และทางด้านหนานกงเจา ทว่าเขานอนจนถึงมืดค่ำ ตลอดวันตลอดคืนอยู่หลายวัน ในที่สุดมู่ยู่วฉีก็ตีเขาให้ตื่นขึ้นมา
“นายทำอะไร?ต่อยฉันทำไม?”หนานกงเจาลูบคลำเลือดบริเวณมุมปาก สีหน้าเต็มไปด้วยความมึนงงไม่พอใจเล็กน้อย
มู่ยู่วฉีดูต่อไปไม่ไหว หัวเราะเยือกเย็น “ฉันว่านะหนานกงเจา นายสภาพนี้เธอยังไงก็มองไม่เห็น ทั้งวันเมาเลอะเทอะใช้ชีวิตยุ่งเหยิง ก็ไม่ใช่แค่ว่าความรักเหรอ ใครจะไม่เคยมีประสบการณ์สักครั้ง ถึงตอนสุดท้ายก็ไม่ใช่ว่าล้มเหลวแล้วลุกขึ้นมาใหม่?ตอนนี้นายกำลังโวยวายแบบไหนอยู่?”
หนานกงเจาวิงเวียนศีรษะ เขานวดแล้วนวดอีกที่ศีรษะ ส่ายศีรษะอย่างตลกขบขันเล็กน้อย เขาที่เป็นอย่างนี้ ตัวเองยังรู้สึกว่าแปลก แต่ว่าแสดงความรู้สึกจริงๆ ในใจรู้สึกว่าเจ็บทุกข์ทรมาน นอกจากจะใช้เหล้าให้ตัวเองชินชา เขาก็หาวิธีที่ดีกว่านี้ไม่ได้แล้ว
เขาเงยศีรษะ เขามองตัวเองในกระจกที่มอมแมม หนวดเคราปกปิดมิดชิดริมฝีปาก ใต้ตาดำคล้ำเหมือนหมีแพนด้า
ในใจรู้สึกเกลียดวิธีการคิดของตัวเองขึ้นมากะทันหัน มิน่าเล่าเย่ชูวเสวียถึงไม่ชอบ คนมอมแมมอย่างนี้ เปลี่ยนมาเป็นเขา ก็ยังยากที่จะชื่นชอบจากใจจริง
“เธอ……สบายดีไหม?”หนานกงเจามองมู่ยู่วฉี ลังเลใจสักพักหนึ่งถึงได้ถามเขา
มู่ยู่วฉียิ้มเยาะเย้ย”แน่นอนสิ กินได้ดื่มได้อย่างสบายเลย”
ที่จริงเขาไม่รู้สถานการณ์ปัจจุบันของเย่ชูวเสวีย ตั้งแต่ครั้งก่อนที่แยกจากกัน ก็ไม่ได้เจอเธอสักเท่าไหร่ แต่เพื่อที่จะให้หนานกงเจาเดินออกจากปมนั้น ก็เลยต้องแต่งเรื่องโกหกขึ้นมา
“ใช่เหรอ?”หนานกงเจาก้มศีรษะลงอย่างเงียบๆ เดิมทีก็ควรจะเป็นอย่างนี้ เขายังคาดหวังอะไร?
หวังให้เธอละอายใจและทุกข์ใจ?
ไม่ หนานกงเจาส่ายศีรษะ เห็นอกเห็นใจอย่างนี้เขาไม่ต้องการ!
เขาตบที่รอยยับบนเสื้อผ้า โซซัดโซเซจับผนังแล้วลุกขึ้น ศีรษะก็ยังคงวิงเวียน รู้สึกว่ายืนไม่หยุดนิ่งเอนเอียง แต่ว่านิ้วมือของเขาพยายามลากออกแรงประคองมือ ไม่นานก็สามารถควบคุมร่างกายตัวเองได้
“ขอบคุณนะ มู่ยู่วฉี! “เขายื่นมือออกไปตบที่ไหล่ของมู่ยู่วฉีหนักๆสองที
ถึงแม้ว่ามิตรภาพของเขาสองคนจะไม่ได้ลึกซึ้งขนาดนั้น แต่เขาสามารถที่จะพยายามทำอย่างสุดความสามารถเพื่อเขา เขาก็ขอบคุณมากแล้ว
ถึงแม้ว่าวันนี้จะถูกต่อยไปหลายหมัด แต่ทว่าทำให้เขามีสติขึ้นมามาก ด้วยเหตุนี้ เขาจึงควรที่จะขอบคุณ พูดอย่างจริงจังขึ้นมา เดิมทีคำพูดขอบคุณที่ออกมาจากปากก็ไม่สามารถที่จะแสดงออกมาให้เห็นถึงคำขอบคุณของตัวเอง
มู่ยู่วฉีก็แค่ผ่านทางมา เข้ามาดูเขา ใครจะรู้ว่าขนาดประตูเขาก็ไม่ปิด ตัวเองเดินเข้ามาด้านในอย่างสบายไม่มีการเหนี่ยวรั้งเลย
เขามองหนานกงเจาอย่างมีความหมายลึกซึ้งแล้วพูดว่า”นายจัดการตัวเองให้เรียบร้อยเถอะ!”
พูดจบ ก็เดินจากไปโดยที่ไม่หันกลับมามอง ขับรถที่จอดอยู่หน้าประตูออกไป เหลือแค่หนานกงเจาที่สะลึมสะลืออยู่
แต่เขามีความคิด รู้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังทำอะไร ขวดเหล้าที่ระเกะระกะอยู่เต็มพื้นทำให้เขาหงุดหงิด ทุกครั้งที่เดินหนึ่งก้าว ก็มีอันหนึ่งหมุน ทำให้ตัวเขาโยกยิ่งเพิ่มความยากลำบาก
เขาเดินมาถึงริมหน้าต่างแล้วดันเปิดสถานที่ที่ไม่เล็กไม่ใหญ่นั้นออก นั่งลงรอให้แสงพระอาทิตย์ค่อยๆส่องผ่านบริเวณหน้าต่างเข้ามา เขาหรี่ตาลง มีความปรับตัวไม่ได้เล็กน้อยก็แสงที่ส่องมา
เพียงแค่ได้สงบลง ในหัวของเขาก็เต็มไปด้วยภาพของเย่ชูวเสวีย ต้องการที่จะบีบบังคับนำเธอออกไป แต่ว่าตอนที่ไม่ได้คิดถึงเธออย่างแท้จริง เขาก็มีความรู้สึกหวาดหวั่นเล็กน้อยอีก
ความรู้สึกอย่างนี้เกิดขึ้นในใจเขาซ้ำๆ ทำให้เขาไม่มีวิธีที่จะคิดเรื่องอื่น
“อา!”หนานกงเจาหงุดหงิดกำหมัดต่อยที่บริเวณหน้าต่าง คาดไม่ถึงว่าจะทุบจนมีรอยแตก
หนานกงเจาปล่อยมือลง แต่ทว่าไม่มีความรู้สึกอะไร เพียงแค่ในใจเย็นชาจนน่ากลัว เขาเคยมีประสบการณ์เรื่องนี้แล้ว หลังจากนี้ดูท่าอะไรก็ไม่สามารถทำร้ายเขาได้แล้ว!
พอคิดอย่างนี้ เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา มองแบนี้เขาก็ไม่ได้เจ็บช้ำ อย่างน้อยก็ไม่มีจุดอ่อน ไม่เหมือนกับเย่จิงเหยียนที่เรื่องอะไรก็ต้องไตร่ตรองทุกด้าน
แต่ว่า…….
แต่ว่าเขาอยากจะมีจุดอ่อนอันหนึ่งจริงๆ ต่อให้ถึงแก่ชีวิต เขาก็รู้สึกว่ายังมีความสุข และไม่ใช่อยู่ด้านหลังมองดูอยู่ไกลๆ
เขาไม่รู้ว่าเย่ชูวเสวียชอบผู้ชายแบบไหน แต่เมื่อเขาคิดว่าเธอสนิทสนมกับผู้ชายคนอื่น หัวใจก็เจ็บปวดจนยากที่จะอดทน
ทุกภาพความรักใคร่สนิทสนมนั้นไม่มีเขา แต่ก็ไม่มีวิธีแล้ว ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่ได้ครอบครองเธอ………
เธอไม่มีทางเป็นของตัวเอง……
……………..
คฤหาสน์ตระกูลเย่
เย่ชูวเสวียนั่งมึนงงเหม่อลอยอยู่ที่มุขหน้าต่าง เธอขี้เกียจจะยกมือขึ้น แสงอาทิตย์สาดส่องมาที่ปลายนิ้วของเธอ เธอก็รู้สึกว่าอบอุ่นเป็นพิเศษ
เริ่มตั้งแต่เมื่อกี้ที่มีความแปลกใจจนถึงงงงวย เย่ชูวเสวียไม่ได้มีอารมณ์มากมาย เธอจะไม่ให้เหตุผลกับข้ออ้างอย่างนั้นกับหนานกงเจาอีกแล้ว ที่เหลือไว้อยู่มีเพียงแค่ความผิดหวัง
เขาน่าจะกำลังโทษเธอสินะ ถึงอย่างไรตอนนั้นเธอก็ปฏิเสธเขาอย่างถึงที่สุดมาก ต้องโทษตัวเอง เข้าใจความคิดในใจของตัวเองช้า รู้เร็วกว่านี้……
รู้เร็วกว่านี้เธอก็จะไม่ทำให้ไม่เหลือทางหนีทีไล่เช่นนี้ แต่ว่าสวรรค์รู้ว่าเธอจะพบว่าความรู้สึกของตัวเองเมื่อไหร่ ถ้าหากว่าให้ความหวังเขา เขาก็คงไม่แสดงออกด้วยสายตาอย่างนั้น ตัวเองอาจจะเข้าใจช้าก็กว่านี้ไม่แน่นอนอีก
ตอนนี้เขาไม่รับโทรศัพท์เธอ ก็มีสาเหตุ เธอไม่ควรที่จะโทษเขา!
แต่ว่า………แต่ทำไมในใจเธอมีความรู้สึกเจ็บแปลบ?
หรือว่าเย็นวันนั้นหลังจากที่เธอออกมา ยังมีอะไรที่ตามหลังอีก เขาอยู่ที่นั่นเห็นผู้หญิงคนนั้น หลังจากนั้นก็จัดแต่งสถานที่กับเธอ ทั้งสองคนคบหากันแล้ว?
เย่ชูวเสวียยิ่งคิดยิ่งมีความเป็นไปได้ ใจกระตุกสักพักหนึ่ง กุมโทรศัพท์ ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี
อักษรที่อยู่บนหน้าจอทำให้เธอสับสนเหลือเกิน เธอหยุดมองด้านบนอยู่สักพัก สุดท้ายก็ยังคงปิดหน้าจอลงเหมือนเดิม
ถ้าหากว่าเธอไม่ได้ เธอยินยอมที่จะไม่รู้การใช้ชีวิตของเขา ให้ตัวเองได้เก็บความเพ้อฝันนั้นก็ยังดี
เย่ชูวเสวียคิดจนทุกข์ใจ ตัวเองนั่งอยู่ริมหน้าต่างระบายกลิ่นอายของความระทมทุกข์
มู่เวยเวยผลักประตูเข้ามา เห็นเธอที่ผมยุ่งเหยิงนั่งอยู่มุขหน้าต่าง คนทั้งคนเหมือนไร้จิตวิญญาณ
“เป็นอะไร?”มู่เวยเวยเดินเข้ามาใกล้ ลูบที่ผมของเธอ
เย่ชูวเสวียไม่ได้หลบหลีก รับความปลอบโยนจากเธออย่างว่าง่าย นั่งอยู่ที่ริมหน้าต่างไม่ขยับ เธอไม่ได้ตอบกลับคำถามที่มู่เวยเวยถาม เพราะว่าขนาดตัวเองยังไม่รู้ว่าทำไมถึงทุกข์ใจ เรื่องราวเหล่านั้นคิดไปมั่วๆก้ไม่ได้มีหลักฐาน
มู่เวยเวยมองแล้วเจ็บปวดใจ”อีกสองวัน พวกเราจะจัดงานเลี้ยงส่วนตัวแทนลูก อยากจะตั้งสติให้ดีแล้วไปดูไหม? ”
“หนูไม่ไปนะ”ตอนนี้เย่ชูวเสวียได้ยินกิจกรรมอย่างนี้ ไม่ได้คิดอะไรเลยก็ปฏิเสธไป ใจของเธอยังคิดถึงคนคนหนึ่ง ไม่สามารถที่จะมีใจไปร่วมงาน
“ไปเถอะ อยู่ที่บ้านลูกก็จะทุกข์ใจ ไปแล้วไม่แน่อาจจะอารมณ์ดีนะ”มู่เวยเวยใช้น้ำอดน้ำทนที่จะเกลี้ยกล่อมพูดว่า”อีกอย่าง ส่วนใหญ่ทั้งหมดก็เป็นวัยรุ่นนะที่มา ประจวบเหมาะลูกก็เลือกหนึ่งคนในนั้น”
“มาหมดเลย?”พูดมาตั้งมากมาย เย่ชูวเสวียสนใจแค่คำนั้น
เขา…..จะมาไหม?
“โอเค หนูไป”มาหรือไม่มา เธอออกไปดูก็รู้แล้ว
ได้ยินเธอพูดอย่างนี้ สุดท้ายมู่เวยเวยก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก นั่งอยู่หน้ามุขระเบียงเป็นเพื่อนเธอ ทั้งสองก็พูดคุยกันสักพักหนึ่ง เห็นเธอไม่ได้อารมณ์เศร้าอีกต่อไป ก็วางใจออกไปจากห้อง
…………….
เย่จิงเหยียนโอบกอดที่เอวของต้วนอีเหยา ให้เธอค่อยๆลงจากเตียง ไม่กี่วันรอยแผลของเธอก็ค่อยๆดีขึ้นมาบ้างเล็กน้อย อย่างน้อยก็ไม่มีเลือดซึมไหลแล้ว
ต้วนอีเหยาเดินหนึ่งก้าว ท้องก็ปวดบิดขึ้นมา แต่เธอก็กัดฟันไว้ สักคำก็ไม่หลุดร้องออกมา
“เจ็บมากจริงๆ พวกเราขึ้นไปนอนไม่กี่วัน”เย่จิงเหยียนเห็นหน้าผากของเธอมีเหงื่อไหลออกมามากมาย หยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดให้
ต้วนอีเหยาเงยศีรษะขึ้น ฝืนใจยิ้มให้กับเย่จิงเหยียน ใช้สายตาแสดงออกความคิดของตัวเอง”ฉันโอเค!”
แต่สีหน้าของเย่จิงเหยียนแสดงออกว่าไม่วางใจเหมือนเดิม บาดแผลดีแล้วก็ยังมีนัยยะแฝงอยู่ ห่างจากการผ่าตัดไม่นาน เขากลัวจริงๆว่าในกรณี……
ต้วนอีเหยาก็รับรู้ถึงความรู้สึกของเย่จิงเหยียน รีบหาสถานที่นั่งลง มองเขาด้วยความงงงวย
เย่จิงเหยียนถึงเธอมองจนเก้อเขิน เบนสายตามองไปทางอื่น เย่ชูวเสวียไม่ให้เขาหลบหลีก จับที่มือของเขา แล้วเขียนคำพูดที่กลางฝ่ามือ
คุณใช่หรือไม่ใช่ว่ามีเรื่องในใจ?
เย่จิงเหยียนตั้งแต่ที่เธอจับที่มือของตัวเอง ก็ให้ความสนใจมองมาที่กลางฝ่ามือ
ประมาณว่าเดาออกว่าเธอเขียนอะไร เย่จิงเหยียนกุมมือเธอกลับ มีเรื่องหนึ่ง ฉันอยากจะพูดกับเธอ
ต้วนอีเหยาไม่ได้เขียน ใช้สายตาแสดงออกในคำพูด
เย่จิงเหยียนลังเลสักพัก หากระดาษกับปากกา เขียน”ซัวซัว”ไม่กี่คำ
ในสองวันนี้ เธออาจจะต้องเตรียมตัวผ่าตัด
ต้วนอีเหยาสีหน้ามึนงงไม่เข้าใจ เธอไม่รู้ว่าตัวเองต้องผ่าตัดตรงไหน ลูกไม่ใช่ว่าไม่มีแล้วเหรอ?ยังมีการผ่าตัดอะไร?
เย่จิงเหยียนกุมปากกาคิดคำพูดอยู่สักพัก หูของเธออาจจะจำเป็นต้องทำการตรวจ
พูดอย่างนี้เธอก็เข้าใจแล้ว หูของตัวเองมีปัญหา ตอนนี้มีการผ่าตัด แน่นอนว่าเธอเต็มใจที่จะไปทำ ที่ไม่เข้าใจก็คือว่าทำไมเย่จิงเหยียนต้องทุกข์ใจขนาดนั้น
เย่จิงเหยียนเห็นเธอไม่รู้ร้อนรู้หนาวผงกศีรษะให้ตัวเอง คิดอยู่สักพัก ถึงพูดยอมรับความเสี่ยงการผ่าตัดของตัวเองออกมา
รีบใช้มือของเขาเขียนลงในกระดาษ เขียนเสร็จเร็วมากแล้วส่งให้ต้วนอีเหยา
ความเสี่ยงของการผ่าตัดค่อนข้างสูง ถึงแม้ว่าพยายามหาหมอแผนกจักษุที่ดีที่สุดแล้ว แต่เขาก็ไม่กล้ารับประกันว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรที่ไม่คาดคิดไหม
มองดูแล้วต้วนอีเหยามีความใจลอยเล็กน้อย เหตุการณ์ไม่คาดคิดอะไรเธอไม่รู้ แต่สามารถทำให้เย่จิงเหยียนกังวลใจขนาดนี้ คาดว่าน่าจะน่ากลัวมาก
เธอเพิ่มเติมในกระดาษไม่กี่คำ ตอบกลับความกังวลใจของเขา โชคชะตาฟ้าลิขิตแล้ว ฉันก็อยากจะได้ยินเสียง มิเช่นนั้นก็อ้างว้างมากกว่าตายอีก
เย่จิงเหยียนมองจ้องต้วนอีเหยาอย่างลึกๆ นานมากกว่าเขาจะผงกศีรษะ เธออยากได้ยินเสียง เย่จิงเหยียนรู้ ทุกวันก่อนที่เขาจะนอนก็มองต้วนอีเหยาที่หลับสนิท
เห็นเธอแอบลืมตาแล้วเหม่อลอยอยู่ประจำ ก็ไม่กี่วันมานี้ นอกจากเธอจะเงียบ ก็หาสีหน้าอื่นไม่เจอเลย
วันนั้นที่ผ่าตัด เป็นวันที่แดดจ้าฟ้าใส มู่เวยเวยได้รับสายโทรศัพท์ของเย่จิงเหยียน เมื่อคนในบ้านได้รับความเดือดร้อนก็ต้องรีบตามไปทันที
ตอนที่เข้ามา เย่จิงเหยียนกำลังเทน้ำให้ต้วนอีเหยา เขาหันศีรษะกลับไปมองคนกลุ่มหนึ่งที่ยืนอยู่หน้าประตู เขาไม่ได้รู้สึกประหลาดใจ ตอนเช้าที่ได้รับสายจากมู่เวยเวย เขาก็ได้นึกถึงฉากนี้แล้ว
แต่ต้วนอีเหยาไม่ได้รับรู้ด้วย เธอมีความกลัวจนก้มศีรษะอยู่เล็กน้อย
เธอไม่ได้ยินที่พวกเขาพูดคุยกัน เพียงแค่เงยศีรษะมองปากที่ขยับของคนในบางครั้ง เธอรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่ไร้น้ำยาแล้ว ความรู้สึกแบบนี้ทุกข์ทรมานอยู่ในใจเธอ ทำให้เธอไม่กลัวการผ่าตัดที่จะเกิดภายหลังอีกต่อไป
“จิงเหยียน ลูกคิดดีแล้วใช่ไหม?” มู่เวยเวยรู้ว่าการผ่าตัดแบบนี้มีความเสี่ยง สายตาแสดงออกถึงความกังวล
เย่จิงเหยียนหันศีรษะกลับไปมองต้วนอีเหยาแวบหนึ่ง บังเอิญกับที่เธอเงยศีรษะขึ้น สายตาเต็มไปด้วยการเฝ้ารอคอย
“อีเหยาอยากจะได้ยินเสียง “เย่จิงเหยียนพูดแค่เพียงคำนั้น มู่เวยเวยก็ไม่ถามเขาอีก
รักคนคนหนึ่ง คือการอดใจไม่ได้ที่จะเห็นเธอทุกข์ใจ…….
หลุยส์เดินมาถึงประตูห้องพักคนไข้ เห็นกลุ่มคนยื่นอยู่หน้าประตู คิดว่าตัวเองเดินมาผิดห้องแล้ว ถอยกลับไปมองดู เขาจำเลขห้องได้
เขามีความรู้สึกที่ลูบศีรษะไม่เจอ พูดภาษาจีนอย่างไม่เป็นธรรมชาติ”หลีกทางหน่อย รบกวนหลีกทางหน่อย”
คนที่อยู่รอบประตูอย่างมู่ยู่วฉีกับเสี่ยวอวี้หลินก็หันกลับมา มองเห็นคนต่างชาติแก่ๆกับลังเบียดอยู่ด้านใน เขาผลักออกไปอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย
“พวกเราคนในบ้านรวมตัวกัน คุณเป็นชาวต่างชาติคนหนึ่งเข้ามาคึกคักอะไรด้วย?”
หลุยส์ยิ่งไม่เข้าใจมากขึ้น”ขอถามหน่อยครับด้านในใช่คุณเย่ไหม?”
เย่จิงเหยียนได้ยินคนที่อยู่หน้าประตูพูดชื่อของตัวเอง ยิ้มอย่างอ่อนโยนกับต้วนอีเหยา แล้วก็แหวกตรงด้านหลังที่มู่ยู่วฉีกับเสี่ยวอวี้หลินอยู่เดินออกไป
เห็นแค่เพียงหลุยส์ที่มีเหงื่อเต็มไปหมดกำลังหันหลังจะเตรียมออกไป เย่จิงเหยียนเดินไปข้างหน้าไม่กี่ก้าว เพื่อรั้งเขาไว้ อ้าปากก็ถามว่า”เตรียมพร้อมแล้ว?”
หลุยส์มองเห็นเย่จิงเหยียน สีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย “คุณเย่ ในที่สุดคุณก็ออกมาแล้ว ทุกอย่างเตรียมพร้อมหมดแล้ว ก็รอแค่คุณต้วนเข้าไปในห้องผ่าตัด”
เย่จิงเหยียนผงกศีรษะ”ให้คนมาเถอะ”
หลังจากที่หลุยส์ออกไป เย่จิงเหยียนได้ก้มศีรษะถอนหายใจออกมา ไม่นานก็มีพยาบาลชุดหนึ่งเดินมา
คนที่อยู่ในห้องพักคนไข้เห็นเหตุการณ์ ก็ถอยหลังออกไปกันหมด พยาบาลวางเตียงคนไข้ของมู่เวยเรียบร้อยร้อย แล้วช่วยกันเข็นเธอออกไปจากห้อง
เย่จิงเหยียนรีบเดินตามไป ถึงหน้าห้องผ่าตัดก็ต้องหยุดลง ครั้งนี้ไม่ได้เหมือนครั้งก่อนๆเขาเข้าไปก็เป็นเพียงแค่รบกวนการผ่าตัดของหมอ อีกอย่างอยู่ด้านนอกก็ทำให้หลุยส์มีไม่มีความกดดันด้วย
เขามองดูต้วนอีเหยาที่ค่อยๆหายลับไปจากตาตัวเอง คาดไม่ถึงว่าเริ่มต้นจะรู้สึกหวาดกลัว ทุกครั้งที่แยกจากกัน เขาจะมีความรู้สึกใจลอยหวิว เหมือนกับว่าเธอจะจากเขาไปไกล
ถึงว่าความเสี่ยงจะไม่ถึงขั้นชีวิต แต่เขาอดไม่ได้ที่จะสั่นไหว
มู่ยู่วฉีหันศีรษะกลับไปมองเห็นเย่จิงเหยียนที่สั่นไหวอยู่ ได้เดินไปตบที่ไหล่โดยไม่พูดอะไร
ในเวลาแบบนี้ ความอ่อนแอของผู้ชายก็ไม่อยากที่จะให้คนอื่นมองเห็น แต่ว่ามีอยากมีคนหนึ่งที่สามารถมาแบ่งปันด้วยกันกับเขาได้
แน่นอนว่าเสี่ยวอวี้หลินมองเห็นพวกเขาแล้ว กำลังจะเดินไปหา ก็ถูกสายตาของมู่ยู่วฉีสั่งหยุดไว้ เขาก็ได้นั่งรออยู่ที่เก้าอี้ด้านหลังอย่างเงียบๆ
มู่เวยเวยกับเย่ฉ่าวเฉินก็ไม่ได้ไป พวกเขารู้ ปลอบโยนด้วยปากก็ช่วยอะไรไม่ได้ มีเพียงแค่รอผลออกมาแล้วถึงทำให้เย่จิงเหยียนสบายใจ
ในเวลานี้ ถึงแม้ว่าทางเดินจะมีคนเยอะ แต่ใครก็ไม่ได้ส่งเสียงออกมาเลย เพียงฟังเสียงนาฬิกาที่ผนังเดินดังติ๊ดๆ
เดิมทีเย่ชูวเสวียก็ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ได้ยินว่าความเสี่ยงของการผ่าตัดสูงมากก็รีบวื่งมา ตอนนี้นั่งนานมากแล้ว ก็นึกถึงหนานกงเจาขึ้นมา ยิ่งมีความซาบซึ้งใจกับสถานการณ์อย่างนี้
มีเพียงแค่คนสองคนที่หลงรักซึ่งกันและกันถึงเป็นอย่างนี้สินะ……
เธอกับหนานกงเจา ดูท่าจะไม่สามารถมีประสบการณ์อย่างนี้
พอคิดอย่างนี้ เย่ชูวเสวียรีบส่ายศีรษะ เวลาอย่างนี้ทำไมเธอนึกถึงผู้ชายคนนั้นขึ้นมาได้นะ ถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่ได้เป็นอะไรกัน เขาจะเป็นอย่างไร ชั่วนิจนิรันดร์ตัวเองก็ไม่สามารถจะไปยุ่งก้าวก่ายได้แล้ว