การกระทำเช่นนี้ยิ่งทำให้พนักงานเสิร์ฟเข้าใจผิด เขาไม่อยากสั่งอาหารด้วยซ้ำ เพียงแค่อยากไล่เขาออกไปแทบรอไม่ไหว หมายความว่าหลังจากนี้พวกของสองคนก็จะ…
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาก็เตือนตัวเองในใจ ตอนที่เอาอาหารมาเสิร์ฟ ต้องเคาะประตูก่อน เพราะเกรงว่าจะเห็นในสิ่งที่ไม่ควรเห็น!
“คุณทำอะไร?” เซี่ยอันน่าคิ้วขมวด เธอรู้ว่าเขาจงใจทำเพื่อให้พนักงานเข้าใจคิด
เสี่ยวอวี้หลินแบมือ “ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย ผมแค่พูดไปสองสามคำ ใครจะไปรู้ว่าเขาจะเข้าใจผิด?”
“คุณ…”
เซี่ยอันน่าถูกเขาปิดปากไม่ให้พูดอะไร เขามักจะมีเหตุผลมากมาย แต่เธอดันไม่พูด ทำได้เพียงแค่บึ้งตึง
เซียวอวี้หลินกลับไม่สะทกสะท้าน ยังคงดื่มน้ำอย่างอารมณ์ดี “มันเป็นเพียงความเข้าใจผิดเล็กๆน้อยๆ แบบนี้หากทุกคนเข้าใจผิดหมด คุณไม่โกรธตายเลยเหรอ?”
เซี่ยอันน่ามองเขาด้วยความโกรธ “ถ้าคุณไม่เจ้าเล่ห์ ใครจะเข้าใจผิด?”
“ผมทำอะไรงั้นเหรอ?” เซียวอวี้หลินทำหน้าอบจนหนทาง
เซี่ยอันน่ามองท่าทีของเขา คร้านจะเสวนาด้วย จึงหันกลับไปเล่นโทรศัพท์ เซียวอวี้หลินก็หยุดเช่นกัน เธอไม่เล่นด้วยต่อก็คงไม่สนุก
หลังจากนั้นไม่นาน พนักงานก็เดินเข้ามาพร้อมกันอาหารมากมาย ตอนที่เขาเข้ามาก็มองไปที่เซียวอวี้หลินและเซี่ยอันน่าเป็นพิเศษ
เมื่อเห็นว่าพวกเขาอยู่ห่างกันมากว่าตอนแรก ในใจก็เข้าใจได้ทันที หลังจากที่เขาออกไป พวกเขาต้องทำอะไรบางอย่างกันแน่ๆ เพราะไม่ทันระวังเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู จึงรีบแยกออกจากกัน
และสีหน้าไม่ดีของพวกเขาทั้งสอง ก็อธิบายทุกอย่างได้อย่างชัดเจน!
“อาหารพร้อมแล้วครับ” พนักงานที่ยืนอยู่ข้างๆเสี่ยวอวี้หลิน ก้มลงทำความเคารพ
เสี่ยวอวี้หลินพยักหน้า “เอาล่ะ คุณก็ลงไปเถอะ”
พนักงานเสิร์ฟเข้าใจ อันที่จริงไม่ต้องรอคำสั่งจากเสี่ยวอวี้หลินก็ได้ เพียงแค่มองตาเขาก็เข้าใจความหมายของเสี่ยวอวี้หลินอย่างถ่องแท้
“เอาล่ะ ไม่มีใครมารบกวนเราแล้ว กินเถอะ”
เสี่ยวอวี้หลินยื่นตะเกียบให้เซี่ยอันน่า แต่เธอกลับไม่รับ จ้องมองมาที่เสี่ยวอวี้หลินจนเขาเริ่มไม่สบอารมณ์
“คุณทำอะไร?” ในที่สุดเสี่ยวอวี้หลินก็ทนไม่ไหวจึงเอ่ยถามขึ้น
“คุณมีธุระอะไรกันแน่ ฉันขอร้องล่ะ ให้ฉันรีบๆทำแล้วรีบๆออกไปสักทีเถอะ” สีหน้าของเซี่ยอันน่าโศกเศร้า หากเพียงแค่ต้องการให้เธออับอาย เป้าหมายของเขาก็สำเร็จแล้วหนิ!
“ไม่มีอะไรทั้งนั้น กินข้าวก่อนเถอะ ฉันหิวจะตายอยู่แล้ว”
เสี่ยวอวี้หลินวางตะเกียบไว้ตรงหน้าเซี่ยอันน่า แล้วคีบอาหารมาวางใส่จานตัวเองและเอาใส่ปาก เห็นเธอยังไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เขาเคี้ยวข้าวเสียงดัง
“อืมมม อร่อยมาก สมแล้วกับเป็นเมนูแนะนำ รับรองว่าอร่อยกว่ารูปลักษณ์ภายนอกเป็นไหนๆ” คำพูดของเซียวอวี้หลินเกินความจริง อันที่จริงแล้วรสชาติอาหารของที่นี่อยู่ในระดับธรรมดาๆ เพียงเท่านั้น แต่เพื่อดึงดูคงามสนใจของเซี่ยอันน่า เขาจึงต้องพูดเกินจริงเข้าไว้
เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนั้น เซี่ยอันน่าก็ไม่อาจทนหันกลับไปได้ เธอหันมองไปยังเซียวอวี้หลิน ตรงหน้าเขาคือฝูชีเฟ่ยเพี่ยน
ตรงกันข้ามกับแววตาของพนักงานเสิร์ฟ เธอหันกลับมาอีกครั้งด้วยความโกรธ แต่เมื่อกลิ่นหอมๆ เตะเข้าจมูก ก็ไม่อาจทนกลืนน้ำลายได้
ช่างเถอะ! ท้องหิวกับที่ยังโกรธเขาอยู่ ท้องก็ไม่อาจทนหิวของตัวเองได้!
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เซี่ยอันน่าก็หยิบตะเกียบตรงหน้าขึ้นมา คีบฝูชีเฟ่ยเพี่ยนขึ้นมาหนึ่งชิ้น แล้วกินมันเข้าปาก รสชาติไม่ได้อร่อยอย่างที่คิดไว้ แต่สำหรับเซี่ยอันน่าที่กำลังหิวมาก มันจึงอร่อยที่สุดในโลก
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ เซี่ยอันน่าขึ้นไปนั่งบนรถของเสี่ยวอวี้หลินอีกครั้ง
ใบหน้าเธอเบื่อหน่าย “คุณจะพาฉันไปไหน?”
“อย่าเพิ่งพูด ตามผมมาก็พอ” เสี่ยวอวี้หลินไม่ให้คำตอบกับคำถามของเธอ สตาร์ทรถแล้วขับออกไปทางชานเมือง
ระยะทางออกห่างจากตัวเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ เซี่ยอันน่าถอดใจยอมแพ้ “คุณจะไปไหนกันแน่?”
“ทำไม? กลัว?” เสี่ยวอวี้หลินยิ้มกริ้มกริ่ม แต่เท้ากลับเหยียบคันเร่งไม่คลาย
“คุณเพิ่งจะอวดเก่งไปไม่ใช่เหรอ? ทำไมตอนนี้เป็นแบบนี้แล้วล่ะ?”
เสี่ยวอวี้หลินยิ้มจนทำให้เซี่ยอันน่าขนลุก เธอลดแขนลง ตัวสั่นเบาๆ “คุณอย่ามาทำอะไรแบบนี้นะ!”
“ทีแรกผมก็ไม่อยากพูด ในเมื่อตอนนี้คุณดูออกแล้ว งั้นผมก็แค่อยากให้รู้”
เซี่ยอันน่าถามเขา “อะไร?”
เสี่ยวอวี้หลินยิ้มอย่างน่าหวาดกลัว “คุณคงดูออกว่าผมไม่ได้ต้องการเงิน”
“แล้ว…ยังไง?”
ไม่ได้ขาดแคลนเงินกับสถานการณ์ตอนนี้มันเกี่ยวกันอย่างไร?
เสี่ยวอวี้หลินเห็นความสงสัยของเธอ จึงอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ “แล้วคุณคิดว่าผมได้เงินมาจากไหน?”
“ฉันจะไม่รู้ได้ยังไง!” เซี่ยอันน่าหดตัวลงพนักพิงอย่างระแวดระวังตัว “ว่าไปแล้ววิธีหาเงินของคุณก็เป็นความลับ จะบอกคนอื่นง่ายๆ ได้ยังไง?”
“ถึงยังไงคุณก็ต้องอุทิศตัวเองอยู่ดี ผมบอกคุณก็คงไม่เป็นไร”
เซี่ยอันน่ารู้สึกงุนงงอยู่ในใจ มองไปที่เสี่ยวอวี้หลินเงียบๆ รอคำพูดของเขาหลังจากนั้น
“ฉัน…”
“อ่ะ!” เสี่ยวอวี้หลินหยุดรถ ทันใดนั้นก็ขยับเข้ามาใกล้เซี่ยอันน่า เธอตกใจจนร้องกรีดออกมา
ร่างกายถอยหลังไปอย่างอัตโนมัติ มีเพียงเข็มขัดนิรภัยพันตัวไว้ ไม่มีทางถอยไปได้อีกแล้ว
เสี่ยวอวี้หลินหัวเราะ แต่ยังต่อเรื่องที่พูดค้างไว้ให้จบ “งานของผมคือลักพาตัวหญิงสาว พาพวกเธอไปที่ทุรกันดาร แล้วพาพวกเธอ…ไปประหารชีวิต!”
“คุณ…อย่ามาล้อเล่น!” เซี่ยอันน่าหวาดกลัวมาก แต่ยังแสร้งทำเป็นใจเย็น
เสี่ยวอวี้หลินปลดเข็มขัดนิรภัยตัวเองออก แล้วใช้มือกักตัวเซี่ยอันน่าไว้ “ผมล้อเล่นอย่างนั้นเหรอ? จากที่ผมเล่นสนุกเสร็จก็พาพวกเธอไปขาย ได้เงินเยอะเลยล่ะ!”
พูดจบ ไม่รอให้เซี่ยอันน่าโต้ตอบกลับมา ใบหน้าของเขายื่นเข้าไปใกล้เซี่ยอันน่าเรื่อยๆ ทั้งสองเหลือเพียงช่องว่างระหว่างปลายจมูก แม้กระทั้งลมหายใจยังประสานเป็นหนึ่งเดียว
“คุณ…คุณ คุณ คุณ…”
หากเป็นคำพูดเมื่อครู่เซี่ยอันน่ามีความสงสัยเล็กน้อย แต่ตอนนี้การกระทำของเสี่ยวอวี้หลินปัดเป่าความคิดเธอหายไปหมด
“คุณอย่ามายุ่งวุ่นวายนะ ไม่งั้นฉันจะเรียกตำรวจ!” เซี่ยอันน่าเอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์มือถือ แต่ถูกเสี่ยวอวี้หลินขัดขวางไว้ได้อย่างง่ายดาย
เสียงหัวเราะของเขาทำให้คนขนหัวลุก “ผมแนะนำว่าอย่าขัดขืนดีกว่า มิฉะนั้น คนที่เดือดร้อนจะเป็นตัวคุณเอง!”
“พี่ชาย ฉันขอร้องล่ะ อย่าทำแบบนี้เลยนะ ปล่อยฉันไปเถอะ!” เซี่ยอันน่าร้องไห้ขอร้องวิงวอนเสี่ยวอวี้หลิน
เมื่อเสี่ยวอวี้หลินเห็นเธอหวากลัว ก็กลั้นหัวเราะไว้ไม่ได้ “ฮ่าๆ ไม่คิดว่าคุณจะหลอกง่ายขนาดนี้”
“คุณ…คุณหลอกฉันเหรอ?” เซี่ยอันน่ารู้สึกโล่งใจ เพียงแค่ไม่คิดว่าเขาจะเพิ่มระดับการแกล้งมากขึ้น จงใจยั่วโมโหเธองั้นเหรอ?
“ยัยโง่!” เสี่ยวอวี้หลินดีดหน้าผากเซี่ยอันน่า เวลานี้ยังต้องคอยระวังตัว หมายความว่าเมื่อสักครู่เธอกลัวจริง!
“คุณทำอะไร?” เซี่ยอันน่าลูบที่หน้าผากของตัวเองด้วยความสงสัย เพราะเธอหวาดกลัวมากทำให้ในดวงตาเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา
“ล้อคุณเล่นไง ทำไมคุณดูตกใจขนาดนั้น?” สายตาไม่ไยดีของเสี่ยวอวี้หลินมองมาที่เซี่ยอันน่า แล้วช่วยเธอปลดเข็มขัด
“ลงมา”
เขากระโดดลงจากรถ แล้วตบมือเรียกเซี่ยอันน่าที่ยังไม่ลงมา คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอีกครั้ง “ทำไมคุณยังไม่ลงมาอีก? อยากให้ผมไปอุ้มลงมาเหรอ?”
“ที่นี่ที่ไหน?” เซี่ยอันน่ามองไปที่เสี่ยวอวี้หลินอย่างระแวดระวังตัว รอบๆ เป็นถิ่นทุรกันดาร เขาจงใจหยุดทางเข้าคฤหาสน์เปลี่ยวๆ อยู่ที่นี่เธอไร้ซึ่งพวกพ้อง ถ้าหากถูกเขาหลอก…
เสี่ยวอวี้หลินเห็นเธอระแวง ก็อดยิ้มขึ้นมาเสียไม่ได้ “ทำไม? ถูกงูกัดครั้งเดียว กลัวเชือกไปสิบปีเลยเหรอ? ผมแค่ทำให้คุณตกใจ แค่นี้กลัวแล้วเหรอ? ไม่เหมือนกับตอนที่เมาเลยนะ”
“คุณ…” เซี่ยอันน่าพูดไม่ออก แต่ก็เมาเพียงครั้งเดียวหนิ เขาชอบใช้เรื่องนี้มาขู่เธอตลอดเลย!
เธอสาบาน หลังจากนี้เธอจะไม่ดื่มจนเมาอีก!
ไม่สิ จะไม่ดื่มอีกเลย!
“รีบลงมา!” เสี่ยวอวี้หลินขมวดคิ้ว ทำไมยัยนี้ชอบใจลอยขนาดนี้นะ คุยกับเขาอยู่ แต่ทำไมแววตากลับว่างเปล่า?
“ไม่!” เซี่ยอันน่านั่งอยู่ในรถ เชิดหน้าขึ้น เธอตัดสินใจให้เขาพาตัวเองกลับไป “ถ้าคุณไม่ส่งฉันกลับ ฉันก็ไม่ลง!”
“ลงมาแล้วไปเป็นเพื่อนผม ผมจะได้ส่งคุณกลับ”
เซี่ยอันน่าส่ายหน้า “คุณอย่าคิดว่าจะหลอกฉันได้อีก ฉันไม่เชื่อคุณนานแล้ว! ไม่พาฉันกลับไปตอนนี้ เราก็เผชิญหน้ากันอยู่แบบนี้แหละ!”
“จริงเหรอ?” จู่ๆ เสี่ยวอวี้หลินก็ยิ้มออกมา “ได้ ผมจะเข้าไปคนเดียว เมื่อถึงตอนนั้นก็อย่ามีใครบางคนแอบร้องไห้อยู่ในรถแล้วกัน”
“คุณ…คุณหมายความว่ายังไง?” เมื่อได้ยินคำพูดของเสี่ยวอวี้หลิน เซี่ยอันน่าก็อดไหวใจเสียไม่ได้ ตอนซ่อนตัวอยู่ในรถจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเธอใช่ไหม? เขาต้องโกหกเธออยู่แน่นอน!
เสี่ยวอวี้หลินเห็นเธอลังเลใจ จึงรีบพูดต่อทันที “ถ้ายังโชคดีอยู่ ที่นี่เป็นภูเขาแห้งแล้ง รอจนตกกลางคืน มีสัตว์อะไรออกมาบ้างผมก็ไม่แน่ใจ รถของผมคงกันพวกสัตว์ตัวเล็กๆ ได้ แต่ถ้าเป็นสัตว์ที่มีขนาดมหึมา มันคงมีพละพลังมหาศาล!”
“คุณโกหก!”
เซี่ยอันน่าควบคุณสติตนเอง อย่าปล่อยให้ตัวเองคิดตามที่เสี่ยวอวี้หลินพูด
เขาต้องล้อเล่นอยู่แน่นอน คนคนนี้มีนิสัยแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร!
“โอเคๆ ผมโกหก งั้นคุณอยู่ที่นี่นะ ผมจะเข้าไป”
พูดจบเสี่ยวอวี้หลินก็หันเดินเข้าไปยังคฤหาสน์
เซี่ยอันน่านั่งอยู่ในรถ เห็นเขาก้าวห่างออกไปไกลเรื่อยๆ บนท้องฟ้าพระอาทิตย์กำลังตกดิน เสียงแมลงร้องกันให้ทั่ว
ทุกสิ่งรอบตัวทำให้เธอรู้สึกว่าสถานที่แห่งนี้ช่างวังเวง สายลมเย็นพัดมา เธอตัวสั่นเทาอย่างช่วยไม่ได้
“เฮ้! เดี๋ยวก่อน!”
เสี่ยวอวี้หลินที่เดินไปได้ครึ่งทางได้ยินเสียงเธอเรียกตัวเอง มุมปากก็ยกยิ้มขึ้นเพียงแค่ชั่วครู่ จากนั้นหันหลังไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ทำไม จะไปกับผมเหรอ?” สีหน้าของเขากลับมาเป็นเช่นเดิม มองหาต้นไม้แล้วยืนพิงมัน
“คุณ… ที่คุณพูดเมื่อกี้เป็นเรื่องจริงเหรอ?”
เสี่ยวอวี้หลินเลิกคิ้ว “ผมจำเป็นต้องโกหกด้วยเหรอ? ผมมีวิธีที่ง่ายกว่านี้ให้คุณลงมาได้ อย่างเช่นอุ้มคุณลงมา”
“คุณ…” เซี่ยอันน่าอยากด่าให้กับท่าทางของเขา แต่เมื่อคิดอย่างรอบคอบแล้ว ถ้าเขาต้องการให้เธอลงจากรถก็มีอีกหลากหลายวิธี ไม่จำเป็นต้องลำบากขนาดนั้น!
“งั้น… คุณก็เปิดประตูรถสิ” เซี่ยอันน่าเอื้อมมือไปเปิดประตูรถสองสามครั้ง จึงเพิ่งรู้ว่าเสี่ยวอวี้หลินล็อคมันไว้ก่อนเดินจากไป
เสี่ยวอวี้หลินควงกุญแจรถในมือเล่น เขาไม่เดินเข้ามา โยนกุญแจขึ้นไปบนอากศอยู่หลายครั้ง “ขอร้องผมสิ”
“คุณ…” เซี่ยอันน่ากัดฟันกรอด เห็นได้ชัดว่าเขาพาตัวเธอมายังสถานที่แห่งนี้ เธอไม่อยากเข้าไปตั้งแต่ทีแรก ตอนนี้ให้เธอเป็นฝ่ายขอร้องเขา นี่มัน… ไม่มีเหตุผลชัดๆ!
ครั้งสุดท้ายเสี่ยวอวี้หลินโยนกุญแจขึ้นไปบนอากาศอย่างแรง แล้วคว้ามันไว้อย่างรวดเร็ว “ด่าผมในใจก็ไม่มีประโยชน์หรอก ผมให้เวลาคุณคิดเพียงสามวิ ถ้ายังไม่พูด ผมจะไปแล้วจริงๆ”
“หนึ่ง”
“สอง”
“สาม!”
เซียวอวี้หลินไม่พูดต่อ เขาหมุนตัวไป
“รอเดี๋ยว!”
เซี่ยอันน่ากัดฟัน “ฉันขอร้อง!”
“อะไรนะ?” เสี่ยวอวี้หลินเอามือป้องหู “ผมไม่ได้ยินเลย พูดดังๆหน่อย”
เซี่ยอันน่ากำหมัดแน่น อยากจะเตะเขาลงไปนอนกองบนพื้น แต่ตอนนี้ติดเพียงแค่เธอถูกขังไว้ในรถ
“ฉันขอร้อง ขอร้องคุณช่วยปล่อยฉันออกไปเถอะ พอใจรึยัง!”
“นี่คือท่าทางของคนที่กำลังขอความช่วยเหลือเหรอ?” เสี่ยวอวี้หลินก้มหน้าไม่สนใจ ในแววตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
เซี่ยอันน่าโกรธมาก กระทืบเท้าอย่างแรงจนรถสั่นสะเทือน
“เฮ้! อย่าขยับ รถคันนี้เป็นรุ่นล่าสุด แค่ต้องทาสีนิดเดียวต้องใช้เงินเป็นล้านเลยนะ!” ท่าทีของเสี่ยวอวี้หลินสงบลง ได้ยินเสียงดังออกมาจากรถลูกรักที่ไร ก็เป็นทุกข์ทันที
เซี่ยอันน่าที่ได้ยินเขาพูดเช่นนั้นก็แอบหัวเราะสะใจ ในที่สุดก็จับจุดเขาได้ ดูสิว่าจะหยิ่งได้สักแค่ไหน
“เอาล่ะ ถ้าคุณไม่ปล่อยฉันลง ฉันจะเตะมัน!”
ในที่สุดเสี่ยวอวี้หลินก็ขยับตัว เดินไม่กี่ก้าวก็มาถึงด้านหน้ารถ จ้องมองคนในรถอย่างดุดัน “คุณกล้าเหรอ!”
“ดูสิว่าฉันกล้าหรือไม่กล้า!” เซี่ยอันน่าเงยหน้าขึ้น เพื่อใช้อำนาจคุกคามเสี่ยวอวี้หลิน เธอใช้เท้าถีบรถอย่างแรง
“โอเคๆๆ ผมจะปล่อยคุณ ผมจะปล่อยคุณ เลิกเตะได้แล้ว!”
เสี่ยวอวี้หลินรีบกดกุญแจที่อยู่ในมือ รถเสียงดังตี๊ด เซี่ยอันน่าลองเปิดประตู แล้วประตูก็เปิดออก
“เฮ้ย!” เซี่ยอันน่าไม่ทันระวัง ตกลงมาจากรถแล้วหัวเข่าขูดกับรถจนเป็นแผลเล็กน้อย
เสี่ยวอวี้หลินโกรธมาก เมื่อเห็นเธอตกลงมาจากรถ จึงจงใจถอยหลังไป คิดอยากทำให้เธอทุกข์ทรมาน แต่เมื่อเห็นหัวเข่าเธอมีเลือดออก ก็อดสงสารไม่ไหว
“ทำไมไม่ระวัง โง่จริงๆ” เสี่ยวอวี้หลินช่วยพยุงเซี่ยอันน่ายืนขึ้นมา แม้ว่าในใจจะเป็นห่วง แต่คำพูดจากปากกับเป็นพิษ!
เซี่ออันน่าจ้องมองเขา พูดด้วยความไม่สบอารมณ์ “ไม่ใช่เพราะคุณหรอกเหรอ!”
“และฉันเห็นว่าคุณเพิ่งจะก้าวถอยหลังไป!”
“ตัวเองไม่ทันระวังก็โทษคนอื่น ลงรถไม่เป็น คุณตาถั่วรึไง!” เสี่ยวอวี้หลินแตะจมูกตัวเองอย่างไม่สบายใจ แม้เขาจะตั้งใจทำ แต่เมื่อเห็นเธอจ้องก็น่าอายอยู่หน่อย ปกติเขาก็ไม่ได้ไม่เป็นสุภาพแบบนี้ ไม่ใช่เพราะเธอยั่วโมโหและเพราะโกรธตัวเอง
ทั้งสองทะเลาะกันตลอดทางที่เข้าไปยังคฤหาสน์บนภูเขา ด้านในตกแต่งอย่างงดงามโอ่อ่า ยิ่งเดินเข้าไป ยิ่งได้ยินเสียงผู้คนพูดคุยกันดังขึ้น
ตอนที่รออยู่ด้านหน้าคฤหาสน์ ได้ยินเสียงเปียโนแว่วมา
“ที่นี่คือที่ไหน?” เซี่ยอันน่าขมวดคิ้วถามอย่างช่วยไม่ได้ ในห้องนั่งเล่นมีคนสองสามคนจับคู่กันเต้นรำ แม้ว่าเธอจะสายตาสั้นแต่ก็มองออก นี่คืองานเลี้ยง