นัทธีก้มหน้าลงมองเด็กผู้ชายที่สูงไม่เกินไปกว่าต้นขาเขา คิ้วที่เย็นชาผ่อนคลายลงไม่น้อย“หม่ามี๊หนูล่ะ?”
“หม่ามี๊อยู่ข้างในครับ”อารัณชี้ไปในห้อง จากนั้นก็หันข้างเปิดทางประตูออก“คุณอานัทธีเข้ามาสิครับ”
“รบกวนด้วย”นัทธีพยักหน้าเล็กน้อย
เข้าไปในห้อง อารัณก็ตะโกนไปทางห้องน้ำว่า“หม่ามี๊ คุณอานัทธีมา”
เสียงของวารุณีดังออกมาจากห้องน้ำ“ลูกช่วยหม่ามี๊ต้อนรับคุณอาก่อน”
อารัณตอบอือไปอย่างเชื่อฟัง แล้วตบไปที่โซฟาทันที“คุณอานัทธีเชิญนั่งก่อนครับ เดี๋ยวหม่ามี๊ก็จะออกมาแล้ว”
“โอเค”นัทธีวางผ้าห่มลงแล้วนั่งลงไป
อารัณหันหน้าเล็กๆสำรวจไปทำผ้าห่ม“คุณอานัทธี ทำไมอาถึงกอดผ้าห่มของหม่ามี๊ล่ะครับ”
นัทธีแสดงออกอย่างเข้าใจยากเล็กน้อย“นี่ผ้าห่มของหม่ามี๊หนูเหรอ?”
“ใช่ครับ”อารัณพยักหน้า
ริมฝีปากบางๆของนัทธีเม้มลง ไม่พูดอะไร ในใจมีความรู้สึกซับซ้อน
เขาคิดว่านี่เป็นผ้าห่มผืนใหม่ ไม่เคยถูกเธอห่ม
ที่น่าแปลกกว่านั้นคือ จู่ๆเขาก็ไม่ปัดออก ทั้งๆที่แม้แต่สิ่งของของพิชญาก็ยังขยะแขยง แต่วารุณี……
“คุณอานัทธี”เสียงตะโกนของอารัณทำลายความเงียบของนัทธี นัทธีมองไปที่เธอ“ทำไมเหรอ?”
“หม่ามี๊ออกมาแล้วครับ”อารัณเตือน
นัทธีย้ายสายตาตามไป ก็มองเห็นวารุณีอุ้มไอริณออกมาจากห้องน้ำ
“ขอโทษนะคะประธานนัทธี ที่ให้คุณรอนานเลย หวีผมให้ยัยเด็กนี่เลยใช้เวลาไปหน่อยค่ะ”วารุณียิ้มให้เขาอย่างรู้สึกผิด
“ไม่เป็นไร”นัทธียืนขึ้นมา ตอบไปอย่างเบาๆ
วารุณีมองเขาที่ฟื้นฟูเป็นปกติแล้ว สายตามีความตะลึงเล็กน้อย
ถ้าไม่ใช่ว่าข้อมือยังปวดๆอยู่ เธอคงคิดจริงๆว่าทุกอย่างในเมื่อคืนเป็นภาพลวงตาของเธอ
คนที่แข็งแกร่งแค่ไหน ในใจก็มีด้านที่อ่อนแอที่คนอื่นมองไม่เห็นจริงๆด้วย
“ใช่สิประธานนัทธี คุณสร่างเมาแล้วใช่ไหม?”วารุณีถามอย่างเป็นห่วง ขณะเดียวกันก็วางไอริณที่อยู่ในอ้อมแขนลงด้วย
ไอริณลงไปที่พื้น ก็อยากวิ่งไปทางนัทธี สุดท้ายระหว่างทางถูกอารัณดึงไว้
เขารู้ว่า หม่ามี๊กำลังคุยกับคุณอา เด็กอย่างพวกเขาไม่ควรไปรบกวน
“สร่างแล้ว”นัทธีพยักหน้าเล็กน้อย
“งั้นก็ดี ต่อไปประธานนัทธีดื่มเหล้าน้อยๆดีกว่าค่ะ คุณเมาแล้วก็ล้ม มันอันตรายมากเลยนะคะ”วารุณีพูดถึงด้วยความจริงใจ
นัทธีพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“เมื่อวานเป็นวันครบรอบวันตายของคุณปู่ ก็เลยดื่มมากไปหน่อย”
นอกจากนี้ ไม่มีใครรู้ว่า เมื่อวานเป็นวันครบรอบวันตายของพ่อแม่เขาด้วย
“แบบนี้นี่เอง ขอโทษค่ะประธานนัทธี ฉันไม่ได้ตั้งใจ ……”
ยังไม่ทันพูดจบ นัทธีก็โบกมือ ตัดบทอย่างไม่สนใจ“ไม่เป็นไร”
ถึงแม้เขาไม่เก็บมาใส่ใจ แต่วารุณีก็ยังเสียใจอยู่หน่อย คิดเล็กน้อย แล้วเปลี่ยนหัวข้อ“ประธานนัทธีคุณกินข้าวเช้ายังคะ?ถ้ายังไม่กินก็กินด้วยกันเถอะค่ะ ฉันจะไปเตรียมตอนนี้เลย”
พูดไป เธอก็ไม่ให้โอกาสเขาปฏิเสธ เดินไปทางห้องครัว
ในห้องรับแขกเหลือแค่นัทธีกับเด็กสองคนที่มองตากัน
ไอริณสะบัดมือของอารัณออก เดินไปกอดต้นขาของนัทธี เงยหน้าเล็กๆขึ้นแล้วมองไปที่นัทธีอย่างน่าเอ็นดู“คุณอานัทธี ไอริณคิดถึงคุณอาจัง”
“คิดถึงอา?”นัทธีเลิกคิ้วขึ้น
อารัณก็เดินเข้าไปสองสามก้าว“สองวันนี้ ไอริณเอาแต่ถามถึงคุณอานัทธีกับหม่ามี๊ครับ”
“เหรอ”ริมฝีปากบางๆของนัทธียกขึ้น อารมณ์ดูเหมือนจะดีขึ้นมาก
“ถามอะไรเหรอ?”เขาก้มเอวอุ้มไอริณขึ้นมา อย่างสนใจหน่อยๆ
อารัณกะพริบตา“แน่นอนว่าถามว่าเมื่อไหร่จะได้เจอคุณอานัทธีอีก”
“มีแต่ไอริณถาม แล้วหนูล่ะ?”นัทธีก้มหน้าลงมองเด็กชายตรงหน้า สายตาเต็มไปด้วยความคาดหวังที่เขาเองก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ“หนูได้ถามถึงอาไหม?”
“มีครับ!”อารัณยอมรับอย่างใจกว้าง
ความโค้งที่มุมปากนัทธีนั้นชัดขึ้น แม้แต่ภายในใจที่เยือกเย็นมาเสมอ ก็อ่อนลงในเวลานี้
“ไอริณ ช่วยหม่ามี๊หยิบไข่สองใบหน่อย”ทันใดนั้น เสียงของวารุณีก็ออกมาจากห้องครัว
ไอริณตอบรับไป แล้วตบหลังมือของนัทธี“คุณอา หนูจะลงค่ะ”
นัทธีวางเธอลง เธอจัดกระโปรงที่ตัว แล้ววิ่งไปที่ตู้เย็น
นัทธีเอาแต่มองเธอ จนเธอหยิบไข่ไก่สองใบ แล้วเข้าไปในห้องครัว จึงละสายตาแล้วถามว่า“พ่อพวกหนูไม่อยู่เหรอ?”
ฉับพลันเขาก็คิดขึ้นได้ว่า ตั้งแต่เขาเข้ามา ก็ไม่เห็นพงศกรเลย
“พ่อ?”อารัณเอียงหัว“ผมไม่มีพ่ออ่ะ”
นัทธีตะลึงหน่อยๆ“พงศกรไม่ใช่พ่อหนูเหรอ?”
“ไม่ใช่ครับ”อารัณส่ายหน้า“นั่นเป็นพ่อบุญธรรม ก็แค่ไอริณชอบเรียกเขาว่าพ่อ”
พ่อบุญธรรม?
นัทธีขมวดคิ้ว
งั้นหมายความว่า พงศกรก็ไม่ใช่สามีของวารุณี?
ไม่รู้ว่าทำไม นัทธีรู้สึกว่าในใจมีความปีติแปลกๆ
แต่เขาไม่ไปคิดว่าความรู้สึกปีตินี้มาจากไหนกันแน่ หรี่ตาลงเล็กน้อยถามไปอีกว่า “งั้นพ่อพวกหนูล่ะ?”
อารัณยักไหล่“ไม่รู้ครับ พวกเราไม่เคยเห็นพ่อเลย”
“ไม่เคยเห็น?”
“อือ!”อารัณพยักหน้าเล็กๆนั้น
นัทธีมองลงไปแล้วครุ่นคิด
พูดแบบนี้ งั้นหมายความว่าก่อนที่เด็กสองคนนี้เกิด วารุณีก็เลิกกับผู้ชายคนนั้นที่หนีตามกันไปเหรอ?
ไม่น่าล่ะเด็กสองคนนี้ถึงได้นามสกุลศรีสุขคําเดียวกับเธอ!
“คุณอานัทธี คุณอากำลังคิดอะไรครับ?”อารัณยื่นมือเล็กๆไปส่ายตรงหน้านัทธี
สายตานัทธีเป็นประกาย ได้สติคืนมา“เปล่า”
ตอนนี้เอง วารุณีถือถ้วยชามสองอันออกมาจากห้องครัว ไอริณเดินตามหลังมา เดินไป พร้อมกับพูดเสียงนุ่มๆไปว่า“พี่ คุณอานัทธี รีบมากินข้าว”
“มาแล้ว”อารัณย่อโซฟาลง ดึงนัทธีเดินไปที่โต๊ะอาหาร
อาหารเช้าง่ายๆ ก็คือโจ๊กผักธรรมดากับผักไม่กี่อย่าง
นัทธีชิมไปหนึ่งคำ รสชาติเทียบกับที่ป้าส้มทำอีกไกล แต่ไม่รู้ว่าทำไม ในใจกลับพอใจเป็นพิเศษ
จนกระทั่งเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่า ที่แท้กินข้าว ไม่ใช่แค่เพื่อรับมือกับความต้องการทางกายภาพ แต่มีความเป็นไปได้ที่จะเพลิดเพลินด้วย
เขาเพลิดเพลินกับบรรยากาศที่กินข้าวกับพวกเขาสามคนแม่ลูก เป็นความผ่อนคลายอย่างนั้น
กินข้าวเช้าเสร็จ นัทธีก็พาสามคนแม่ลูกออกจากบ้าน
เขาส่งเด็กสองคนไปที่โรงเรียนอนุบาลก่อน จากนั้นจึงพาวารุณีไปที่บริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ป
แต่ตอนที่ยังห่างจากบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ปอีกหนึ่งร้อยกว่าเมตร วารุณีลงจากรถ ซึ่งเธอต้องการเอง
ไม่งั้นจะมีคนเห็นเธอนั่งรถของนัทธีมา ถ้าไปถึงหูของพิชญา ก็จะเกิดปัญหาที่ไม่จำเป็นอีก
ดังนั้นเธอจึงเดินไป
สิบกว่านาทีถัดมา วารุณีมาถึงบริษัท เพิ่งจะวางกระเป๋าลง เพื่อนร่วมงานแผนกจัดซื้อคนหนึ่งก็มาหา“คุณวารุณี เกี่ยวกับเรื่องการจัดซื้อผ้า พวกเราเจอปัญหาบางอย่างครับ”
เพื่อนร่วมงานเอารายการจัดซื้อในมือยื่นให้เธอ
วารุณีมองอย่างสงสัย“ปัญหาอะไรคะ?”
“ก็คือประเภทของผ้าที่คุณต้องการนั้นมากเกินไป และก็ผ้าที่ชื่อเหมือนกันก็มีอยู่หลายรุ่น พวกเราไม่แน่ใจว่าคุณต้องการแบบไหนกันแน่ ก็เลยไม่สามารถกระจายสินค้าให้ได้ครับ”เพื่อนร่วมงานหัวเราะอย่างขมขื่นแล้วถาม
วารุณีฟังจบ จึงตบหน้าผากอย่างหงุดหงิด“ขอโทษค่ะขอโทษ เป็นความสะเพร่าของฉันเอง ฉันลืมไปว่านี่คือในประเทศ”
เพราะว่าที่ต่างประเทศล้วนแต่เป็นเธอออกแบบเสร็จ อาจารย์จะช่วยเธอเลือกผ้าที่เหมาะสมที่สุด
ดังนั้นเป็นแบบนี้มานานแล้ว เธอจึงลืมว่าต้องทำเครื่องหมายรุ่นผ้า
เพื่อนร่วมงานหัวเราะอย่างเข้าใจ“ไม่เป็นไรครับ งั้นคุณวารุณี ผ้านี้ ……”
“ฉันจัดการเองค่ะ ถึงจะเป็นผ้าที่รุ่นเดียวกัน ก็มีความแตกต่างในรายละเอียด เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่ตามมาในภายหลัง ฉันไปเลือกเองดีกว่า คุณเอาที่อยู่ให้ฉัน”วารุณีพูด
เพื่อนร่วมงานให้นามบัตรใบหนึ่งเธอทันที
วารุณีรับมา“ตระกูลแววสูงเนิน?”