทุกอย่างอย่างละเอียด สำรวจให้แน่ใจว่าไม่มีข้อผิดพลาดในวันพรุ่งนี้
ทั่วทั้งเมืองA ตกอยู่ในบรรยากาศตื่นเต้นและคึกคัก ถนนหนทางสะอาดมากกว่าทุกวัน ดอกไม้บานสะพรั่ง ต้นหญ้าเขียวขจี ทุกคนเตรียมตัวด้วยความกระตือรือร้นอย่างเต็มที่เพื่อต้อนรับแขกผู้น่าเคารพนับถือในวันพรุ่งนี้
ดวงอาทิตย์ค่อยๆ โผล่ขึ้นมาทางทิศตะวันออกช้าๆ เครื่องบินลำหนึ่งจากเมืองเกียวโตออกบินตรงขึ้นสู่ท้องฟ้า
ต้วนอีเหยานั่งอยู่ตรงประตูทางเข้าเครื่อง มองไปยังหมู่บ้านและเมืองเล็กๆ นอกหน้าต่าง ภายในใจรู้สึกหดหู่เล็กน้อย หวังว่าครั้งนี้ทุกอย่างจะเป็นไปได้ด้วยดี จากนั้นเธอจะได้กลับที่กองทัพโดยสวัสดิภาพ
หลังจากผ่านไปกว่าสองชั่วโมง เครื่องบินก็ลงจอดที่สนามบินของเมืองA ต้วนอีเหยาเริ่มทำงานด้วยสปิริตอย่างเต็มที่ ท่านคุณหญิงจับมือและโบกมือให้กับพนักงานต้อนรับสาวสวยอย่างเป็นมิตร บรรยากาศคึกคัก แต่จิตใจของตวนอีเหยากลับสงบนิ่ง พลางสังเกตรอบข้างตลอดเวลา
รถกันกระสุนมากกว่าสิบคันแล่นเข้ามาในเมือง
ณ ห้องโถงใหญ่ ท่านผู้นำไปประชุม ส่วนท่านคุณหญิงรันงานตามตารางเวลา จุดแรกคือการเยี่ยมเยียนโรงเรียนผู้พิการทางการได้ยิน
ต้วนอีเหยานั่งอยู่ข้างคนขับ ท่านคุณหญิงนั่งอยู่ข้างหลังถามเธอด้วยรอยยิ้ม “เสี่ยวต้วน คุณเคยมาเมืองA มาก่อนไหม?”
“ตอนอนุบาลฉันเรียนอยู่ที่นี่ค่ะ เมื่อโตขึ้นก็มาสองสามครั้ง”
“เป็นโชคชะตางั้นเหรอ? เมืองAเป็นเมืองที่ดีมากๆ สภาพแวดล้อมสวยงาม การพัฒนาเศรษฐกิจก็เป็นไปอย่างรวดเร็ว”
ต้วนอีเหยาเห็นด้วย “คราวนี้ที่ฉันมาก็รู้สึกว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปมากเหมือนกันค่ะ”
แน่นอน บอดี้การ์ดของท่านคุณหญิงนอกจากต้วนอีเหยาแล้ว ยังมีชายฉกรรจ์อีกแปดคน เพียงแค่ว่าต้วนอีเหยาอยู่ใกล้เธอมากที่สุด
เมื่อมาถึงโรงเรียน ต้วนอีเหยาเฝ้าดูบอดี้การ์ดที่อยู่ด้านนอกทั้งหมด แจ้งให้เธอทราบถึงความปลอดภัยด้วยข้อความเสียง เธอลงจากรถและเปิดประตูให้ท่านคุณหญิง
“ยินดีต้อนรับ…” คุณครูและนักเรียนยืนต้อนรับท่านคุณหญิง ทุกคนโห่ร้องกันอย่างตื่นเต้น
ท่านคุณหญิงก้าวไปข้างหน้าและจับมือกับพวกเขาทีละคน แล้วกล่าวทักทายพวกเขาเบาๆ พวกเขาคงทำงานกันอย่างหนัก ต่อไปคือการเยี่ยมชมกิจกรรมต่างๆ แต่ไม่ว่าเธอจะไปที่ไหน ต้วนอีเหยาจะคอยรักษาระยะห่างจากเธอหนึ่งเมตรเสมอๆ และคอยสังเกตรอบๆ ตลอดเวลา
ช่วงต่อไปโรงเรียนได้เตรียมการเอาไว้เรียบร้อย เป็นเด็กพิการทางการได้ยินกำลังทำการแสดงบนเวที ด้านล่างเวทีที่ทำการแสดง ท่านคุณหญิงถูกเด็กคนอื่นๆ ห้อมล้อมหลังจากที่ดูพวกเขาร้องเพลงและเต้นรำจบ ก็ตามมาด้วยเสียงปรบมืออย่างอบอุ่น สำหรับเพลงที่ร้องคือเพลงอะไร ต้วนอีเหยาไม่เคยได้ยินมาก่อน
เมื่อเพลงจบลง ท่านผู้หญิงขึ้นไปบนวทีและมอบของขวัญให้กับนักแสดงทุกคน เธอนั่งยองๆ และสื่อสารกับนักแสดงด้วยภาษามือ หลังจากเสร็จสิ้นเธอก็อุ้มเด็กที่เล็กที่สุดขึ้นมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความรักของแม่
ต้วนอีเหยามองดูฉากนี้แล้วคิดภายในใจ บางทีอาจเป็นเพราะการแสดงออกที่อบอุ่นของเธอ ทำให้ประชาชนรักเธอมาก
โรงเรียนคนผู้พิการทางการได้ยินแห่งนี้เป็นโรงเรียนสอนผู้พิการทางการได้ยินที่ใหญ่ที่สุดในเมืองA มีเด็กหูหนวกมากกว่าหนึ่งพันคนที่ถูกส่งมาจากทั่วประเทศ และส่วนใหญ่ก็มาเรียนฟรี แม้ว่าจะมีคนจำนวนมาก แต่มีอุปกรณ์ครบครัน มีปัจจัยมากมาย ดีกว่าโรงเรียนธรรมดาด้วยซ้ำ
หลังจากเยี่ยมชมได้รอบหนึ่ง ท่านคุณหญิงจึงตัดสินใจพูดขึ้น “โรงเรียนใหญ่โตขนาดนี้ พวกคุณจัดการได้ดีมาก”
ครูใหญ่รีบกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ต้องขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดด้วยครับ ตลอดจนการระดุมทุนจากบริษัทและบุคคลที่มีชื่อเสียงทางสังคม เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องเงินทุนของเรา ไม่อย่างนั้นไม่ว่าจะมีไอเดียมากมายแค่ไหน ก็อยากที่จะบรรลุผลสำเร็จได้”
“ที่คุณพูดก็ถูก ไม่มีเงินทุน ก็ไม่มีประโยชน์อะไร หากในอนาคตมีปัญหา แค่ให้ใครสักคนเขียนคำร้องถึงฉัน ฉันจะหาเงินทุนมาให้พวกคุณเอง”
ครูใหญ่ตกใจระคนดีใจ แต่ยังเก็บอาการไว้ได้ ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องเงินทุนหรอกครับ เราเซ็นสัญญากับทางบริษัทในเมืองA เอาไว้แล้ว ไม่ว่าเราจะขาดเงินทุนมากแค่ไหน ตราบเท่าที่จำเป็น พวกเขาจะรับบริจาคมาให้ครับ”
“โอ้?” ท่านคุณหญิงแปลกใจ “ในแต่ละวันโรงเรียนใช้เงินจำนวนไม่น้อย บริษัทไหนร่วมมือกับพวกคุณเป็นเวลานานขนาดนั้น”
ครูใหญ่กราบเรียนว่า “เป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในเมืองA เย่ฮวางกรุ๊ปครับ”
“เย่ฮวาง?” ท่านคุณหญิงพูดเบาๆ “เหมือนฉันเคยได้ยินบริษัทนี้”
ครูใหญ่อยากให้เกียรติต่อเย่ฮวาง เพื่อการหาเงินทุนได้อย่างราบรื่นในอนาคต จึงถามขึ้นอย่างไม่มั่นใจ “ท่านคุณหญิงครับ ผู้รับผิดชอบกิจการก็อยู่ที่นี่ด้วย ท่านอยากพบไหมครับ?”
ท่านผู้หญิงยิ้ม “บริษัทที่กระตือรือร้นเช่นนี้แน่นอนว่าต้องอยากเจออยู่แล้ว”
เย่ชูวเสวียซ่อนตัวอยู่ในฝูงชนมานานรอคอยการปรากฏตัว เมื่อได้ยินแบบนี้หัวใจก็เบิกบานขึ้นมา เมื่อเห็นครูใหญ่กวักมือเรียก เธอจึงรีบก้าวไปด้านหน้า ยิ้มแล้วก้มแสดงความเคารพ “ท่านคุณหญิงสวัสดีค่ะ ฉันเป็นหนึ่งในกรรมของเย่ฮวางกรุ๊ป ชื่อเย่ชูวเสวียค่ะ”
ท่านคุณหญิงเคยเจอสาวๆสวยๆ มากมาย แต่ความงดงามที่ไม่ธรรดาเช่นนี้หาได้ยาก นัตน์ตาสีม่วงคู่หนึ่งเปรียบเสมือนอัญมณีที่เจิดจรัสที่สุดในโลก
“ช่างเป็นหญิงสาวที่งดงามมาก” ท่านคุณหญิงอุทานออกมา
เย่ชูวเสวียหน้าแดงเล็กน้อย “ขอบคุณสำหรับคำชมค่ะ ท่านคุณหญิงก็สวยงามมากเช่นกันค่ะ สวยกว่าทุกคนที่ฉันเคยเจอ”
ท่านคุณหญิงยิ้มอย่างสง่างาม “ปากหวาน ขอบคุณที่บริษัทของคุณมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือสังคม เปิดประตูสู่โลกใบใหม่ให้กับพวกเด็กๆ”
แม้ว่าเย่ชูวเสวียจะซุกซน แต่เมื่อเป็นเรื่องจริงจังก็ไม่ทำสะเพร่า เธอวางทางสวยงาม “ท่านคุณหญิง นี่คือสิ่งที่บริษัทเราควรทำ พ่อกับเราสอนเสมอ บริษัทไม่ได้รวบรวมเงินเพื่อให้มีชีวิตที่ร่ำรวยขึ้น แต่เพื่อให้มีความสามารถช่วยเหลือผู้คนที่ต้องการได้มากขึ้น ตราบใดที่เรามีจิตใจเมตตาทำสิ่งดีๆ เมื่อที่เรามีปัญหา ตอนนั้นจะได้มีคนมาช่วยเหลือเรา”
ท่านคุณหญิงเห็นแววตาสดใสของเธอ การพูดจาชัดเจน จึงรู้สึกชอบใจ “ที่คุณพ่อคุณแม่คุณพูดมาถูกต้อง”
คิ้วและดวงตาของเย่ชูวเสวียยิ้ม ประกบนิ้วมือเข้าด้วยกัน “ท่านคุณหญิง ฉันมีคำร้องขอเล็กๆน้อยๆค่ะ”
“คุณพูดมาสิ”
เย่ชูวเสวียกลายเป็นแฟนคลับตัวน้อย “ฉันขอถ่ายรูปกับคุณได้ไหมคะ? ฉันและแม่ชอบคุณมากเลยค่ะ ฉันจะเอาไปให้แม่ดู ท่านคงมีความสุขมาก”
ท่านคุณหญิงยิ้มแล้วหัวเราะ “ได้แน่นอน”
เย่ชูวเสวียหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าของเธออย่างมีความสุข คลิกที่ฟังก์ชั่นกล้องถ่ายรูป ต้องการหาคนถ่ายรูปให้ เมื่อมองเห็นคนรู้จักอยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าว เธอแทบจะกระโดดโล้ดเต้นด้วยความประหลาดใจ
กำลังจะส่งโทรศัพท์มือถือให้ แต่ต้วนอีเหยากลับส่ายหน้าให้เธอเล็กน้อย คำว่าไม่ได้ฉายอยู่ในแววตา เย่ชูวเสวียได้สติกลับมา พี่เสี่ยวกำลังปฎิบัติภารกิจ อย่าไปรบกวนเธอ จากนั้นจึงยื่นโทรศัพท์มือถือให้ครูใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆ
เย่ชูวเสวียยืนอยู่ข้างๆ ท่านคุณหญิงอย่างน่ารักน่าเอ็นดู รอยยิ้มสดใส ดวงตาสีม่วงคู่นั้นเป็นประกายแพรวพราว
หลังจากถ่ายรูปเสร็จ เย่ชูวเสวียโค้งคำนับขอบคุณ “ขอบคุณค่ะ นี่ต้องเป็นวันที่น่าจดจำที่สุดในชีวิตของฉันเลยค่ะ”
ท่านคุณหญิงยิ้ม “ฉันยินดีที่ได้รู้จักคุณเช่นกัน”
เวลาที่เหลือ เย่ชูวเสวียมุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ต้วนอีเหยา เห็นเธอติดตามท่านคุณหญิงตลอดเวลา ด้วยท่าทีระแวดระวังตัว ตอนนั้นจึงรู้ว่าวันนี้เธอเป็นบอดี้การ์ดของท่านคุณหญิง
พระเจ้า! หล่อจัง
ทำอย่างไรดี ในใจกำลังเป็นกังวลและตื่นเต้น เธออยากแจ้งให้พี่ชายทราบซะตอนนี้เลย
แต่ทางนั้นพี่ชายก็กำลังยุ่งกับเรื่องสำคัญอยู่เช่นกัน เธอจะรบกวนเขาไม่ได้
สิ้นสุดการเยี่ยมชม เย่ชูวเสวียยืนอยู่หน้าโรงเรียนคอยส่งพี่เสี่ยวและท่านคุณหยิงขึ้นรถ เมื่อรถขับออกไป เธอกระโดดโลดเต้นอยู่ตรงนั้นไปมาอยู่หลายครั้งด้วยความตื่นเต้น คนรอบข้างคิดว่าเพราะเธอได้ถ่ายรูปกับท่านคุณหญิง แต่ไม่รู้ว่าที่จริงแล้วเพราะเธอได้เจอต้วนอีเหยาต่างหาก
เย่ชูวเสวียถือโทรศัพท์ไว้ในมืออย่างสับสน ตอนนี้เธอควรบอกพี่ชายดีหรือไม่?
คิดแล้วคิดอีก สุดท้ายเย่ชูวเสวียก็ล้มเลิกความคิดนี้ไป ตอนนี้พี่ชายกำลังให้การต้อนรับแขกคนใหญ่คนโต หากไม่พูดแล้วถ้าเขารู้เรื่องนี้ล่ะ? แต่ตำแหน่งที่พี่เสี่ยวยืนอยู่นั้น ไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากจะเจอก็เจอได้
หรือคอยคุยกับเขาทีหลัง
อันที่จริงทันทีที่ต้วนอีเหยาเข้าในไปโรงเรียนคนหูหนวก เธอก็เจอเย่ชูวเสวียแฝงตัวแออัดอยู่ในฝูงชน เพียงแค่สายตาเธอจับจ้องอยู่ที่ท่านคุณหญิงเท่านั้น จึงมองไม่เห็นเธอ
ตอนแรกต้วนอีเหยายังสงสัยว่าเธอกำลังทำอะไร? ตอนหลังจึงได้รู้ว่าเธอแค่มาขอถ่ายรูป
ภายในรถ ท่านคุณหญิงพูดกับต้วนอีเหยา “สาวน้อยคนนั้นน่าสนใจดีนะ”
ต้วนอีเหยาเห็นด้วย “ค่ะ เธอน่ารักมาก”
“หน้าตาก็ดี นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ฉันได้เห็นคนที่มีดวงตาสีม่วง”
“ดวงตาสีม่วงหายากมากค่ะ”
ต้วนอีเหยาคิดในใจ ถ้าเย่ชูวเสวียรู้ว่าท่านคุณหญิงชมเธอนาดนี้ เธอคงมีความสุขราวกับได้ขึ้นสวรรค์แน่ๆ
ตามกำหนดการ ในช่วงบ่ายต้องไปเยี่ยมชมกลุ่มศิลปะอีกสองกลุ่ม และยังต้องไปกล่าวปาฐกถาที่มหาวิทยาลัย ตารางงานแน่นขนัด ดังนั้นอาหารกลางวันจึงเป็นอาหารง่ายๆ
ขึ้นชื่อว่าอาหารง่ายๆแต่มีฐานะ อยู่ที่ไหนล่ะ ไม่ง่ายเลยที่จะไปที่นั้น
ช่วงบ่ายก็ยุ่งอีกแล้ว ต้วนอีเหยาจึงรวบรวมสติให้อยู่กับเนื้อกับตัวมากที่สุด
ส่วนเย่จิงเหยียนก็ยุ่งเช่นกัน
เตรียมการมานานกว่าครึ่งเดือนเพื่อรอคอยไม่กี่สิบนาทีนี้ ผู้นำระดับสูงก็เหมือนกับคลื่นยักษ์
เมื่อก้าวเข้าสู่การประชุมเชิงปฏิบัติการการผลิตภัณฑ์ด้วยเทคโนโลยีที่มีความแม่นยำสูง ไม่เพียงเขาที่ประหม่า เขารับรู้ได้ถึงความกระตือรือร้นของพนักงานทุกคนกำลังท่วมท้น
“หัวหน้าค่ะ นี่คือผู้รับชอบของบริษัท เย่จิงเหยียนค่ะ” เลขานุการพรรคแนะนำ
เย่จิงเหยียนรีบยื่นมือออกไป “ท่านผู้นำสวัสดีครับ ยินดีต้อนรับท่านมาชี้แนะการทำงานของเรา”
ท่านผู้นำจับมือเขาแล้วปล่อย พูดชื่นชม “ผู้จัดการยังหนุ่มขนาดนี้เลยเหรอ?”
เลขานุการเอ่ยปากแทนเย่จิงเหยียน “ท่านอย่ามองว่าเขายังเด็กนะคะ ความสามารถของเขาเก่งกาจเลยทีเดียว”
“ท่านก็ชมเกินไปครับ ผมจะพาท่านไปแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ของเรานะครับ”
“ได้สิ”
ทันทีที่เข้าสู่อาณาเขตของตนเอง เย่จิงเหยียนก็นำความมั่นใจทั้งหมดกลับคืนมา ยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนวัยกลางคน เขาเป็นดาวที่เจิดจรัสที่สุดในท้องฟ้ายามค่ำคืนวันนี้ ไม่ว่าใครก็ไม่อาจหยุดแสงสว่างในตัวเขาได้
เย่จิงเหยียนพูดขึ้นอย่างมั่นใจแต่ไม่ได้โอ้อวด “นี่คือผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีล่าสุดของบริษัทเรา ฉลาดกว่าและได้รับการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมมากกว่าผลิตภัณฑ์ประเภทเดียวกันทั่วโลก ตอนนี้ขายไปยังประเทศในแถบยุโรปและอเมริกาเป็นหลัก ปริมาณการส่งออกต่อปีอยู่ที่ประมาณสองพันล้าน ขั้นต่อไปเราวางแผนที่จะขายไปทั่วโลก อย่างน้อยปีละสี่พันล้าน”
ท่านผู้นำพึงพอใจกับข้อมูลนี้มาก “คนหนุ่มสาวควรมีความใฝ่ฝันเช่นนี้ แต่เท่าที่ผมเฝ้าดูมาตลอด ดูเหมือนว่าที่นี่คนที่ทำงานทั้งหมดจะเป็นคนหนุ่มคนสาวนะ”
เย่จิงเหยียนยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นว่า “เป็นแบบนี้ครับ หลายบริษัทชอบใช้พนักงานที่มีประสบการณ์ แต่ผมชอบใช้พนักงานที่เพิ่งจบการศึกษาใหม่ๆ เพราะพวกเขามีความกระฉับกระเฉงคล่องแคล่ว และขยันมาก เพียงแค่ยังขาดโอกาสเท่านั้น ผมยินดีที่จะให้โอกาสนี้แก่พวกเขา แต่เบื้องต้นพวกเขาก็ต้องมีความสามารถมากพอ”