วารุณีฝืนยิ้มออกไป“เปล่าค่ะ”
นัทธีจะมองไม่ออกได้อย่างไรว่าเธอโกหก สายตาหม่นลง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ถามต่อ
วารุณีนั่งลงแล้ว ก็โล่งอกเล็กน้อย
คำว่า‘อารัณเป็นลูกชายผม’เมื่อกี๊ของเขา ทำเธอตกใจจริงๆ จนเธอคิดว่า เขารู้แล้วว่าอารัณเป็นลูกชายแท้ๆของเขาแล้วอย่างไม่รู้ตัว
แต่ว่าทั้งที่เขาไม่รู้เรื่องนี้ ก็ยังยอมเห็นเด็กทั้งสองเป็นลูกแท้ๆ ในใจของเธอรู้สึกตื้นตันใจมาก เธอคิดว่าอีกสักพักหลังจากนี้ จะเอาเรื่องลูกทั้งสองคนนี้ สารภาพกับเขา
คิดไป วารุณีก็ลูบแก้ม หยิบตะเกียบขึ้นมากินอาหารเช้า
กินไปได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆป้าส้มก็หยิบการ์ดเชิญสีดำเข้ามา“คุณผู้ชายคะ อันนี้ป้าเพิ่งหยิบออกมาจากกล่องจดหมาย”
เธอยื่นให้นัทธี
วารุณีเหลือบมองอย่างแปลกใจ แล้วก็ร้องออกมาอย่างแปลกใจ
นัทธีมองเธอ“คุณรู้ว่านี่คืออะไรเหรอ?”
“อือ น่าจะเป็นการ์ดเชิญงานศพของพิชญา ฉันก็มีค่ะ”วารุณีถือนมขึ้นมาดื่มแล้วตอบ
นัทธีขมวดคิ้ว เปิดการ์ดเชิญออก พอดู ก็เป็นการ์ดเชิญงานศพพิชญาจริงๆ
“คุณจะไปไหม?”วารุณีวางนมลงแล้วถาม
นัทธีปิดการ์ดเชิญลง วางทิ้งไว้ข้างๆ ไม่ตอบแต่ถามย้อนไปว่า“คุณล่ะ?”
“ฉันไปค่ะ สุภัทรเชิญฉันแล้ว ฉันจะไปดู”วารุณียักไหล่
นัทธีครุ่นคิดแป๊บหนึ่ง“งั้นผมจะไปกับคุณ”
“โอเคค่ะ”วารุณีตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
ทานข้าวเสร็จ นัทธีก็พาเด็กสองคนนี้ออกจากบ้าน
วารุณีก็อยู่พักผ่อนที่คฤหาสน์
เธอเพิ่งกลับไปที่ห้องของนัทธี โทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา หยิบออกมาดู เป็นเบอร์แปลก อยู่ในท้องถิ่น ลังเลแป๊บหนึ่ง สุดท้ายก็กดรับ“สวัสดีค่ะ ฉันคือวารุณีค่ะ”
“คุณวารุณี ฉันเอง”ที่ปลายสาย เสียงที่อ่อนแรงของนวิยาเข้ามา
วารุณีเงียบไปแป๊บหนึ่ง แล้วจึงพูดใหม่อีกครั้ง“ที่แท้ก็คุณนวิยา คุณนวิยามีเบอร์ฉันได้ไงคะ?”
นวิยานั่งเอนไปที่หัวเตียงคนไข้“ฉันเอามาจากพิชิตค่ะ”
วารุณีพยักหน้าทันที
ในเมื่อเป็นพิชิต จึงพูดได้สมเหตุสมผล
พิชิตเคยดูอาการบาดเจ็บให้เธอหลายครั้ง มีข้อมูลของเธอ ในข้อมูลมีช่องทางติดต่อ
“คุณนวิยา โทรมาหาฉันมีอะไรหรือเปล่าคะ?”วารุณีปิดประตูห้องแล้วถาม
นวิยาละสายตาลง ดูอารมณ์ในสายตาไม่ออก“ฉันได้ยินว่า คุณวารุณีอยู่ที่เดียวกับนัทธีแล้ว และยังย้ายไปที่คฤหาสน์สราญรมย์ด้วยใช่ไหมคะ?”
คฤหาสน์สราญรมย์ ก็คือชื่อเรียกคฤหาสน์นี้ของนัทธี
วารุณีเดินไปที่หน้าเตียง ก้มเอวนั่งลงไปที่ขอบเตียง“ใช่ค่ะ”
“พัฒนาไปเร็วมากเลยนะคะ นี่เพิ่งคบกันไม่กี่วัน ก็ย้ายไปอยู่ด้วยกันแล้ว”นวิยาหัวเราะ
วารุณีฟังเสียงหัวเราะนี้ของเธอไม่ออก ว่าเยาะเย้ยหรือว่าอะไร เม้มริมฝีปากลงไม่พูดอะไร
นวิยาหุบยิ้มลง“ฉันยังได้ยินว่า คุณวารุณีมีลูกสองคนแล้วใช่ไหมคะ?”
ดวงตาวารุณีเป็นประกาย“ค่ะ”
“ที่แท้ก็จริงด้วย”มุมปากของนวิยายกขึ้นมาอย่างเย็นชา“คุณวารุณี ในเมื่อคุณมีลูกสองคนแล้ว คุณยังคบกับนัทธีอีก คุณคิดจริงๆเหรอว่า คุณคู่ควรกับนัทธี?”
คำนี้ทำให้สีหน้าวารุณีหม่นลงไป ในหัวอดไม่ได้ที่จะนึกถึงสุชาดาตอนเมื่อคืนนี้
สุชาดาก็พูดกับนัทธีแบบนี้ ว่าเธอไม่คู่ควรกับเขา
แต่คำตอบของนัทธี กลับเกินความคาดหมายของเธอ ขณะเดียวกันก็ทำให้เธอประทับใจมาก
พอคิดแบบนี้ วารุณีก็หัวเราะอีกครั้ง“คุณนวิยา เกี่ยวกับที่ฉันคู่ควรกับนัทธีหรือไม่นั้น ฉันว่าไม่ต้องให้คุณมาพูดหรอกค่ะ ในเมื่อนัทธียอมคบกับฉัน งั้นก็หมายความว่าในใจของเขา ฉันคู่ควรกับเขา”
นวิยาคิดไม่ถึงว่าวารุณีจะตอบแบบนี้ แล้วยังตอบอย่างมั่นใจด้วย
ที่จริงเธอคิดว่า จะจงใจพูดถึงลูก เอาลูกมาให้วารุณีรู้สึกละอายใจ และเกิดความคิดที่รู้สึกถดถอยไป แต่ไม่คิดว่าวารุณีจะหน้าด้านแบบนี้
“เหรอ?”สายตานวิยามีความเยือกเย็น พริบตาเดียว“ฉันรู้สึกไม่คู่ควรแทนนัทธีจริงๆ ที่ต้องเป๋นพ่อให้ลูกของคนอื่น”
วารุณียังคงยิ้มไม่เปลี่ยน“คุณนวิยา ฉันว่าคุณคิดให้เยอะๆหน่อยนะคะ ตัวนัทธีเองยังยอมเป็นพ่อของลูกทั้งสองคนของฉันอย่างเต็มใจ จะไม่คู่ควรได้ไงคะ”
เป็นพ่อให้ลูกชายลูกสาวแท้ๆ ถือเป็นสัจธรรมความถูกต้องที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้
สีหน้าของนวิยาเหยเกไปทันที“คุณวารุณี คุณตั้งใจทำเป็นไม่เข้าใจความหมายที่ฉันพูดเหรอคะ?”
วารุณียักไหล่“ขอโทษค่ะคุณนวิยา สมองของคนอย่างฉันดื้อรั้นหน่อยๆ ฟังไม่เข้าใจจริงๆ คุณพูดตรงๆดีกว่านะคะ”
“โอเค ในเมื่อคุณพูดแล้ว งั้นฉันจะพูดตรงๆ ฉันต้องการให้คุณเลิกกับนัทธี นัทธีเพอร์เฟคขนาดนี้ เขาไม่ควรคบกับผู้หญิงที่มีลูกแล้วอย่างคุณ คุณมีแต่จะกลายเป็นมนทินของเขา”นวิยาก็ไม่อ้อมค้อมกับเธอ กำโทรศัพท์แน่น ท่ามกลางน้ำเสียงที่แข็งแกร่ง ยังแฝงไปด้วยการออกคำสั่ง
วารุณีละสายตาลงแล้วพูดคำสองคำออกมา“มลทิน?
“ถูกต้อง มลทิน ถ้าโลกภายนอกรู้ถึงการมีอยู่ของคุณ คุณคิดว่าโลกภายนอกจะว่าเขายังไง?ต้องบอกว่าเขารับของเหลือ เป็นผู้ชายตาบอดชอบไปเอาของมือสองมา!”นวิยาพูดอย่างไม่เกรงใจ
ถูกเรียกว่าชายตาบอด ก็คือชายที่มีตาหามีแววไม่
ผู้หญิงใสซื่อบริสุทธิ์กลับไม่เอา ทำไมต้องเอาผู้หญิงที่มั่วผู้ชายแบบนั้นด้วย
สายตาของวารุณีเย็นชาลง ใบหน้าก็ดูไร้อารมณ์“รับของเหลือ?ชายตาบอด?ตอนนี้คุณนวิยามองนัทธีแบบนี้เหรอคะ?”
“ฉันจะมองนัทธีอย่างไร ไม่เกี่ยวกับคุณ แต่โลกภายนอก กลับมองอย่างนี้แน่”นวิยาหรี่ตาลงทำน้ำเสียงเย็นชา
วารุณีเม้มริมฝีปากแน่น“โลกภายนอกจะมองยังไง ฉันไม่อยากรู้ แต่ถ้าคุณนวิยามองนัทธีแบบนี้ งั้นฉันก็คิดว่าความรู้สึกที่คุณมีต่อนัทธี งั้นก็แบบนี้ อีกอย่างนะคุณนวิยา หรือคุณคิดจริงๆเหรอว่านัทธีจะคิดไม่ถึงว่าโลกภายนอกจะพูดกับเขาเรื่องนี้อย่างไร?”
“อะไรนะ?”นวิยาตะลึงเล็กน้อย
วารุณีจัดผม“คุณนวิยา คุณคิดได้ว่าถึงตอนนั้นโลกภายนอกจะมีเรื่องซุบซิบนินทาอย่างไร จากไอคิวของนัทธีแล้ว ไม่มีทางที่เขาคิดไม่ถึงแน่ แต่เขาก็ยังคบกับฉันอย่างแน่วแน่ คุณรู้ไหมทำไม?”
“ทำ……ทำไม?”นวิยาอ้าปาก ถามอย่างไม่รู้ตัว
วารุณีหัวเราะ“เพราะว่าเขาไม่แคร์ เขาไม่กลัวเลยว่าคนอื่นจะว่าเขายังไง ตัวตนและตำแหน่งของเขาแขวนไว้ตรงนั้น ถึงแม้คนพวกนั้นจะพูด ก็ไม่กล้าพูดต่อหน้าเขา”
สีหน้านวิยาดูแย่“ดังนั้นคุณมาพูดตั้งมากมายกับฉันขนาดนี้ คือไม่ยอมเลิกกับนัทธีใช่ไหม?”
“คนที่ใจเต้นก่อนเป็นฉันเองไม่ผิด แต่คนที่จีบก่อนกลับเป็นนัทธี ถึงจะเลิกกัน ก็ควรจะเป็นเขาที่ขอเลิก ดังนั้นคุณนวิยา คุณไปพูดกับเขาเถอะค่ะ ดูว่าเขาจะยอมเลิกไหม ถ้ายอม ฉันจะตกลงทันทีโดยไม่พูดอะไรทั้งนั้น”วารุณีเปิดผ้าห่มออกแล้วนอนลง
นวิยาก้มหน้าลง ไม่พูดอะไร
พูดกับนัทธี?จะเป็นไปได้ไง เธอกลัวว่าพูดไปแล้ว ภาพลักษณ์สวยงามในใจของเขา ก็จะต่างกันมาก และที่ทำให้เธอโกรธที่สุด ก็คือวารุณีผู้หญิงคนนี้ เธอคิดไม่ถึงว่าผู้หญิงคนนี้จะแข็งแกร่ง มีทิฐิสูงขนาดนี้
เดิมทีเธอคิดว่าพูดเรื่องพวกนี้ ถึงแม้ทำให้วารุณีไม่ยอมเลิกกับนัทธี แต่ก็จะทำลายการนับถือตัวเองของวารุณีได้ ทำให้วารุณีสงสัยว่าตัวเองไม่เหมาะกับนัทธีจริงๆ จากนั้นจึงค่อยๆเลิกกับนัทธี แต่สุดท้ายก็ยังทำไม่สำเร็จ ดูเหมือนว่า เธอต้องคิดหาวิธีอื่นแล้ว
คิดไป นวิยาก็สูดหายใจ ระงับความหดหู่และโกรธภายในใจ จู่ๆก็ยิ้มออกมา ยิ้มนั้นอ่อนโยนอย่างมาก“คุณวารุณี ยินดีด้วย คุณผ่านการทดสอบของฉันสำเร็จแล้วค่ะ”
“อะไรนะ?”วารุณีงงเล็กน้อย“การทดสอบ?”