แสงแดดที่แจ่มใสทำให้ผู้คนมีความสุข จิงเหยียนผลักหน้าต่างออกและหายใจเข้าลึกๆ “อีเหยา พวกเราอยู่ที่นี่จนลูกคลอดเลยดีไหม?”
ต้วนอีเหยาก็พอใจกับที่นี่เป็นอย่างมากจึงพนักหน้าอย่างชื่นใจ “อืม….”
เย่จิงเหยียนหันมายิ้มให้ต้วนอีเหยา ด้านหลังของเขาคือท้องฟ้าสีคราม มีต้วนอีเหยาสะท้อนอยู่ในตาประกอบกันเป็นภาพที่สวยงาม
ต้วนอีเหยาและเย่จิงเหยียนเก็บของไว้ที่โรงแรมเสร็จก็เดินจูงมือกันออกมาจากโรงแรม
ประเพณีต่างประเทศ พวกเขาเดินเข้าไปในนั้น ทำให้รู้สึกผ่อนคลายไปทั้งตัว เมื่อเปลี่ยนจากความอึดอัดของการอยู่โรงพยาบาลในเมื่อก่อน
“โครก…..”แต่ ไม่นานก็มีเสียงที่ไม่เข้ากันมาทำลายบรรยากาศการอยู่ด้วยกันของทั้งสอง
“หิวแล้วเหรอ?” เย่จิงเหยียนจับมือต้วนอีเหยาและบิดที่ปลายจมูกเธออย่างเอ็นดู
“อืม…..” ต้วนอีเหยาพยักหย้าอย่างไม่พอใจ
ตั้งแต่ลงจากเครื่องก็ยังไม่ทันได้ทานอะไรเลย เธอไม่หิวแต่เด็กในท้องเธอก็ควรหิวแล้ว!
เย่จิงเหยียนดูออกว่าเธอลำบาก จึงจับมือเธอแน่น “ฉันรู้จักร้านอาหารทะเลอร่อยๆร้านหนึ่ง รสชาติไม่เลวเลย ผมจะพาคุณไปนะ!”
ดูเขาตื่นเต้นขนาดนี้ ต้วนอีเหยาก็ไม่กล้าที่จะปฏิเสธทำได้เพียงพยักหน้าเห็นด้วย จริงๆแล้วเธออยากทานอาหารจีน แต่เมื่อมาเที่ยวต่างประเทศแล้วความต้องการนี้อาจจะดูเหมือนยากไปหน่อย
พวกเขามาถึงร้านอาหาร ความคาดหมายของต้วนอีเหยานั้นคาดไม่ถึงเลยว่าร้านจะแตกต่างไปจากบริเวณรอบๆที่มีสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน การตกแต่งภายในร้านเป็นบรรยากาศแบบจีนๆ ลวดลายการแกะสลักของผนังกั้น ภาพวาดภูเขาและแม่น้ำธรรมชาติบนผนังเป็นการวาดด้วยการสะบัดน้ำหมึกในรูปแบบของจีน
“จิงเหยียน คุณแน่ใจนะว่าจะทานอาหารทะเลที่นี่?” การตกแต่งแบบนี้เหมือนเป็นการมาทานหม้อไฟเสียมากกว่า
เย่จิงเหยียนรีบเดาปฏิกิริยาของเธอ ตบที่หลังมือเธอเบาๆ “เจ้าของร้านนี้เป็นคนจีน เขาชอบทานอาหารทะเล แต่ก็รักความสวยงามของจีนโบราณด้วย ดังนั้นจึงมีความคิดแปลกๆหยิบเอาทั้งสองอย่างมารวมเข้าด้วยกัน”
มองต้วนอีเหยาหัวเราะจนเอามือปิดปากไม่ได้ด้วยความแปลกใจ เย่จิงเหยียนส่ายหัวอย่างจนปัญญา “โธ่คุณ มันจะมีอะไรแปลก ไป เข้าไปข้างในยังมีเรื่องแปลกกว่านี้!”
ต้วนอีเหยาตกตะลึงจนพูดไม่ออก เดินตามหลังเย่จิงเหยียนเข้าไปอย่างใจลอย พอเดินเข้าประตูก็มีคนเดินออกมาต้อนรับพวกเขา
“คุณชายเย่ คุณมาแล้ว!”
ดูเหมือนพนักงานวัยรุ่นจะคุ้นเคยกับเย่จิงเหยียนมาก่อนและพาเขาเดินไปขึ้นลิฟท์“ยังเอาเป็นห้องส่วนตัวเหมือนเดิมไหมครับ?”
เย่จิงเหยียนพยักหน้าตอบเสียงเข้ม “อืม”และจูงมือต้วนอีเหยาที่ไม่ได้พูดอะไร
พนักงานมองพวกเขาจับมือกันแน่นและไม่ได้พูดอะไรพร้อมขยิบตาให้กัน เหตุผลที่เธออยู่มาได้นานนั้นก็คงเป็นเพราะว่าเธอไม่พูดมากเกินไปและเธอมีความคิดเป็นของตัวเองไม่เหมือนอย่างคนอื่น
ลิฟท์เคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วและหยุดลง พนักงานพาเย่จิงเหยียนเดินโค้งไปเล็กน้อยก็หยุดลงตรงห้องส่วนตัว
ต้วนอีเหยาเงยหน้ามองอย่างตั้งใจ ห้องของร้านอาหารนี้จำลองตามโรงเตี๊ยมโบราณ ห้องที่พวกเขาหยุดลงมีป้ายมงคลแขวนอยู่ บนป้ายเขียนด้วยอักษรสมัยราชวงศ์ฮั่น : ห้องอักษรฟ้า
พอก้าวเข้าไป ก็เหมือนกับว่าพวกเขาได้เดินทางผ่านข้ามกาลเวลามาหลายร้อยปี ลวดลายแกะสลักที่บานหน้าต่าง การบรรจงวาดลงบนเก้าอี้และเวลาเดินบนพื้นไม้หนานมู่ยังมีเสียง “ตึง ตึง” ทั้งหมดนี้ทำให้ต้วนอีเหยาเหมือนตกอยู่ในความฝัน
“ขอโทษนะครับไม่ทราบว่าพวกคุณต้องการสั่งอะไรครับ?” พนักงานหยิบเมนูอาหารมาจากด้านหลังมันเป็นแผ่นไม้ไผ่โบราณ
ต้วนอีเหยารู้สึกว่าเป็นแนวความคิดใหม่มาก เธอจึงจับมันมาเล่น เย่จิงเหยียนก็รับเมนูที่พนักงานยื่นส่งมาให้ แต่กลับเอามาวางไว้ข้างๆ
“เอาเหมือนเดิมแล้วกัน เจ้านายพวกนายล่ะ?”
“เจ้านายออกไปธุระ วันนี้น่าจะกลับแล้วครับ ถ้าเขากลับมาให้มาหาไหมครับ?” พนักงานตอบโต้อย่างเป็นกันเอง ฉากแบบนี้เหมือนจะเกิดขึ้นกับเธอมาหลายครั้งแล้ว เธอไม่จำเป็นต้องคิดมาก
เย่จิงเหยียนโบกมือ “ไม่ต้องหรอก รีบไปเอาอาหารมาเถอะ”
พนักงานไม่ได้พูดอะไรอีก รับเมนูและเตรียมจะถอยออกไปเงียบๆ แต่ต้วนอีเหยายังดูเมนูไม่เสร็จ สายตายังไม่ละไปจากมือของพนักงาน
เย่จิงเหยียนหันไปมองเห็นภาพนี้ เขามองอย่างขบขันอยู่ครู่หนึ่งและพูดกับพนักงานว่า “เหลือเมนูไว้สักเล่มเถอะ”
พนักงานยิ้มบางๆและไม่ได้พูดอะไร เพียงทิ้งเมนูไว้แล้วก็ถอยออกไปและปิดประตูให้อย่างรู้ใจ
“อยากกินอะไร?” เย่จิงเหยียนขยับเข้าใกล้มองเธอพลิกหน้าแผ่นไม้ไผ่ มีรอยยิ้มบนใบหน้าและดวงตานิ่งไม่ไหวติง
ที่แท้เธอจะเปิดดูที่หน้าแรกมันเป็นหน้าแนะนำประวัติของร้านอาหาร ไม่คิดว่าเธอจะยังดูอยู่อย่างนั้นและยังไม่อยากละความสนใจไปจากมัน
“มีอะไรน่าดูฮะ?” เย่จิงเหยียนเฝ้าดูอยู่สักพักและสังเกตไม่เห็นความผิดปกติอะไร อดไม่ได้ที่จะอยากรู้ไปด้วยจึงถามออกมา
ต้วนอีเหยาเอียงศรีษะเพื่อสบตากับเย่จิงเหยียนและใบหน้าเธอนั้นแดงมาก “ไม่….ไม่มีอะไร”
แต่เย่จิงเหยียนรู้ว่านั้นเป็นเรื่องโกหก เขาจ้องไปที่ตาของต้วนอีเหยาและไม่ได้พูดอะไร หน้าของเธอแดงไปจนถึงต้นคอ
ต้วนอีเหยาก้มหน้าลงอย่ารวดเร็ว ชี้ไปที่มุมหนึ่งแล้วพูดว่า “สัญลักษณ์นี้ไม่เหมือนใครดีน่ะ เจ้าของร้านคิดเองเหรอ?”
เย่จิงเหยียนมองตามตรงที่เธอชี้อยู่สักพัก เพิ่งเห็นว่ามีสัญลักษณ์เล็กๆที่มุมล่างขวาเป็นตัวอักษรจีนแบบแปลกๆ
บนหน้าผากเขามีเส้นสีดำขึ้นสองสามเส้น คิดไม่ถึงเลยว่าสัญลักษณ์เล็กๆนี้จะดึงดูดให้ต้วนอีเหยามองอยู่นาน
“เจ้าของร้านออกแบบเอง”
เจ้าของร้านอีกแล้ว ต้วนอีเหยาอดไม่ได้ที่จะสงสัยและอยากพบหน้าเจ้าของร้านนี้ คนที่มีรสนิยมแบบนี้ ไม่รู้ว่าจะเป็นคนแบบไหน
“อย่าคิดถึงผู้ชายคนอื่นต่อหน้าผม!” เย่จิงเหยียนหันศรีษะของเธอเพื่อให้เธอมองมาที่ตัวเองตรงๆอีกครั้ง
ต้วนอีเหยาทำตัวไม่ถูก “ฉันไม่ได้คิดถึงเขา ฉันแค่อยากรู้ว่าเขาเป็นคนแบบไหน”
“นั่นก็ไม่ได้”
“โอเค ไม่คิดแล้ว” ต้วนอีเหยายอมอ่อนข้อให้
ตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ความต้องการจะเป็นเจ้าของนั้นนับวันยิ่งรุนแรงมากขึ้น การขอให้เธอห้ามทำนี้ห้ามทำนั้นมักจะไม่มีเหตุผลอยู่เสมอ
ทั้งสองกำลังคุยกัน มีเสียงเคาะประตูเกิดขึ้น เย่จิงเหยียนหยุดพูดและเงยหน้า “เข้ามา”
ประตูถูกเปิดออกจากข้างนอก คนกลุ่มหนึ่งยกจานอาหารเดินเข้ามาตามลำดับ บนจานเป็นอาหารทะเลรูปแบบต่างๆ ทุกๆอย่างต้วนอีเหยาทั้งเคยเห็นและไม่เคยเห็น ทั้งหมดนั้นวางอยู่ตรงหน้าเธอ
วางจานอาหารเสร็จ พนักงานเห็นว่าไม่มีคำสั่งอะไรเพิ่มเติมก็ค่อยๆพากันเดินเรียงแถวออกไปเหมือนตอนเข้ามา
“อีเหยา คุณหิวแล้วใช่ไหมเดี๋ยวผมช่วยแกะเปลือกให้นะ”
เย่จิงเหยียนหยิบเอาปูตัวเท่าชามมาหนึ่งตัว ทั้งแกะเปลือกทั้งพูดและยิ้มจนตาหยีให้เธอ
ภายในเวลาอันรวดเร็วและง่ายดายปูหนึ่งตัวนั้นก็เหลือไว้แต่เนื้อ เย่จิงเหยียนเอาเนื้อทั้งหมดจัดใส่ชามให้ต้วนอีเหยาและตั้งหน้าตั้งตารอเธอกิน “ชิมเลย”
ต้วนอีเหยาพยักหน้า หยิบเนื้อปูชิ้นหนึ่งขึ้นมาใส่ปาก แววตาสว่างสดใสขึ้นทันที “อร่อย!”
เธอไม่ได้พูดอย่างขอไปที ปูนี้อร่อยมากจริงๆ ไม่ต้องปรุงมากเกินไปแค่ต้มง่ายๆแบบนี้คงรสชาติเดิมไว้ ไม่เหมือนกับที่มนุษย์เลี้ยงไว้เองคือมีกลิ่นคาวที่รุนแรงมาพร้อมกับความหวานของตัวมันเอง
เย่จิงเหยียนเห็นรอยยิ้มของเธอก็รู้สึกพอใจไปด้วย เขาหวังว่าของที่เขาชอบกินมาตลอดจะทำให้เธอยอมกินได้และจะทำให้เธอชอบด้วย เช่นนี้แล้วของอร่อยก็ยิ่งกลายเป็นของที่อร่อยมากขึ้น
ถัดมาก็ยังเป็นอาหารทะเลอีกสองสามอย่าง ทุกอย่างนั้นทำให้ต้วนอีเหยาชมไม่ขาดปาก เธอโตมาตั้งนานเพิ่งจะรู้ว่าอาหารทะเลในเมื่อก่อนนั้นเป็นการกินเสียเปล่า
อาหารทะเลเหล่านี้ถูกเก็บรักษาให้สดใหม่ด้วยวิธีดั้งเดิม ทั้งหมดนี้แตกต่างจากการต้มด้วยพริกและปรุงด้วยผงชูรส
ต้วนอีเหยาทานอย่างเอร็ดอร่อยทำให้เย่จิงเหยียนที่แกะเปลือกอยู่ข้างๆพอใจมาก แม้ว่าเขาจะไม่ได้ทานอาหารทะเลสักคำ
“ก๊อกก๊อกก๊อก”
ภายในห้องที่มีคนอยู่สองคน คนหนึ่งกำลังทานอย่างอร่อย คนหนึ่งกำลังแกะอย่างขยันขันแข็ง อยู่ๆก็มีเสียงเคาะมาจากประตู
เย่จิงเหยียนมองอาหารที่อยู่บนโต๊ะอย่างคร่าวๆที่แทบจะมาครบเรียบร้อยแล้ว เขาไม่รู้ว่ายังมีอะไรที่ยังไม่มาเสิร์ฟ
“เข้ามา”
คราวนี้ประตูไม่ได้ถูกผลักเข้ามาเลย แต่เป็นการตัดสินใจอยู่นาน เย่จิงเหยียนแทบหมดความอดทนรอก่อนจะมีการเคลื่อนไหวเล็กน้อย
คนที่อยู่ข้างนอกเข้าใจอารมณ์ของเย่จิงเหยียนดี ตอนเขากระวนกระวายจนจะเป็นบ้านั้นถึงเพิ่งจะเดินกรีดกรายเข้ามาเพื่อดูสีหน้าที่แท้จริงของเขา
“คุณชายเย่ คุณยังเหมือนเดิมเลยนะ!” ชายสวมชุดขาวเดินเข้ามาจากด้านนอกประตูราวกับชุดคลุมสีขาวในสมัยสาธารณรัฐจีนและยังเดินมาพร้อมกับลม
ต้วนอีเหยาหัวหน้าไปมอง เห็นเขามาถึงอย่างสง่างาม มองข้ามหน้าตาเดิมของเขาไป เธอนึกว่านั่นเป็นเป็นภาพของการขับไล่เทพให้ลงมาเกิด
เย่จิงเหยียนไม่พอใจกับปฏิกิริยาของเธอจึงไอออกมาทีหนึ่ง แต่คำพูดนั้นกลับมุ่งเป้าไปที่คนเดินเข้ามา “นายจะมาก็มา ไม่ต้องมาล่อลวงใจคนอื่น”
“ไม่อย่างนั้นจะเรียกความสนใจจากสาวสวยคนนี้ได้อย่างไรล่ะ?”
เขาเดินทางที่ข้างต้วนอีเหยายิ้มให้เธออย่างอบอุ่น จากนั้นก็เลื่อนเก้าอี้นั่งลงอีกด้านหนึ่งของต้วนอีเหยา
“นายระวังหน่อย” หน้าของเย่จิงเหยียนมีความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัดและยังคงควบคุมอารมณ์อย่างสุดความสามารถ
แต่เขากลับเอาแต่สนใจมองต้วนอีเหยาและถามเย่จิงเหยียนต่อว่า “ใครๆก็ชอบของสวยๆงามๆทั้งนั้น สาวน้อยคนสวยนี้เป็นใคร ฉันไม่เคยเห็นมาก่อนได้อย่างไร”
“อี้เทียนเฉิง!”
ในที่สุดเย่จิงเหยียนก็ทนต่อไปไม่ไหว เขากัดฟันด้วยความโมโหและเรียกชื่ออี้เทียนเฉิงออกมา ขณะเดียวกันเขาก็โอบเข้าที่ไหล่ของต้วนอีเหยาเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ
“ฮ่าฮ่าฮ่า…….”
อี้เทียนเฉิงปรบมือหัวเราะขำกลิ้ง “นายนี้ตลกจริงๆ แหย่นายได้สำเร็จมันสนุกกว่าการทำธุรกิจเยอะเลย”
“ทั้งวันไม่รู้ไปเดินเล่นอยู่ที่ไหน ฉันว่านายเปิดร้านนี้ต่อไม่ได้แล้วล่ะ!” เย่จิงเหยียนจ้องมองเขาอย่างโหดเหี้ยมและสายตาเต็มไปด้วยความระแวดระวัง
“ทำไม นายอยากซื้อกิจการต่อเหรอ?” อี้เทียนเฉิงไม่ได้สนใจอะไรและหันไปแกะกุ้งอย่างใจเย็น
“ถ้ามันจำเป็น ฉันจะรับพิจารณา”
รอยยิ้มบนหน้าอี้เทียนเฉิงหยุดลงชั่วขณะ จากนั้นก็ขยับมือต่อโดยเร็ว “เถ้าแก่เย่ ร่ำรวยจริงๆ เป็นเกียรติแก่ฉันมากที่ร้านเล็กๆนี้เข้าตาคุณได้”
เย่จิงเหยียนเว้นระยะห่างระหว่างเธอกับเขาและประโยคก่อนหน้านี้เขาก็ไม่ได้แย้งอะไร พอเขามาทีไรก็ชอบที่จะหาเรื่องใส่ตัว เย่จิงเหยียนชินมานานแล้ว
“ฉันหายใจไม่ออก” ต้วนอีเหยาถูกละเลยจากพวกเขาโดยสิ้งเชิง ในที่สุดเธอก็หาช่องว่างได้ จึงรีบพูดกับเย่จิงเหยียน
เย่จิงเหยียนได้ยินคำเรียกร้องของต้วนอีเหยา จึงปล่อยออกนิดหน่อยแต่ก็ยังคงโอบไว้อยู่
อี้เทียนเฉิงเริ่มมองต้วนอีเหยาอย่างละเอียด เห็นว่าเธอก็เป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาทั่วไป ขณะเดียวกันเขาไม่เข้าใจเย่จิงเหยียนว่าทำไมเธอถึงดูมีค่ามากขนาดนี้
ภายในห้อง ตั้งแต่อี้เทียนเฉิงมา ก็ค่อนข้างรู้สึกอึดอัดและต้วนอีเหยาก็ไม่สบายใจที่ถูกเขามองอย่างพิจารณาจึงหันไปมองทางเย่จิงเหยียน
“ตกลงแกมีเรื่องอะไร? ถ้าจะกินก็กิน ไม่กินก็ออกไป” เย่จิงเหยียนรู้สึกได้ถึงแววตาขอความช่วยเหลือจากต้วนอีเหยาและความไม่สบายใจต่อคำพูดอี้เทียนเฉิง
“นายจะไม่แนะนำคุณผู้หญิงนี้หน่อยเหรอ !” อี้เทียนเฉิงยังคงทานอาหารอย่างสบายใจเหมือนกับอยู่บ้านของตัวเองปกติ
เย่จิงเหยียนมองเขาอย่างเย็นชาและเริ่มแนะนำสั้นๆ “นี่คือต้วนอีเหยา คู่หมั้นฉันเอง”
“อ้อ! สวัสดีพี่สะใภ้ ผมชื่ออี้เทียนเฉิงเป็นเจ้าของร้านนี้”
พออี้เทียนเฉิงได้ยินว่าเป็นคู่หมั้นของเย่จิงเหยียน ก็รีบเรียกว่าพี่สะใภ้และยังยื่นมือขวาออกไปด้วย
พี่สะใภ้?
ครั้งแรกที่ได้ยินเรียกแบบนี้ แม้แต่เย่ชูวเสวียก็ยังไม่เคยเรียกเธอแบบนี้ ขณะที่ต้วนอีเหยาหน้าแดง เธอก็ยื่อมือออกไปจับมือกับอี้เทียนเฉิงอย่างเขินอาย
แต่อี้เทียนเฉิงกลับไม่ยอมปล่อยมือและยิ้มให้เธออย่างมีเลศนัย
เย่จิงเหยียนที่มองอยู่ข้างๆอดไม่ได้ที่จะโมโห “อี้เทียนเฉิง ตกลงแกคิดจะทำอะไร?”
“ฉันก็แค่อยากเห็นว่าพี่สะใภ้ของฉันหน้าตาเป็นอย่างไร”
“งั้นทำไมแกยังไม่ปล่อยมือ?”
“นี้มันเป็นมารยาท!”
อี้เทียนเฉิงหันไปพูดสิ่งที่มันแน่นอนอยู่แล้ว “ประเทศจีนคือมารยาทการจับมือ แต่ต่างประเทศคือมารยาทการจุ๊บที่หน้า ฉันกำลังคิดว่าต้องจุ๊บไหมและถ้าเกิดนายตีฉันจนพิการแล้วร้านนี้จะเป็นอย่างไร?”
“แกก็รู้หนิว่าฉันจะตี จะบอกไว้ให้นะ ความอดทนของฉันมันถึงขีดสุดแล้ว ถ้ายังไม่ปล่อยมืออีกเตรียมรับผลที่ตามมาได้เลย”
แววตาเย่จิงเหยียนนั้นอำมหิตและพร้อมขยับมือได้ทุกเมื่อ อี้เทียนเฉิงรู้ว่าถ้ายังไม่ปล่อยมืออีก อาจจะถูกเขาจับหักมือจริงๆ จึงปล่อยมือตัวเองด้วยความแค้นใจ
ต้วนอีเหยาถอนหายใจและรีบหันหน้าทันที แต่ยังมีมารยาทยิ้มให้อี้เทียนเฉิง แม้เย่จิงเหยียนที่อยู่ข้างๆไม่ชอบใจแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
“แกเพิ่งไปไหนมา?”
เย่จิงเหยียนและต้วนอีเหยาเปลี่ยนที่นั่งกัน เขาแกะกุ้งให้เธอและถามอี้เทียนเฉิงไปด้วย
เมื่อได้ยินเขาถาม หน้าอี้เทียนเฉิงก็หดลงเล็กน้อย “บริษัทพ่อฉันมีปัญหานิดหน่อยน่ะ”
“แก้ยาก?” ไม่อย่างนั้น เขาจะแสดงสีหน้าแบบนี้ได้อย่างไร?
“นิดหน่อย แม่เลี้ยงฉันโอนเงินทุนไปมากกว่าครึ่ง คาดว่าจะหมุนเงินไม่ทันเร็วๆนี้”
ได้ยินเขาพูดขนาดนี้ เย่จิงเหยียนอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เงินทุนมากกว่าครึ่งทำให้บริษัทล้มลงได้ทันทีจริงๆ เหตุผลที่ทางบ้านอี้เทียนเฉิงประคับประคองมาได้จนถึงทุกวันนี้ เดาได้เลยว่าเงินที่เขาสู้หามาจากด้านนอกก็คงจะถูกทุบเอาไปด้วย
“ตอนนี้ตาแก่ก็เป็นโรคหัวใจ ฉันกลับมาวันนี้กำลังคิดว่าจะต้องขายร้านนี้ไหม”
“ถ้าเป็นอย่างที่นายว่าจริงๆ งั้นขายแค่ส่วนที่ไม่กระทบกับอะไร” เย่จิงเหยียนส่ายหัวไม่เห็นด้วย มีเพียงเขาที่จะสร้างความรู้สึกให้กับร้านนี้ได้ เปลี่ยนให้คนอื่นทำ กลัวว่าพวกเขาจะทำให้ทั้งหมดกลายเป็นไม่เข้ากัน
“งั้นก็ไม่มีวิธีอื่นแล้ว”
อี้เทียนเฉิงขมวดคิ้วเป็นปม ไม่ได้มีชีวิตชีวาเหมือนก่อนหน้านี้ เสื้อคลุมบนตัวเขาตั้งตรง แต่ต้วนอีเหยาเห็นภาพลวงตาขึ้นมาแวบหนึ่งคิดว่าตัวเขานั้นงอลง
“ถ้าเป็นอย่างที่แกพูดจริงๆ คือแม่เลี้ยงเอาเงินไปแล้ว นั่นก็ไม่ใช่ว่าไม่มีวิธี”