เย่ชูวเสวียใช้ประโยชน์จากตอนที่รถอยู่ในเกียร์ว่างนี้ รีบเข้าไปในรถและบอกคนขับว่า “อย่าเปิดประตู รีบขับรถออกไป!”
เมื่อคนขับได้ยินคำสั่งของเธอ เขาก็พยักหน้าแล้วสตาร์ทรถและกลับรถทันที
“เอ๊ะ?”
ต้วนจื่ออิ๋งถูกทิ้งไว้ที่ลานจอดรถและรถก็แล่นผ่านข้างๆเธอไป เธอรีบถอยหลังไปสองสามก้าวยืนดูรถที่ค่อยๆห่างจากเธอไปมากขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นเธอก็กระทืบเท้าลงพื้นอย่างดุดัน
ต้วนอีเหยาที่นั่งอยู่ในรถมองกลับไปเพื่อให้แน่ใจว่าเธอไม่ได้รับบาดเจ็บ จากนั้นก็หันกลับไปมองด้านหน้า
เย่ชูวเสวียตรวจดูกระโปรงในกระเป๋าของเธออย่างมีความสุข ครั้งนี้เธอไม่ได้ช้อปปิ้งอย่างเต็มที่ แต่เธอก็ได้ของมามากมาย
กลับมาถึงบ้านตระกูลแย่ อาหารเย็นก็เตรียมพร้อมเสร็จแล้ว เย่จิงเหยียนกำลังนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นเพื่อรอให้พวกเขากลับมา เมื่อได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวของประตู เย่จิงเหยียนก็เงยหน้าขึ้นและเห็นว่าต้วนอีเหยาไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆจึงทำให้เขารู้สึกโล่งใจ
มู่เวยเวยและเย่ฉ่าวเฉินกำลังเจรจาเรื่องบางอย่าง เมื่อต้วนอีเหยาเข้ามาใกล้มู่เวยเวยก็รีบโบกมือเรียกเธออย่างรวดเร็ว
ต้วนอีเหยานั่งลงอย่างสงสัยและถามว่า “มีอะไรเหรอคะ?”
“เราเจรจาวันมงคลไว้สามวัน เลยอยากคุยกับเธอ”
ในขณะที่พูดมู่เวยเวยก็หยิบปฏิทินจันทรคติออกมาหนึ่งเล่ม มีวงกลมเล็กๆหลายวงวาดอยู่บนนั้น บางอันถูกลบทิ้งไปแล้ว บางอันมีคำอธิบายประกอบ ท้ายสุดก็มีวงกลมสามวงที่สำคัญมีสัญลักษณ์ห้าดาวประดับไว้
ต้วนอีเหยามองเพียงพริบตาและพูดว่า “หนูได้หมด พวกคุณตัดสินใจกันได้เลยค่ะ”
เธอกำลังจะคืนปฏิทินจันทรคติแต่เย่จิงเหยียนเอื้อมมือไปหยิบมันมาดู ชี้ไปในวันที่ใกล้ที่สุดแล้วพูดว่า “วันนี้แล้วกัน!”
“นี้มันดูรีบไปหรือเปล่า?” มู่เวยเวยขมวดคิ้ว เธอไม่เห็นด้วยกับการจัดงานแต่งงานที่เร่งรีบเกินไป ยังไงมันก็เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตควรพิจารณาอย่างรอบคอบ
เธอถูกใจวันที่สองที่สุด ไม่ใกล้ไม่ไกลแถมยังมีเวลาได้เตรียมตัวและไม่ต้องให้พวกเขารอนานเกินไป
แต่เย่จิงเหยียนส่ายหัว เวลานี้อีเหยายังสามารถใส่ชุดแต่งงานสวยๆได้ หากใช้เวลานานกว่านี้อาจได้รับผลกระทบเอาได้
มู่เวยเวยลองคิดๆเรื่องนี้ดูแล้วก็เห็นด้วยเช่นกัน สำหรับครอบครัวของพวกเขาข่าวลือและข่าวซุบซิบนินทานั้นเป็นเรื่องที่เยอะที่สุด แม้ว่าเรื่องท้องก่อนแต่งจะไม่ใช่เรื่องใหญ่โต แต่ถ้าข่าวแพร่กระจายออกไปต้วนอีเหยาอาจจะได้รับผลกระทบนั้นได้
เธอพูดอย่างประนีประนอม “วันนี้ก็วันนี้ แต่พวกเธอจะทำแบบขอไปทีไม่ได้นะ!”
ตลอดเวลาเย่ชูวเสวียไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องและอดไม่ได้ที่จะชะโงกหัวมอง “โอ้ ตกลงเป็นวันไหน ฉันยังมองไม่เห็นเลย!”
“มันไม่ใช่ธุระของเธอสักหน่อย ไปกินข้าว” เย่จิงเหยียนหันหัวของเธอกลับไปแล้วพูดพร้อมกับชี้ไปที่โต๊ะอาหาร
คำพูดของเขาทำให้เตือนทุกคนว่าควรมีสติกลับมาแล้วไปรวมตัวกันที่โต๊ะอาหาร
หลังจากที่เย่ชูวเสวียเดินช้อปปิ้งไปหลายชั่วโมงทำให้เธอรู้สึกหิวมานานแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะต้วนจื่ออิ๋ง พวกเขาคงจะกินข้าวข้างนอกก่อนที่จะกลับมา
เมื่อเห็นอาหารบนโต๊ะก็รอไม่ไหวที่จะหยิบตะเกียบขึ้นมา “เอ๊ะ พี่ใหญ่พี่ไม่ผิดสัญญาจริงๆด้วย!”
อาหารที่อยู่เต็มโต๊ะเกือบทั้งหมดเป็นอาหารที่เย่ชูวเสวียชอบ ได้กินนี้ต่อเนื่องมาหลายวันแล้วถ้าไม่ใช่เพราะกินข้าวเธอคงจะลืมมันไปแล้ว
เย่จิงเหยียนเลิกคิ้วเขาเป็นคนพูดก็จริงแต่ยังต่อเนื่องแบบนี้หายากจริงๆ มู่เวยเวยและเย่ฉ่าวเฉินไม่มีข้อเรียกร้องอะไรในเรื่องการกิน ดังนั้นจึงปล่อยให้เธอไป
ทุกคนกำลังขยับตะเกียบ บางครั้งเมื่อนึกบางอย่างออกก็จะเงยหน้าขึ้นพูดสองสามประโยค มีเพียงต้วนอีเหยาที่ถือตะเกียบไว้โดยไม่รู้ว่าจะเริ่มกินจากตรงไหนดี
แม้ว่าตอนเดินช้อปปิ้งอาหารจะย่อยไปบ้างแล้วแต่ท้องของเธอก็ยังอิ่มอยู่ เมื่อเห็นของเลี่ยนๆ เหล่านี้เธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอยากอาเจียน
แน่นอนว่าความแตกต่างของเธอดึงดูดความสนใจของคนอื่นๆเข้าแต่ไม่มีใครเปิดประเด็นพูดออกมา เย่จิงเหยียนคีบมะเขือม่วงให้เธอแล้วถามว่า “เป็นอะไรไป?ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?”
ต้วนอีเหยาแสร้งทำเป็นยิ้ม “ไม่ใช่ ตอนบ่ายฉันกินเยอะเกินไปหน่อย ตอนนี้เลยกินไม่ค่อยลง!”
เธอไม่อยากทำอะไรที่ดูใหญ่โตอีก เกรงว่าคนอื่นจะบอกว่าเธอเว่อร์เกินไป
เย่จิงเหยียนพยักหน้า “ถ้างั้นก็กินสักหน่อยก็พอ ไม่งั้นจะได้รับสารอาหารได้ยังไง”
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่แล้ว ตอนนี้บนโต๊ะอาหารก็เงียบลง มีเพียงพวกเขาสองคนที่กำลังคุยกัน ต้วนอีเหยายิ้มและกินเนื้อในชาม กลิ่นของมันอบอวลอยู่ในปากของเธอ ท้องของเธอก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมา สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะวิ่งไปทางห้องน้ำ
“แหวะ……”
เย่จิงเหยียนวิ่งตามเธอไปและลูบหลังให้ต้วนอีเหยาอย่างอ่อนโยน
มู่เวยเวยที่นั่งอยู่บนโต๊ะอาหารมองไปทางห้องน้ำอย่างเป็นห่วง“ถ้าเป็นแบบนี้จะทำยังไงดี?เนื้อสัตว์ก็กินไม่ได้เลย จะมีสุขภาพที่ดีได้ยังไง?”
ในช่วงบ่ายวันนี้เธอให้ต้วนอีเหยากินผลไม้ไปบ้าง เธอไม่ได้แตะต้องเนื้อสัตว์เลยด้วยซ้ำ หากยังเป็นแบบนี้ต่อไปจะทำให้เกิดความไม่สมดุลทางโภชนาการอย่างรุนแรงได้ ซึ่งไม่ดีต่อเธอและทารกในครรภ์แน่นอน
เย่ชูวเสวียไม่ค่อยเข้าใจ “ถ้ามันไม่โอเคก็ไม่ต้องกินแล้วจะได้ไม่ทำให้ตัวเองลำบาก”
แต่มู่เวยเวยก็เริ่มจริงจังขึ้นทันที “ตอนนี้ลูกยังเป็นเด็ก ไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง?”
เมื่อเย่ชูวเสวียถูกเธอพูดเช่นนั้นเธอก็ก้มหัวแล้วแลบลิ้นออกมา เด็กก็เด็กเถอะก็ไม่เห็นเป็นไร
ทั้งสองกำลังดุเดือด ต้วนอีเหยาและเย่ชูวเสวียก็กลับมาที่นั่งของพวกเขาอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าไม่มีใครกินข้าวแล้วก็รู้สึกสงสัยเล็กน้อย “เกิดอะไรขึ้น?”
เย่ชูวเสวียและมู่เวยเวยต่างไม่พูด ในที่สุดเย่ฉ่าวเฉินก็พูดออกว่า “ไม่มีอะไร กินเยอะไปหน่อยเลยทะเลาะกันบ้างจะได้ย่อยง่าย”
มุมปากของต้วนอีเหยากระตุก ทำไมคำพูดเหล่านี้มันไม่เหมือนออกจากปากของเย่ฉ่าวเฉินเลย?
หลังจากที่เธออาเจียนไปบ้างก็รู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อยและกินอาหารเบาๆไปสองคำเธอก็เลิกกินและเตรียมลุกจากโต๊ะ
“เรากลับห้องกันเถอะ”ต้วนอีเหยาพูดข้างๆหูของเย่จิงเหยียน
ทุกคนได้ยินอย่างชัดเจน แน่นอนว่าไม่มีข้อยกเว้น ต้วนอีเหยาคิดว่าตัวเองพูดเบามากพอที่จะไม่ให้ใครได้ยิน
เย่ชูวเสวียที่ขาดความอดทน ใบหน้าของเธอก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มติดตลกออกมา
มู่เหวยเวยส่ายหัวเล็กน้อย ชายหนุ่มนี้มันฮึกเหิมจริงๆแต่นี้พึ่งจะสองเดือนเอง กลัวว่าจะทำเรื่องแบบนั้นไม่ได้มั้ง
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เธอจึงรีบดึกเย่จิงเหยียนไปข้างๆและเตือนสติว่า “เธอต้องการอะไรลูกก็ต้องรู้วิธีปฏิเสธ อย่าฟังเธอทุกอย่างควรยึดร่างกายเป็นหลัก!”
การแสดงออกบนใบหน้าของเย่จิงเหยียนนิ่งลง พวกเขาเข้าใจผิดกันหมดแล้ว จังหวะแบบนี้เขาจะ …
อีกอย่างอีเหยาก็ไม่ได้กำลังหมายความว่าอย่างนั้น เธอแค่ขอให้กลับไปที่ห้องเป็นเพื่อนเธอเฉยๆ พวกเขาแสดงละครเรื่องใหญ่ในหัวเอง
เย่จิงเหยียนตบไหล่มู่เวยเวยเบาๆ “แม่วางใจเถอะ! ไม่ใช่อย่างที่พวกคุณคิด!”
“ถ้างั้นก็ดีแล้ว!” มู่เวยเวยฟังเขาพูดแบบนี้ก็รู้สึกโล่งใจ
พอหันกลับไปก็นึกอะไรบางอย่างได้แล้วหันหน้ามาพูดว่า “ถ้าใช่ก็ไม่เป็นไรหรอก คนหนุ่มสาวใครไม่เคยเป็นแบบนี้กัน แต่ก็ควรคำนึงถึงปลอดภัยด้วย”
เย่จิงเหยียนทำอะไรไม่ถูกและขี้เกียจที่จะอธิบายจึงพาต้วนอีเหยาขึ้นไปชั้นบนทันที หลงเหลือเพียงแค่สายตาที่สับสนของพวกเขา แม้แต่ต้วนอีหยาที่ไม่ค่อยตอบสนองก็ยังทำให้เธอรู้สึกเย็นไปทั้งหลัง
วันแต่งงานของทั้งสองกำลังใกล้เข้ามาแล้ว จริงๆแล้วต้วนอีเหยามีท่าทีที่ดูเฉยเมยมากก็คิดแค่ว่าไม่ได้มีอะไร แต่คนอื่นๆในบ้าน ยิ่งใกล้เวลามากขึ้นเท่าไหร่พวกเขาก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นเท่านั้น
ตั้งแต่มีประสบการณ์ในการแต่งงานครั้งก่อน ทุกคนเลยไม่อยากให้เกิดอะไรขึ้นในครั้งนี้อีก ดังนั้นพวกเขาจึงเตรียมตัวอย่างระมัดระวัง
โดยเฉพาะเย่จิงเหยียน เขารู้สึกว่าต้วนจื่ออิ๋งจะมาที่นี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่เรื่องงานแต่งพวกเขาพึ่งตัดสินใจกันเธออาจจะไม่รู้
พอคิดแบบนี้ก็จัดการสถานที่บริเวณงานแต่งอีกรอบและเพิ่มคนลาดตระเวนขึ้นมาเป็นจำนวนมาก
“วันนี้เป็นวันรับชุดแต่งงานพวกเธอไปก่อนเถอะ ที่นี้มีพวกเราก็พอแล้ว” มู่เวยเวยเดินไปตบไหล่เย่จิงเหยียนพร้อมกับพูดขึ้น
เย่จิงเหยียนและต้วนอีเหยามองหน้ากันแล้วเตรียมตัวหันหลังจากไป
ส่วนเย่ชูวเสวียทางนี้รู้สึกเบื่อที่นี่เช่นกัน หลังจากเหม่อไปได้สักพักเธอก็บอกมู่เวยเวยแล้วขับรถกลับบ้านเองคนเดียว
เย่ชูวเสวียกำลังขับไปบนถนนได้สักพัก เมื่อถึงทางกลับรถเธอรู้สึกว่ามีบางอย่างขวางตาเธอ เธอจึงรีบเอื้อมมือไปเพื่อจะเอามันออก ในขณะนั้นก็มีเงาดำปรากฏอยู่ตรงหน้าเธอ
เธอรีบเหยียบเบรกอย่างรวดเร็วแล้วปลดเข็มขัดนิรภัยออกและวิ่งลงไปดู พบว่าเป็นหญิงชราอายุประมาณเจ็ดสิบปี
“คุณยาย เป็นอะไรไหมคะ?” เย่ชูวเสวียประคองเธอขึ้นอย่างเป็นห่วง แต่แรงของเธอไม่มากพอและหญิงชราเองก็หนักเกินไป เธอไม่ทันทรงตัวกลับมาหญิงชราก็กลับมานั่งใหม่อีกครั้ง
“โอ้ย!” หญิงชราร้องด้วยความตกใจ ทันใดนั้นก็มีผู้คนมากมายมารุมล้อมเอาไว้
พวกเขาทั้งหมดเริ่มตะโกนอย่างพร้อมเพรียงกันและทุกคนที่อยู่ใกล้ที่เกิดเหตุต่างสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น
ในพริบตา เย่ชูวเสวียก็ล้อมแน่นจนแม้แต่น้ำหยดเดียวก็ผ่านเข้าไปไม่ได้ หญิงชราที่นั่งอยู่บนพื้นก็ร้องออกมา เธอก็กังวลขึ้นมาจนไม่รู้ว่าต้องทำยังไง
“รบกวน หลบหน่อยค่ะๆ!”
อาการบาดเจ็บของหญิงชราดูๆแล้วก็สาหัสเหมือนกัน แม้ว่าเธอจะไม่รู้แน่ชัดว่าได้รับบาดเจ็บตรงไหนบ้างและมองไม่เห็นว่ามีเลือดออกตรงไหน แต่กลุ่มคนเหล่านี้ล้อมรอบพวกเขาไว้จะให้เธอพาหญิงชราไปโรงพยาบาลได้อย่างไร?
“ชนคนแล้วยังอยากหนี?” คนแรกที่มาล้อมรอบชี้มาที่เธอและเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธ “คนหนุ่มสาวสมัยนี้ไม่มีคุณสมบัติที่ดีเลยหรือไง?ทุกคนจับตาดูเธอไว้ อย่าปล่อยให้เธอหนีไป!”
อีกคนก็เห็นด้วยและพูดว่า “ใช่ ยังไงคุณก็ต้องชดใช้ความเสียหายอยู่ดี ไปแบบนี้เลยหมายความว่าไง?
เย่ชูวเสวียโบกมือด้วยความกังวล “ไม่ใช่ ฉันไม่ได้คิดจะหนี ฉันแค่อยากพาคุณยายไปโรงพยาบาล”
“ใครจะรู้ว่าที่คุณพูดใช่เรื่องจริงหรือเปล่า ถ้าเกิดพวกเราแยกย้ายกันหมดแล้วคุณก็กระโดดขึ้นรถแล้วหนีไปจะทำยังไง?”
“ไม่มีทางแน่นอน อีกอย่างพวกคุณคนเยอะขนาดนี้ ถ้าฉันอยากหนีก็หนีไม่พ้นหรอก!” เย่ชูวเสวียมองหญิงชราคร่ำครวญตรงพื้น เสียงเธออ่อนลงเรื่อยๆ เธอตื่นตระหนกจนแทบจะร้องไห้ออกมา
“พวกคุณก็ปล่อยเราออกไปเถอะ เธอดูสาหัสมาก!”
แต่คนรอบข้างกลับไม่มีใครหลบทางให้เลย คนที่มาก่อนก็ยังโวยให้เธอชดใช้เงิน
“ฉันจะชดใช้แน่นอน แต่ตอนนี้คนในครอบครัวของเธอไม่อยู่ รอพวกเขามาฉันจะชดใช้เอง!”
เย่ชูวเสวียกล่าวด้วยเสียงร้องไห้ ทั้งพูดและปลอบหญิงชราไปด้วย “ไม่เป็นไรนะ หนูจะหาหมอที่ดีที่สุดมารักษาคุณ!”
“หลบไปๆ!” ในเวลานี้มีคนเบียดเข้ามาจากฝูงชน
ชายคนนั้นร่างสูงใหญ่และแข็งแรง เมื่อเขาเห็นคนที่อยู่บนพื้นก็รีบล้มตัวลงไป”แม่เป็นอะไรไป?ทำไมมานั่งอยู่ที่พื้น?”
หญิงชราที่นั่งอยู่บนพื้นเงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วขมวดคิ้วพร้อมกับพูดคร่ำครวญว่า “โอ้ย ฉันบาดเจ็บ ลุกไม่ขึ้น … ”
“อะไรนะ?ใครชนแม่?”
ชายคนนั้นกวาดสายตาที่เหมือนนกอินทรีนั้นไปรอบๆ และเห็นว่าเย่ชูวเสวียอยู่ใกล้เขาที่สุดจึงจ้องมองไปที่เย่ชูวเสวียด้วยความโหดเหี้ยม “เธอใช่ไหม?”
“ฉัน … ฉันไม่ได้ตั้งใจ!” เย่ชูวเสวียโบกมืออย่างรวดเร็ว
“หืม พูดออกมาว่าไม่ได้ตั้งใจเพราะไม่อยากรับผิดชอบใช่ไหม?ถ้างั้นก็ยังมีฆาตกรอยู่บนโลกนี้นะสิ?”
เย่ชูวเสวียรู้ว่าเขาเข้าใจผิดในสิ่งที่เธอจะสื่อและอธิบายให้เขาแบบที่ไม่สอดคล้องกันเลย “ไม่ … ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น ยังไงเราก็ควรพาเธอไปโรงพยาบาลก่อน!”
“ลูก! ฉันไม่ไปโรงพยาบาล ที่บ้านไม่มีเงินสำรองแล้ว”เมื่อหญิงชราได้ยินว่ากำลังจะไปโรงพยาบาลเธอก็รีบคว้าข้อมือของชายคนนั้นและพูดด้วยความตื่นตระหนก
ชายคนนั้นใช้มือปาดน้ำตา “แม่ ถึงที่บ้านไม่มีเงินก็ต้องพาแม่ไปหาหมอ แม่เลี้ยงดูผมมาไม่ง่ายเลย ผมไม่ปล่อยให้แม่ต้องทนทุกข์ทรมานในวัยชราแบบนี้หรอก!”
สองคนเอาแต่พูดกันไปมา การแสดงละครประจำปีก็จัดฉากขึ้น คนรอบข้างที่ได้ยินต่างพากันเศร้าส่วนคนสนทนาด้วยก็ร้องไห้ออกมา
ในที่สุด ด้วยการกระทำนี้ทำให้พวกเขาเปลี่ยนไปกล่าวหาเธอทั้งหมดและชี้ไปที่เย่ชูวเสวียผู้ที่ริเริ่มการกระทำนี้ขึ้น
“ผู้หญิงคนนี้เลวจริงๆ ครอบครัวบ้านเขาเป็นถึงขนาดนี้แล้ว เธอยังมีหน้ามายืนเฉยไม่แยแส!”
“ใช่ๆๆ สาวน้อย ทักษะยังไม่ดียังมาขับรถทำไมอีก?”
“ชดใช้เงินเถอะ!”
เสียงสุดท้ายดังขึ้นกระเพื่อมขึ้นเหมือนคลื่น ทุกคนชี้ไปที่เย่ชูวเสวียด้วยความโกรธและตะโกนว่า “ชดใช้ ชดใช้!”
เย่ชูวเสวียทำอะไรไม่ถูกและถอยออกไปด้วยความกลัวเล็กน้อย แต่กลุ่มคนที่อยู่ข้างหลังเธอก็พูดขึ้นทันที
“ฉันจะชดใช้ๆ!”
เย่ชูวเสวียยังคงพูดซ้ำๆแต่ตอนนี้เธอไม่สามารถจ่ายได้จริงๆเพราะเธอเพียงแค่มาดูสถานที่จัดงาน ไม่ได้พกเงินมามากมาย ใครจะรู้ว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น …
เมื่อเห็นหญิงชรายังคงนั่งอยู่ที่พื้น เย่ชูวเสวียก็อดไม่ได้ที่จะก้าวไปพยุงเธอ “ไปโรงพยาบาลก่อนเถอะ!”
“ไปให้พ้น!” ชายที่อยู่ข้างๆดูเหมือนจะถูกจี้เข้า เขารีบเด้งไปข้างหน้าและผลักเย่ชูวเสวียให้ไกลออกไป “อย่าแตะต้องแม่ฉัน!”
ผู้คนดีๆที่อยู่ในที่เกิดเหตุก็เริ่มมีอารมณ์ตื่นตระหนกขึ้น “ไม่ก็ชดใช้เดี๋ยวนี้หรือไม่วันนี้เราก็จะล้อมไว้แบบนี้แหละ!”
ผู้คนรอบข้างต่างเห็นพ้องต้องกัน สิ่งที่ผู้ชมมีมากที่สุดสำหรับพวกเขาคือเวลา ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าพวกเขาต่างอยู่เคียงข้างความยุติธรรมและจะล้อมเธอไว้จนถึงที่สุด
เย่ชูวเสวียอึดอัดใจถ้าเธอมีเงินเธอคงเอาออกมานานแล้ว คงไม่ต้องรอให้ถึงตอนนี้หรอก “หรือให้ฉันโทรไปถามครอบครัวฉันให้ส่งเงินมาให้”
“ไม่ได้!” ชายคนนั้นปฏิเสธเธออย่างเด็ดขาด “ใครจะรู้ว่าคุณอาจจะขอความช่วยเหลือจากคนอื่นไหม?”
ไม่มีใครรู้เบื้องหลังของผู้หญิงคนนี้ สามารถขับรถแพงขนาดนี้ได้ เธอไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปแน่นอน พอถึงเวลาเพียงแค่เธอไม่เอาเงินออกมายังต้องเข้าถึงคนใหญ่คนโตอีก!
“ถ้า … ถ้าอย่างนั้นคุณจะให้ฉันทำยังไง?” ใบหน้าของเย่ชูวเสวียทรุดลง ในดวงตาเธอเต็มไปด้วยน้ำตา
“ฉันไม่สน เอาเงินมาเดี๋ยวนี้ ไม่งั้น … ” เขาหันหน้าไปทางรถของเย่ชูวเสวีย
คนข้างหลังเขาเข้าใจทันที “รถคันนี้ต้องมีมูลค่ามากแน่ๆ ไม่งั้นคุณก็มอบรถคันนี้มา ถ้าเอาไปขายน่าจะพอเป็นค่ารักษาพยาบาลให้ป้าแกได้”
เมื่อเย่ชูวเสวียได้ยินดังนั้นวิธีนี้ก็ดูเหมือนจะดีเหมือนกัน แต่รถคันนี้เป็นของขวัญวันครบรอบแต่งงานที่พ่อให้แม่มา มันเป็นรุ่นลิมิเต็ดทั่วโลกและมีความหมายมาก ถ้าเธอให้เขาแบบนี้ไปเลย จะกลับไปอธิบายยังไง?
เป็นแบบนี้ไปได้ยังไง? ไม่ได้อย่างแน่นอน!
“ทำไม?ไม่อยากให้?” ชายคนนั้นจ้องเธอไม่กระพริบตา เห็นเธอไม่เต็มใจก็รีบพูดขึ้นมาว่า “ผมรู้ตั้งนานแล้วว่าคุณไม่อยากชดใช้!”