“นาง……นางแบบโสเภณี?”ดวงตาของสุชาดาเบิกโต มองปาจรีย์อย่างไม่อยากจะเชื่อ“เธอกล้าด่าฉันขนาดนี้เลยเหรอ?”
“ฉันพูดผิดตรงไหน?”ปาจรีย์เหลือบมองเธออย่างดูถูก“ก็แค่เคยถ่ายปกนิตยสารไม่กี่เล่มก็เท่านั้น แล้วคิดว่าตัวเองเป็นซูเปอร์โมเดลจริงๆ แล้วยังจะแนะนำดีไซเนอร์ให้อีก เธอรู้จักดีไซเนอร์สักกี่คนเชียว ถึงได้มาโชว์พราวตรงนี้น่ะ”
พูดไป ปาจรีย์ก็มองบนใส่“อ้อฉันลืมไป เธอไม่ได้ดัง ดีไซเนอร์ที่รู้จักก็น่าจะไม่ดังเหมือนกัน ดังนั้นดีไซเนอร์ไม่ดังแบบนี้ เธอเก็บไว้ใช้เองเถอะ อย่าแนะนำให้คนอื่นรู้จัก เจะได้ไม่ต้องอายใคร”
“เธอ……เธอ……”สุชาดาชี้ใส่เธอ น้ำเสียงสั่น พูดจาไม่ชัด
ปาจรีย์ตบมือของสุชาดาออก“เธออะไรเธอเหรอ รบกวนทำลิ้นให้ตรงแล้วพูดใหม่โอเคไหม?”
“ฮึ!”เห็นสุชาดาถูกเพื่อนรักต่อว่าอย่างนี้ วารุณีอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
เสียงหัวเราะของเธอทำให้สุชาดาไม่สามารถรับได้ กำฝ่ามือแล้วกรีดร้องออกไป“เธอขำอะไร?”
“ทำไม เธอคิดว่าเธอเป็นใคร คนอื่นหัวเราะเธอไม่ได้เหรอ?”ปาจรีย์เอามือเท้าเอว
สุชาดาเถียงเธอไม่ได้ หน้าแดงระเรื่อขาว ดูตลกมาก
สุดท้าย สุชาดาก็จ้องวารุณีกับปาจรีย์เขม็ง แล้วทำเสียงฮึดฮัดหันกลับออกไป
แต่ก่อนไป เธอไม่ลืมที่จะทิ้งคำพูดอันร้ายกาจไปว่า“คอยดูเถอะ ฉันไม่ปล่อยพวกเธอแน่”
“เหอะ พูดเหมือนพวกเราจะปล่อยเธองั้นแหละ!”ปาจรีย์ทำเสียงฮึดฮัดด้วยใบหน้าที่ไม่พอใจ จากนั้นหันกลับ มองไปที่วารุณี“วารุณี เมื่อกี๊เธอไม่ได้ทำอะไรเธอใช่ไหม?”
“ไม่เลย”วารุณีส่ายหน้า
ปาจรีย์โล่งอก“งั้นก็ดี ต่อไปเจอเธออีก ด่ากลับไปเลย ไม่ต้องไว้หน้าเธอ”
วารุณีหัวเราะตอบกลับไป“เข้าใจแล้ว แต่ว่าปาจรีย์ เธอไม่ถูกกับเธอเหรอ?”
เธอบุ้ยปากไปทางที่สุชาดาออกไป
ปาจรีย์พยักหน้า“เดือนที่แล้วตอนที่ฉันไปคุยเรื่องธุรกิจ เคยเจอผู้หญิงคนนี้ครั้งหนึ่ง เธอถูกใจงานออกแบบในมือฉัน อยากซื้อไป แต่ฉันไม่ขาย เธอเลยหาเรื่องฉัน ฉันเลยจำเธอไว้ แต่เธอน่ะวารุณี เธอมีปัญหากับยัยนั่นได้ไง?”
“เธอเป็นรูมเมทฉันที่มหาวิทยาลัยจันทร์”วารุณีเดินไปที่ห้องส่วนตัวไป ก็เล่าเรื่องที่มหาวิทยาลัยให้เธอไปด้วย
ปาจรีย์ฟังจบ ก็หรี่ตาลงอย่างครุ่นคิด“งั้นฉันพอจะรู้แล้ว ว่าทำไมเธอไม่ถูกชะตากับเธอ”
“ทำไมล่ะ?”วารุณีมองเธออย่างสงสัย
ปาจรีย์เบะปาก“ยังจะถามอีก อิจฉาตาร้อนไง เธอหน้าตาสวย ชาติตระกูลก็ดี นอกจากยัยนั่นจะหุ่นดีแล้ว ก็ไม่มีอะไร จะไม่อิจฉาเธอได้ไง?”
มุมปากวารุณีกระตุก“ที่แท้ก็แบบนี้ ฉันคิดว่า ฉันทำเรื่องอะไรไม่ดีกับยัยนั่นไปเสียอีก”
“เอาเถอะ สมองของคนแบบนี้ผิดปกติ ไม่ต้องพูดถึงเธอแล้วดีกว่า ทุกคนกำลังรอชนแก้วกับเธออยู่ ยังไงผลงานเดือนนี้ก็ดีมาก เป็นเพราะเธอทำงานอย่างหนัก”ปาจรีย์พูดไป ก็เปิดประตูห้องส่วนตัว
วารุณีเข้าไป ก็ถูกทุกคนกรูกันเข้ามา แต่ละคนชูแก้วจะมาชนกับเธอ
วารุณีสลัดออกไม่ได้ จึงได้แต่ถือแก้วเหล้าของตัวเองขึ้นมาแล้วตอบรับพวกเขาไป
หลังจากดื่มไปได้หลายแก้ว หน้าของเธอก็เริ่มแดง สายตาพร่ามัว เริ่มมีความเมา
ปาจรีย์มองวารุณีที่ยั่วยวนแบบนี้ ก็กลืนน้ำลายอย่างทนไม่ไหว“แม่เอ๊ย รู้สึกขึ้นมาว่าเป็นประธานนัทธี”
“หือ?เธอจะพูดอะไร?”วารุณีฟังไม่ชัด วางแก้วเหล้าลงแล้วถาม
ปาจรีย์โบกมือ“เปล่า ฉันไม่ได้พูดอะไร”
“แบบนี้เอง”วารุณีเงยคางขึ้น ไม่ได้ถาม ยื่นมือไปหยิบกระเป๋าของตัวเอง
ปาจรีย์เห็นแบบนี้ ก็คว้าแขนของเธอไว้“วารุณี เธอไม่อยู่สนุกแล้วเหรอ?”
“อือ มึนหัวหน่อยๆ และก็ดึกแล้วด้วย ฉันกลับไปก่อนนะ เธอก็ดูพวกเขาแล้วสนุกกันให้เต็มที่”วารุณีลูบขมับ พูดขำๆ
ปาจรีย์ปล่อยมือออก“โอเค เดี๋ยวฉันช่วยเธอหาคนขับส่งเธอกลับไปละกัน เธอดื่มเหล้า ขับรถไม่ได้”
“ไม่ต้อง นัทธีบอกจะมารับฉันเอง”วารุณีพูดไป ก็หยิบโทรศัพท์มาโทรหา พูดไป ก็หยิบโทรศัพท์มาโทรหานัทธี
ปาจรีย์ที่ถูกอวดสามีใส่ก็ปิดหน้าอกอย่างพูดไม่ออก“โอเค ถือว่าฉันไม่ได้พูด ฉันไปร้องเพลงละ”
“ไปเถอะ”วารุณีโบกมือ
ปาจรีย์เดินออกไปก่อน โทรศัพท์ก็โทรติด
วารุณีเอาโทรศัพท์วางไว้ข้างหู เสียงหม่นของนัทธีก็เข้ามา“เสร็จแล้ว?”
“ยังค่ะ”เสียงในห้องส่วนตัวนั้นดังมาก วารุณีเดินมาที่หน้าห้องส่วนตัวแล้ว ก็พูดต่อ“แต่ว่าฉันเตรียมจะกลับแล้วค่ะ”
ฟังน้ำเสียงของเธอที่อ่อนเบากว่าปกติเยอะมาก นัทธีแค่รู้สึกว่าหูตัวเองเหมือนถูกขนนกปัดเป่า ก็คันหน่อยๆ
สายตาเขาหม่นลง พูดไปว่า“คุณดื่มเหล้าเหรอ?”
“อือ ดื่มไปสองสามแก้วค่ะ”วารุณีไม่ปิดบังเขา พยักหน้ายอมรับ
“โอเค คุณรอผมที่นั่นแป๊บหนึ่ง ผมจะไปรับคุณเดี๋ยวนี้”
พูดจบ เขาก็วางสาย ถอดผ้าคลุมอาบน้ำลงแล้วโยนไปที่เตียง เดินเปลือยกายไปที่ห้องเสื้อผ้า เตรียมเปลี่ยนชุดออกไปจากบ้าน
วารุณีก็วางโทรศัพท์ลง หันกลับไปที่ห้องส่วนตัว
หลังจากอยู่ในห้องส่วนตัวประมาณยี่สิบนาทีได้ นัทธีก็ส่งข้อความ บอกว่าตัวเองจะถึงแล้วอีกสองสามนาที ให้เธอไปรอที่หน้าทางเข้าอเวนิว
ดังนั้นวารุณีบอกลากับพวกปาจรีย์แล้ว ก็สะพายกระเป๋าออกไปจากประตูของอเวนิว
เดินไปทางเข้า เธอจึงพบว่าด้านนอกยังฝนตก และก็หนักมาก ตกซู่ซ่า ปะปนกับลมเย็นพัดมาที่ตัว ทำให้เธอหนาวจนอดไม่ได้ที่จะตัวสั่น
“วารุณี?”ตอนที่วารุณีกำลังลูบแขนให้ความอบอุ่นตัวเอง จู่ๆเสียงผู้ชายก็ดังขึ้นด้านหลังเธอ และยังตะโกนชื่อของเธอ
วารุณีขมวดคิ้วที่สวยงามนั่น
คืนนี้มันอะไรกัน?
คนรู้จักเธอมากมายขนาดนี้เลยเหรอ?
วารุณีหันไปมองอย่างทนไม่ไหว
เห็นแค่ชายหนุ่มคนหนึ่งที่สวมเชิ้ตลายดอกกับกางเกงลำลอง หน้าตาหล่อหน่อยๆ กำลังยืนห่างเธอไม่กี่เมตร จ้องเธอไม่ละสายตา
เห็นเธอหันหน้ามา ชายหนุ่มก็วิ่งมาตรงหน้าเธออย่างตะลึงทันที“คุณจริงๆด้วย ผมคิดว่าผมมองผิดเสียอีก”
พูดไป เขาก็จะเอามือขึ้นไปแตะไหล่ของวารุณี
วารุณีเม้มริมฝีปากและถอยหลังไป เว้นระยะห่างกับเขา“ขอโทษนะคะคุณคือ?”
“คุณจำผมไม่ได้เหรอ ผมชื่ออัครเดชไง”ชายหนุ่มชี้ใส่หน้าตัวเอง
“อัครเดช?”วารุณีละสายตาลงคิดเล็กน้อย แล้วก็นึกขึ้นได้“ที่แท้ก็คุณนี่เอง”
อัครเดชเหมือนกับสุชาดา มาจากมหาวิทยาลัยจันทร์หมด อัครเดชเป็นลูกคนรวย เพราะว่าสภาพทางครอบครัวนั้นดี หน้าตาก็โอเคเลย ดังนั้นจึงเป็นคนมีชื่อเสียงในมหาวิทยาลัย
คิดไม่ถึงจริงๆว่า จู่ๆคืนนี้เธอจะได้เจอคนที่มหาวิทยาลัยจันทร์ถึงสองคน
“ใช่ผมเอง”เห็นวารุณีนึกออก อัครเดชพยักหน้าไปมาอย่างตื่นเต้น“วารุณี ไม่เจอกันเจ็ดปี คุณสวยขึ้นเรื่อยๆจริงๆเลยนะ”
เขามองสำรวจหน้าตากับหุ่นของเธอไปมา ในแววตาเต็มไปด้วยความทึ่งและน้ำลายแทบหก
วารุณีจับได้ ก็ขมวดคิ้วอย่างรังเกียจ แต่แป๊บเดียวก็ยิ้มกลับไปอย่างเกรงใจเหมือนเดิม“ขอบคุณนะ”
“วารุณี หลายปีมานี้คุณไปไหนมาเหรอ?ตอนนั้นทำไมจู่ๆถึงลาออก?”อัครเดชลูบมือ ถามอย่างสนใจ
รอยยิ้มที่ใบหน้าวารุณีก็แข็งทื่อ
เธอสนิทกับเขาหรือไง?
ถามมากขนาดนี้ทำไม!
ถึงในใจจะคิดแบบนี้ แต่ใบหน้า วารุณีก็ยังตอบกลับอย่างมีมารยาท“ฉันไปต่างประเทศมาน่ะ”
“เหรอ งั้นคุณกลับประเทศมาเมื่อไหร่?”อัครเดชถามอีกครั้ง
ในใจวารุณีก็ยิ่งทนไม่ไหว เก็บรอยยิ้มทันที พูดไปอย่างนิ่งๆว่า“กลับมาระยะหนึ่งแล้ว”
กำลังพูดอยู่นั้น หางตาเธอก็เหลือบเห็นไม่ไกลกันนั้น เบนท์ลีย์คันหนึ่งที่คุ้นตากำลังขับมาทางนี้ผ่านสายฝน