นวิยายกยิ้ม“ ตาของฉันมองไม่เห็นแล้วค่ะ ”
“มองไม่เห็น?”วารุณีอ้าปากกว้างอย่างประหลาดใจ
แม้เธอจะพอเดาได้ แต่เมื่อได้ยินมันเข้าจริงๆ ก็ยังประหลาดใจอยู่ดี
นัทธีก็พูดขึ้นว่า “ก่อนหน้านั้นดวงตาของนวิยาก็เริ่มพร่ามัวและก็มามีสภาพที่มองไม่เห็น เมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนเธอโทรหาผม บอกว่าเธอมองไม่เห็นอะไรเลย ผมจึงได้รีบกลับมาเพื่อที่จะพาเธอไปโรงพยาบาล”
ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง
วารุณีพยักหน้าให้ทันที ความคิดที่ฟุ้งซ่านกับการกระทำของเขาที่ประคองตัวนวิยานั้นก็ได้จางหายไป
เธอไม่ชอบจริงๆที่พวกเขาใกล้ชิดสนิทสนมกันแบบนี้ แต่นวิยาเป็นคนป่วย เธอจะมาหึงแม้กระทั่งกับเรื่องแค่นี้ไม่ได้
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นคุณ ก็พาคุณนวิยาไปโรงพยาบาลเถอะค่ะ” วารุณีพูดจบ ก็จูงมือของเด็กๆหลีกทางให้ เปิดทางให้พวกเขาได้เดินไป
นัทธีตอบอืมกลับมาคำหนึ่ง“มื้อค่ำพวกคุณก็กินกันไปก่อนนะ ไม่ต้องรอผม หากผมกลับดึก ก็เข้านอนกันไปก่อนได้เลย ”
“ค่ะ”วารุณีเหยียดมุมปาก แสดงให้รู้ว่ารับรู้แล้ว
นัทธีประคองตัวนวิยาเดินออกไป วารุณียืนมองดูพวกเขาจนลับตาไป จากนั้นจึงได้พาเด็กๆเข้าไปในบ้าน
ในคืนนั้น นัทธีไม่ได้กลับมา แต่ได้โทรมาบอก แจ้งว่านวิยาจะเข้าผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตา เขาจะคอยดูอยู่ที่โรงพยาบาล
แม้วารุณีจะไม่พอใจเท่าไร แต่ก็ยอมให้เขาอยู่เฝ้าที่โรงพยาบาล
เช้าวันรุ่งขึ้น ในตอนที่วารุณีกำลังจะพาเด็กๆออกจากบ้าน ป้าส้มก็ถือกระติกน้ำร้อนและถุงผ้าเดินเข้ามาหา“ คุณผู้หญิง วานช่วยเอาของพวกนี้ไปให้คุณผู้ชายด้วยนะคะ”
วารุณีรับกระติกน้ำร้อนและถุงผ้านั้นมา เห็นด้านในถุงผ้าคือเสื้อผ้าของนัทธี ก็ตอบรับ “ได้ค่ะ หนูจะแวะเอาไปให้เขา งั้นพวกหนูขอตัวก่อนนะคะ ”
เมื่อพูดจบ เธอก็พาเด็กน้อยทั้งสองคนออกจากบ้านไป
หลังจากที่ส่งเด็กทั้งสองคนไปโรงเรียนอนุบาลแล้ว วารุณีก็ขับรถมุ่งไปยังโรงพยาบาล สอบถามห้องพักผู้ป่วยของคุณนวิยาแล้วเสร็จ ก็เดินไปหา
เมื่อมาถึงที่หน้าประตู ห้องพักผู้ป่วยนั้นเปิดประตูกว้างเอาไว้ วารุณีที่กำลังจะยื่นมือไปเคาะห้อง ใบหน้าก็ต้องแข็งค้างขึ้นมาทันที
ภาพภายในห้อง นวิยานั่งอยู่บนเตียงคนป่วย ดวงตามีผ้าพันแผลพันตาอยู่ และกำลังกอดนัทธีเอาไว้แน่น ตัวนัทธีเองก็ไม่ได้ผลักร่างของเธอออก และกำลังตบไปที่หลังเธอเบาๆพูดอะไรบางอย่างแก่กัน
เมื่อเห็นภาพๆนี้ วารุณีก็เม้มริมฝีปากแดงแน่น ความคุกรุ่นในใจก็ปะทุขึ้นมา
ภาพเมื่อวานที่เขาประคองหญิงสาว เธอก็ยังพอจะรับมันได้ แต่การกอดกันในวันนี้ เธอรับมันไม่ได้จริงๆ
เธอไม่ใจกว้างพอ ที่แบ่งปันอ้อมกอดของสามีตัวเอง ให้กับผู้หญิงคนอื่น
วารุณีก็จึงก้มหน้าอันเรียวเล็กลง ยกมือขึ้นแล้วเคาะไปที่ประตูดังๆสองที ปลุกคนทั้งสองในห้องพักให้ได้สติ
นัทธีขมวดคิ้ว แล้วหันมามอง เห็นวารุณียืนอยู่ตรงหน้าประตู ดวงตาก็ฉายแววความประหลาดใจ ไม่นานก็กลับคืนสภาพปรกติ ปล่อยมือออกจากนวิยาแล้วลุกขึ้นยืน เดินเข้ามาหาเธอ“คุณมาได้ยังไง ?
“ใครคะ?นัทธี?”นวิยามองไม่เห็น สองมือถือผ้าห่มแล้วถามออกไป
วารุณีมองไปที่เธอแวบหนึ่ง แล้วตอบกลับอย่างเรียบเฉยว่า“ฉันเอง”
“คุณวารุณีนั่นเอง”นวิยาจำเสียงวารุณีได้
วารุณีไม่ได้สนใจเธอ ยัดกระติกน้ำร้อนและถุงผ้าในมือให้กับนัทธีแล้วหันหลังเดินจากไป
นัทธีรู้ว่าหญิงสาวกำลังโกรธเขา คว้าตัวเธอเอาไว้ “จะไปแล้วเหรอ?”
วารุณียิ้มเยาะ“ไม่ไปแล้วจะให้อยู่ขวางพวกคุณกำลังมีความสุขกันหรือไงคะ ?”
คำพูดนี้ทำให้นัทธีรู้สึกตัว การกระทำของตัวเองกับนวิยาเมื่อครู่ ทำเธอเข้าใจผิด อดไม่ได้ที่จะคลึงไปที่หว่างคิ้ว“คุณเข้าใจผิดแล้วมันไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิด”
“ใช่ค่ะคุณวารุณี เมื่อครู่ฉันแค่เกือบจะตกเตียง นัทธีเลยเข้ามาช่วย ไม่ได้มีอะไรเกินเลยทั้งนั้น คุณอย่าคิดมากเลยนะคะ”
นวิยาที่อยู่บนเตียงก็ทำราวกับกลัวคนทั้งสองจะเข้าใจผิดกัน จึงรีบโบกมือเพื่ออธิบาย
แต่วารุณีก็ขมวดคิ้ว ไม่เชื่อในสิ่งที่เธอพูด ดวงตาจ้องมองไปยังนัทธีไม่วางตา “ที่เธอพูดเป็นความจริงเหรอ ?”
นัทธีพยักหน้าให้เล็กน้อย“ นวิยาเพิ่งฟื้นจากการผ่าตัด ฟื้นมาแล้วมองอะไรไม่เห็นก็จึงกลัวมาก เกือบตกลงมาจากเตียง แม้ผมจะช่วยเธอเอาไว้ได้ทัน แต่เธอก็ยังตกใจกลัวอยู่ ดังนั้นผมจึงปลอบเธอก็เท่านั้น ”
ที่คาดไม่ถึงก็คือ มันช่างบังเอิญ ที่เธอมาเห็นเข้าพอดี และเข้าใจผิดนี่แหละ
วารุณีมองออกว่าสิ่งที่ชายหนุ่มพูดนั้นเป็นเรื่องจริง ใบหน้าที่เฉยชา ก็อ่อนลง ความรู้สึกไม่สบายใจที่มี ก็เบาบางลง
เธอดึงมือกลับ แล้วมองไปที่นวิยา“ การผ่าตัดของคุณนวิยาราบรื่นดีไหมคะ ?”
“ขอบคุณคุณวารุณีที่เป็นห่วง ทุกอย่างราบรื่นดีค่ะ ” นวิยายิ้มและพยักหน้าให้
“ดีแล้วค่ะ คุณนวิยาดูแลตัวเองนะคะ ฉันขอตัวก่อนค่ะ” มือวารุณีสางไปที่ผม
“ผมไปด้วย ” ทันใดนั้นนัทธีก็พูดขึ้นมา
ไม่เพียงวารุณีเท่านั้น นวิยาเองก็อึ้งไปด้วยเช่นกัน
เธอเพิ่งจะฟื้นจากการผ่าตัด เขาก็จะไปแล้ว ?
“นัทธี ถ้าคุณไปแล้ว ฉันจะทำยังไงล่ะคะ?” นวิยาขบริมฝีปาก น้ำเสียงของเธอเหมือนจะน้อยใจ
วารุณีนึกหมั่นไส้ แต่ก็เอ่ยถามไปว่า“จริงด้วยค่ะที่รัก คุณนวิยาเธอ……”
“บริษัทมีประชุมสำคัญ ผมไปสายไม่ได้ นวิยายังมีพิชิต และยังมีนางพยาบาล ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”ประโยคหลังนี้ของนัทธี จงใจพูดให้นวิยาได้ยิน
แม้นวิยาจะรู้สึกไม่พอใจมากแค่ไหน ก็ไม่อาจจะรั้งตัวเขาเอาไว้ได้อีก
เพราะชายหนุ่มก็พูดแล้ว ว่าจะไปประชุม หากเธอยังรั้งเขาเอาไว้ ก็ไม่ต่างกับการจงใจหาเรื่องอย่างไม่มีเหตุผล
“ฉันเข้าใจแล้วค่ะ ขับรถดีๆนะคะ”นวิยาเหยียดปาก ฝืนยิ้มออกมา
วารุณีกับนัทธีก็เดินออกจากห้องพัก แล้วออกจากโรงพยาบาลไป
ระหว่างทาง วารุณีก็มองดูรอยคล้ำที่ใต้ตาของชายหนุ่ม และความเหนื่อยล้าที่หว่างคิ้ว อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วง“เมื่อคืนไม่ได้นอนเหรอ ?”
“ไม่ได้นอนเลยทั้งคืน”นัทธีบีบไปที่สันจมูก
วารุณีขมวดคิ้ว “ทำไมไม่ได้นอนล่ะ ?”
“แก้เอกสาร”นัทธีวางมือลงแล้วตอบกลับไป
วารุณีมุมปากกระตุก“ดังนั้นเมื่อคืนคุณแก้เอกสารอยู่ทั้งคืน?”
นัทธีพยักหน้าให้อย่างไม่ได้ใส่ใจ
วารุณีถึงกับพูดไม่ออก หลังจากที่เดินออกมาพ้นประตูของโรงพยาบาล เห็นเขาหยิบกุญแจรถออกมาจากกระเป๋า ก็จึงไปแย่งมันมา“ไม่ได้นอนมาทั้งคืนอย่าขับรถเลย การอดนอนเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดอุบัติเหตุไม่รู้เหรอ ? เพราะฉะนั้นฉันจะขับให้ ปรกติคุณเป็นคนไปส่งฉันที่ทำงาน วันนี้ฉันจะขับไปส่งคุณเอง”
พูดจบ เธอก็เดินนำหน้าไปยังรถของเขา
นัทธีมองดูแผ่นหลังของเธอ ก็หัวเราะออกมาเบาๆ ถือกระติกน้ำร้อนและกระเป๋า เดินตามหลังไป
วารุณีขับรถของนัทธี แล่นออกไปยังท้องถนน ส่วนรถของเธอเอง ก็จอดมันทิ้งไว้ที่โรงจอดของโรงพยาบาล กะว่าอีกสักประเดี๋ยวจะให้คนมาขับไปยังที่ทำงานให้เธอ
ระหว่างทาง วารุณีก็เหลือบมองไปยังชายหนุ่มที่นั่งอยู่เบาะด้านข้างคนขับ“ป้าส้มให้ฉันเอาอาหารมาให้คุณ คงยังไม่ได้กินอาหารเช้าหรอกใช่ไหม กินรองท้องบนรถไปก่อน ”
ตั้งแต่เมื่อคืนจนตอนนี้นัทธียังไม่ได้กินอะไรเลย เดิมทีก็หิวอยู่แล้ว พอได้ยินคำนี้ ก็ไม่ปฏิเสธ เปิดกระติกร้อนขึ้นมาแล้วกินอาหารเช้านั้นทันที
เพื่อให้เขาได้กินมันอย่างสบาย วารุณีก็จงใจขับรถให้ช้าลง การเดินทางที่ต้องใช้เวลาร่วมหนึ่งชั่วโมง เธอใช้เวลาไปหนึ่งชั่วโมงกับยี่สิบนาที ในที่สุดก็มาถึงบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ป
“ถึงแล้วค่ะ”วารุณีจอดรถ
นัทธีก็กินอาหารเสร็จแล้วเช่นกัน และกำลังเอาทิชชูเช็ดปากอยู่
“ขึ้นไปพร้อมกับผมไหม ? ”ในขณะที่เขาเปิดประตูรถลงไป จู่ๆก็ถามเธอขึ้นมา
เดิมทีวารุณีที่อยากจะปฏิเสธ แต่พอคิดได้ว่าไม่ได้มาที่นี่นานแล้ว เมื่อก่อนตอนอยู่ในแผนกออกแบบ ก็มีเพื่อนร่วมงานที่พอจะสนิทกันอยู่บ้าง คำพูดที่อยากจะปฏิเสธก็จำต้องกลืนมันลงคอ
“ก็ได้ค่ะ”วารุณียกยิ้มแล้วพยักหน้าให้
ไปเยี่ยมเพื่อนร่วมงานเก่าๆก็ไม่เลวเหมือนกัน
ทั้งสองคนลงจากรถ ขึ้นลิฟต์เฉพาะในลานจอดรถ ไปยังชั้นบนสุดของตัวตึก