“จับตัวได้แล้ว?”วารุณีสะดุ้ง กระชับโทรศัพท์ในมือแน่นอย่างไม่รู้ตัว รีบถามกลับไปว่า“ตอนนี้พวกเขาอยู่ไหน ?”
“อยู่ที่สถานีตำรวจ เพิ่งจะสอบปากคำเสร็จ ฉันเองก็เพิ่งจะกลับมาจากสถานีตำรวจเหมือนกัน”ปาจรีย์พูดไป มือก็พลางเปิดประตูรถออก
วารุณีหรี่ตาลง “แล้วผลการสอบสวนเป็นยังไง ?”
“ฉันรู้อยู่แล้วว่าเธอจะต้องถาม” ปาจรีย์ขึ้นรถ สีหน้าก็จริงจังขึ้นมา “ผู้ดูแลคลังสินค้ากับหัวหน้าทีมเขาเป็นญาติห่างๆกัน ก่อนหน้านั้นเราไม่เคยรู้กันมาก่อน ว่าสองคนนี้ร่วมมือกัน เอาเงินที่เราจัดสรรไว้ให้ซื้อผ้าคุณภาพดี เขาไปซื้อผ้าคุณภาพต่ำมา แล้วเงินส่วนต่างก็เก็บเข้ากระเป๋าของตัวเอง ”
วารุณีเม้มปาก “แล้วยังไงต่อ”
“นี่เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น เดิมทีที่คลังสินค้ามีผ้าคุณภาพดีอยู่มาก พวกเขาก็ลักลอบแอบเอาไปขาย เงินที่ขายไปก็เก็บเข้ากระเป๋าตัวเอง จากนั้นก็เอาผ้าคุณภาพต่ำเหล่านั้นมาผลิตเสื้อผ้า จุดประสงค์ก็เพื่อจะทำลายชื่อเสียงของบริษัทเราให้เสื่อมเสีย”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ปาจรีย์ก็ถึงกับหัวร้อนเพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องเดียว
วารุณีหลับตาลง “ได้ถามถึงคนที่อยู่เบื้องหลังของพวกเขาไหม ?”
“ถาม แต่ตัวพวกเขาเองก็ไม่รู้ ”ปาจรีย์ยิ้มเยาะ “ทั้งสองคนบอกว่า มีผู้หญิงคนหนึ่งมาจ้างวานพวกเขา”
“ผู้หญิง?”ดวงตาของวารุณีไหววูบ “ผู้หญิงแบบไหน?”
“พวกเขาบอกว่าไม่เห็นหน้าของอีกฝ่าย เพราะผู้หญิงคนนั้นแต่งตัวมิดชิดมาก ใบหน้าถูกพันไปด้วยผ้าพันแผล มองเห็นเพียงแค่ดวงตาคู่เดียวเท่านั้น”
ปาจรีย์นึกไปถึงเมื่อครู่ตอนที่อยู่ในห้องสอบสวน กับสิ่งที่ผู้ดูแลคลังสินค้าพูด
“ถูกปิดบังไว้อย่างมิดชิด……”วารุณีพูดทวนประโยคนี้อีกรอบด้วยเสียงเบา ทันใดนั้นเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ ดวงตาก็เบิกกว้างขึ้นมาทันที “เป็นเขา!”
เมื่อได้ยินดังนั้น มือที่ดึงเบรกมือของปาจรีย์ก็หยุดลง “วารุณี เธอรู้ว่าเป็นใครเหรอ ? ”
“ไม่รู้ แต่เราเคยเห็นเขามาก่อนหน้านั้น”วารุณีส่ายหัว
ปาจรีย์กัดริมฝีปาก“เคยเห็นมาก่อนหน้า?”
“ใช่ เธอจำผู้หญิงคนเมื่อวานที่เราเจอเขาในห้างได้ไหม ? ”วารุณีรื้อฟื้นขึ้นมา “ผู้หญิงคนนั้นก็ปิดบังใบหน้าเอาไว้อย่างมิดชิดเหมือนกันไม่ใช่เหรอ ? ใบหน้าใต้หมวกฮู้ดมองเห็นได้ไม่ชัดเจน แต่ก็เห็นว่ามีอะไรขาวๆโผล่ออกมา และของสิ่งนั้น ก็น่าจะเป็นผ้าพันแผล”
เมื่อได้ยินที่เธอพูด ปาจรีย์ก็ขนลุกซู่ขึ้นมาทันที
เธอลูบไปที่แขน “เฮ้ย นี่เราเคยเจอกับคนร้ายคนนั้นจริงๆด้วย!”
“ใช่”วารุณีพยักหน้าให้
เธอเองก็ไม่คิดว่าเรื่องมันจะบังเอิญขนาดนี้ คนที่เจอ จะเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังของเรื่องราวในครั้งนี้
“ปาจรีย์ สองคนนั้น ยังได้พูดอะไรอีกหรือเปล่า ? อาทิเช่นทำไมต้องมาหาพวกเขาอะไรทำนองนี้ ? ” วารุณีกักเก็บอารมณ์โกรธที่มี แล้วถามขึ้นมาอีกครั้ง
ปาจรีย์ตอบอืมกลับมาคำหนึ่ง“พูด ตอนที่ผู้หญิงคนนั้นมาหาพวกเขา ก็ได้วางแผนเอาไว้ให้พวกเขาเสร็จสรรพ จุดประสงค์ก็เพื่อทำลายชื่อเสียงของเราให้เสื่อมเสีย ให้เราถูกลูกค้าต่อต้านและประณาม จากนั้นก็ล้มละลาย และตัวเธอเองวารุณี จากผลกระทบของเรื่องนี้ก็ถูกวงการออกแบบบอยคอตและคว่ำบาตรไปชั่วชีวิต”
นิ่งไปเพียงชั่วครู่ หญิงสาวก็พูดต่อว่า“หากเป็นแบบนี้ เมื่อเราพลาด เป้าหมายของผู้หญิงคนนั้นก็จะประสบความสำเร็จ และผู้ดูแลคลังสินค้ากับหัวหน้าทีมคนนั้นก็จะได้เงินไปด้วย กระสุนนัดเดียวได้นกสองตัว ผู้ดูแลคลังสินค้ากับหัวหน้าทีมคนนั้น จะไม่ถูกล่อลวงได้ยังไง แต่ไม่คิดว่า ……”
“ไม่คิดว่าเราจะมารู้ตัวกันก่อน ” วารุณีพูดตัดบทเธอ
ปาจรีย์พยักหน้าให้ “ใช่ ยังดีที่เรามีลูกค้าประจำอยู่สองสามเจ้าที่เขาร้องเรียนเข้ามา หรือรอให้ผ่านไปสักพักกว่าเราจะมารู้ตัว เกรงว่าแผนการของผู้หญิงคนนั้นคงจะทำสำเร็จไปแล้ว”
“หากเป็นแบบนี้ ผู้หญิงคนนั้นก็คงได้ยินข่าวลือเรื่องที่เราเจอมา ดังนั้นเธอถึงได้โผล่ไปที่ห้างเมื่อวาน แล้วไปแจ้งเตือนหัวหน้าทีมคนนั้นกับผู้ดูแลคลังสินค้า ไม่งั้นผู้ดูแลคลังสินค้ากับหัวหน้าทีมคนนั้นก็คงจะไม่หนีไปอย่างหวุดหวิดแบบนี้ อย่างน้อยก็น่าจะขายผ้าที่เหลือให้หมดเสียก่อนถึงหนีไป ”วารุณีหลุบตาลงต่ำแล้วคิดวิเคราะห์
ปาจรีย์ถอนหายใจ“สองคนนั้นช่างขี้ขลาดตาขาวจริงๆเราก็ไม่ได้เอาเปรียบอะไรพวกเขา แต่พวกเขาก็ตอบแทนเราแบบนี้”
วารุณียกยิ้ม แต่รอยยิ้มไม่ได้แผ่ไปที่ดวงตา“ไม่มีใครคิดว่ามันจะเป็นเงินก้อนโต ที่พวกเขาทำแบบนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะมันก็ล่อตาล่อใจอยู่มาก แต่ทรยศหักหลังเรา ยังไงก็ต้องได้รับผลกรรม ปาจรีย์ ไปตรวจเช็กดู ว่าพวกเขาเอามันไปแล้วทั้งหมดเท่าไหร่”
“ได้ ฉันจะไปที่โรงงานให้ฝ่ายบัญชีทำสถิติสินค้าคงคลังออกมา ” ปาจรีย์รับคำ
หลังจากที่วางสายแล้ว วารุณีก็คลึงไปที่ขมับ มีท่าทีที่เหนื่อยล้าเล็กน้อย
อารัณรินนมแก้วหนึ่งมาให้เธอ“หม่ามี๊ เกิดอะไรขึ้นครับมีอะไรให้ผมช่วยไหม?”
“ไม่ต้องลูก ”เมื่อได้ยินความเป็นห่วงจากลูกชาย ในใจของวารุณีก็รู้สึกอบอุ่น หยิบแก้วนมมาถือไว้ในมือ“ ทุกอย่างคลี่คลายไปได้มากแล้ว”
“ครับ”อารัณก้มหน้าลงอย่างผิดหวังเล็กน้อย
วารุณีลูบไปที่ศีรษะของเขา “วางใจเถอะ ลูกแม่ฉลาดแบบนี้ อีกหน่อยก็ต้องได้ช่วยแน่ ไม่จำเป็นต้องช่วยเวลานี้ก็ได้ ”
เมื่อได้ยินดังนั้น ความรู้สึกของอารัณก็ดีขึ้นมาทันที รีบพยักศีรษะน้อยๆให้อยู่ซ้ำๆ “ครับ ผมรู้แล้ว ”
ไอริณเองก็ไม่ยอมน้อยหน้ายกมือเล็กๆขึ้น“หม่ามี๊หนูก็จะช่วยงานหม่ามี๊เหมือนกัน”
“ได้จ้า”วารุณีบีบไปที่จมูกเล็กๆของเธอ แล้วยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
ในตอนนี้เองนัทธีก็กลับมาถึงแล้ว
วารุณีหันไปมองเขา “คุณนวิยาไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหมคะ ?”
“ไม่เป็นไรแล้ว”นัทธีดึงเก้าอี้ออกแล้วนั่งลง“ กินยาเสร็จ เธอก็หลับเลย”
“เหรอคะ?”สายตาของวารุณีมีประกายเย้ยหยัน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
เธอไม่ได้เปิดโปงเรื่องที่นวิยาแกล้งเป็นลม เพื่อเห็นแก่หน้าของนายท่านบุญชัย
แต่เด็กทั้งสองคนไม่ได้สนใจอะไร เปิดเผยอาการของนวิยาที่แกล้งเป็นลมออกมา จนทะลุปรุโปร่ง
วารุณีอยากจะร้องห้ามก็ไม่ทันแล้ว ทำได้เพียงหันมองไปยังนัทธี
ใบหน้าของนัทธีเองก็ไม่ได้ประหลาดใจอะไร แม้แต่จะขยับเคลื่อนไหวก็ไม่มีเลยสักนิด
สิ่งนี้ทำให้วารุณีคาดเดาไปเองว่า “ที่รัก คุณรู้ว่าคุณนวิยาเธอแกล้งทำเหรอ ? ”
นัทธียกกาแฟที่เย็นแล้วขึ้นจิบไปคำหนึ่ง “ใช่”
“แล้วคุณ……”
“หากผมฉีกหน้าเธอตรงๆ และทำให้เธออับอาย ไม่รู้ว่าเธอจะทำอะไรลงไปได้บ้าง เพราะฉะนั้นผมจึงต้องแกล้งทำเป็นไม่รู้ ”นัทธีเอ่ยปาก พูดด้วยเสียงที่เรียบเฉย
วารุณีพยักหน้า “ที่คุณพูดก็ถูก ”
“ผมรู้ว่าที่นวิยาแกล้งเป็นลม ก็เพื่อเลี่ยงที่จะตอบคำถามของผม”
นัทธีมองไปยังวารุณี “ขอโทษนะ ผมไม่ได้คิดจะปกป้องเธอ จู่ๆผมก็รู้สึกว่า ผมไม่ได้รู้จักอะไรนวิยาเธอเลย รอให้งานเลี้ยงต้อนรับเธอเสร็จสิ้น ผมจะให้นายท่านบุญชัยมารับเธอกลับไป ”
“งานเลี้ยงต้อนรับ?”วารุณีอึ้งไปครู่หนึ่ง “มันคืออะไรคะ ?”
“พิชิตเป็นคนต้นคิด นวิยาเป็นผู้ป่วยติดเตียงมานานเกือบสิบปี ตอนนี้ฟื้นตัวได้เกือบจะสมบูรณ์แล้ว จึงอยากจะจัดงานเลี้ยงให้เธอ ให้เธอได้กลับเข้าสู่สังคมอย่างเป็นทางการ ”นัทธีบีบไปที่สันจมูกแล้วพูดอธิบาย
วารุณีพูดขึ้นทันที“ อย่างนี้นี่เอง แล้วงานเลี้ยงจะจัดขึ้นเมื่อไหร่คะ ?”
“ต้นเดือนหน้า”
“ก็ใกล้กับวันเกิดของคุณเลยนี่ ”วารุณีกล่าว
นัทธีหัวเราะออกมาเสียงเบา“วันเกิดของผมไม่มีแผนจะจัดงานเลี้ยงอะไร แค่ได้อยู่ด้วยกันกับครอบครัวก็พอแล้ว อย่าลืมนะ ที่คุณบอกว่ามีอะไรจะเซอร์ไพรส์ผมน่ะ ”
เมื่อได้ยินคำว่าเซอร์ไพรส์ วารุณีก็หันไปมองที่เด็กทั้งสองคนอย่างไม่รู้ตัว“ ฉันไม่ลืมค่ะ ฉันขอแค่ให้คุณอย่าตกใจมากไปก็พอแล้ว ”
“หืม?”นัทธีเลิกคิ้วขึ้น
วารุณีมองดูเวลา แล้วจึงเปลี่ยนเรื่องคุย“พอแล้ว สายมากแล้ว ได้เวลาไปส่งเด็กๆที่โรงเรียนอนุบาลแล้ว ไม่งั้นต้องสายแน่ๆ ”
นัทธีตอบอืมกลับมาคำหนึ่ง “ไปกันเถอะ”
ทั้งสี่คนก็เดินออกจากคฤหาสน์ไป
ผ่านไปครึ่งชั่วโมงวารุณีก็เดินทางมาถึงที่บริษัท
ปาจรีย์กำลังรอเธออยู่ เมื่อเห็นเธอเดินเข้ามา ก็หยิบเอารายงานการตรวจเช็กเดินเข้ามาหา“วารุณี ของที่สองคนนั้นยักยอกไปคำนวณออกมาแล้ว”