วารุณีพยายามระงับความอ่อนล้าภายในจิตใจเอาไว้ เธอยื่นมือออกไปลูบใบหน้าของเด็กทั้งสองคน “ไม่เป็นไรนะ หนูไม่ต้องเป็นห่วง แม่จะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย”
“แต่ว่า……”
ดูเหมือนอารัณต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง
วารุณีขมวดคิ้ว “เอาล่ะ พวกลูกกลับไปที่ห้องกันก่อนเถอะ ให้แม่อยู่คนเดียวเงียบ ๆ สักพัก แม่จะได้คิดหาวิธีที่จะทำให้พ่อสบายใจ”
“ก็ได้ครับ” อารัณพยักหน้า จากนั้นจึงจูงมือไอริณเดินขึ้นชั้นบนไป
ขณะที่เดินอยู่บนบันได ไอริณก็เอ่ยขึ้นมาเบา ๆ “พี่คะ ถ้าต่อไปพ่อยังทำกับพวกเราเช่นนี้อยู่ พวกเราจะกลับไปเป็นเหมือนแต่ก่อนอีกไหมคะ กลับไปเป็นเด็กไม่มีพ่อ ?”
“ไม่หรอก” อารัณตอบด้วยสีหน้าจริงจัง : “พี่เองก็จะคิดหาวิธีเพื่อให้พ่อกับแม่คืนดีกันให้ได้ ขอแค่พวกเขาคืนดีกัน พ่อก็จะยังคงเป็นพ่อของพวกเราต่อไป”
“ค่ะ ถ้าอย่างนั้นหนูก็จะช่วยด้วยอีกแรง !” ไอริณยิ้มออกมา
“ถ้าอย่างนั้นพวกเรากลับไปคิดหาวิธีที่ห้องกันเถอะ” อารัณเปิดประตูห้อง แล้วจูงเธอเข้าไปข้างใน
ส่วนอีกทางด้านหนึ่ง ภายในห้องหนังสือ
นวิยานั่งอยู่ด้านหน้าโต๊ะทำงานของนัทธีด้วยท่าทีประหม่า “นัทธี คุณกำลังโกรธฉันอยู่หรือคะ ?”
“นวิยา นี่เป็นครั้งที่สองที่คุณใส่ร้ายวารุณีแล้วนะ ครั้งก่อนคุณล้มลงไปเอง แต่กลับกล่าวหาว่าวารุณีเป็นคนผลักคุณ ครั้งนี้คุณเองก็เป็นคนหาเรื่อง แต่คุณไม่เพียงใส่ร้ายวารุณีเท่านั้น กลับดึงเอาเด็กสองคนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย คุณกลายเป็นคนใจร้ายเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ?” นัทธีมองเธอด้วยสายตาที่ดูราวกับกำลังมองคนแปลกหน้า
ในใจของนวิยารู้สึกประหม่า จากนั้นจึงแสดงท่าทีเศร้าโศกออกมา “นัทธี คุณหาว่าฉันใจร้ายอย่างนั้นหรือ ? ทั้งหมดที่ฉันทำก็เพื่อคุณนะคะ”
“เพื่อผม ?” นัทธีขมวดคิ้ว
นวิยาพยักหน้า “ใช่ค่ะ เมื่อคืนฉันถามคุณ ว่าทำไมจู่ ๆ คุณถึงเย็นชากับคุณหนูวารุณี คุณเป็นคนบอกฉันเองว่า คุณหนูวารุณีคือศัตรูของคุณ ดังนั้นฉันจึงอยากจะช่วยคุณ”
“สิ่งที่คุณเรียกว่าความช่วยเหลือ คือการใช้คำพูดทำร้ายจิตใจเด็กสองคนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อย่างนั้นหรือ ?” นัทธีตบฝ่ามือลงบนโต๊ะ
นวิยาตัวสั่นเทา “ฉันเองก็จนปัญญา จึงต้องทำเช่นนี้ คุณรักคุณหรูวารุณี แต่ระหว่างคุณทั้งสองมีความแค้นอันลึกซึ้งคั่นกลางอยู่ คุณบอกว่าคุณไม่รู้ว่าจะวางตัวกับคุณหนูวารุณีอย่างไร ดังนั้นฉันจึงคิดหาวิธีให้คุณหนูวารุณียอมไปจากคุณด้วยตัวเอง ดังนั้นจึงได้พูดคำพูดพวกนั้นออกมา”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เธอก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วพูดต่อว่า : “ขอแค่คุณหนูวารุณีไม่อาจทนฟังคำดูถูกเยาะเย้ยพวกนี้ได้ เธอจะต้องยอมไปจากคุณเองแน่นอน เช่นนี้ นัทธีเองก็ไม่ต้องลำบากใจเรื่องการวางตัวกับเธออีกต่อไป”
“คุณทำเพื่อผม หรือทำเพื่อตัวคุณเองกันแน่ นวิยา คุณรู้ดีแก่ใจ” นัทธีหรี่ตาลง และจ้องมองเธอราวกับว่ามองเธอออกอย่างทะลุปรุโปร่ง
นวิยารู้สึกร้อนรน และหลบสายตาเขาโดยไม่รู้ตัว “นัทธี ฉันทำเพื่อคุณแน่นอน ตอนนี้ฉันเองก็อยู่กินกับพิชิตแล้ว ฉันจะทำเรื่องที่ผิดต่อเขาได้อย่างไรกัน”
“หวังว่าจะเป็นเช่นนี้” นัทธีเค้นคำพูดออกมาด้วยความเย็นชา
เมื่อนวิยาเห็นว่าเขาไม่ได้สืบสาวราวเรื่องต่อ ก็รู้สึกโล่งใจ จากนั้นจึงหันมองเขาแล้วพูดขึ้นอีกว่า : “ นัทธี ถ้าอย่างนั้นคุณลองใช้วิธีของฉันดีไหมคะ ในเมื่อคุณเองก็ไม่รู้ว่าควรวางตัวกับเธออย่างไร ถ้าอย่างนั้นการที่คุณสองคนแยกทางกัน ก็ดูจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด”
“นี่เป็นเรื่องของผม ไม่จำเป็นต้องให้คุณเข้ามายุ่ง” นัทธีเม้มปากอย่างหมดความอดทน
นวิยารู้สึกไม่เต็มใจเป็นอย่างมาก “นัทธี คงไม่ใช่เพราะคุณรู้สึกเสียดายหรอกใช่ไหม คุณหนูวารุรณีเป็นหนึ่งในฆาตกรที่ทำให้คุณลุงคุณป้าต้องตาย หากคุณอยู่ร่วมกับเธอ มิหนำซ้ำยังช่วยเธอเลี้ยงดูเด็กสองคนนั่นอีก หากคุณลุงคุณป้ารับรู้ ท่านจะรู้สึกเช่นไรคะ ?”
“พอได้แล้ว คุณออกไปเดี๋ยวนี้ เรื่องของผมไม่จำเป็นต้องให้คุณมายุ่ง !” นัทธีชี้นิ้วไปที่ประตูด้วยสีหน้าที่เย็นชา
นวิยารู้ว่าเขากำลังโมโห จึงไม่กล้าต่อปากต่อคำกับเขาอีก น้ำเสียงของเธออ่อนลงเล็กน้อย “ได้ค่ะ ฉันจะออกไป แต่นัทธี ฉันอยากให้คุณลองคิดดูดี ๆ ทำเช่นนี้จะเป็นการที่ดีสุดทั้งต่อตัวคุณเองและคุณหนูวารุณี ไม่อย่างนั้นพวกคุณจะต้องกลายเป็นคู่แค้นกัน”
พูดจบ เธอก็หันหลังเดินออกไป
บรรยากาศภายในห้องหนังสือกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง นัทธีปิดตาลงด้วยความอ่อนล้า เขายกแขนขึ้นมาปิดบังดวงตาจากแสงสว่าง
ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าการแยกจากวารุณีถือเป็นวิธีที่ดีที่สุด
แต่เขารักเธอจริง ๆ เมื่อคิดว่าต้องแยกจากกันเช่นนี้ ทำให้เขาไม่อาจทำใจได้
เขาควรจะทำเช่นไรดี ?
ขณะที่กำลังคิด เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
นัทธีวางแขนลง แล้วยกโทรศัพท์ขึ้นมา เมื่อเห็นหมายเลขที่ปรากฏอยู่บนจอ เขาก็ยกโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหู แล้วพูดด้วยน้ำเสียงไร้เรี่ยวแรง “มีอะไร ?”
“ได้ยินนวิยาบอกว่า ความสัมพันธ์ระหว่างนายกับวารุณีเกิดรอยร้าวขึ้นอย่างนั้นหรือ ?” พิชิตถาม
นัทธีไม่พูดอะไร
พิชิตถอนหายใจ “ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องจริง นวิยาบอกว่าแม่ของวารุณี เป็นคนที่ขับรถชนคุณลุงคุณป้าตาย เรื่องนี้เป็นจริงหรือเป็นเท็จกันแน่ ?”
“เป็นเรื่องจริง” นัทธีเค้นคำตอบออกมาสามพยางค์
พิชิตขยับแว่นตา “ถ้าอย่างนั้นฉันก็พอจะเข้าใจท่าทีที่นายปฏิบัติต่อวารุณีแล้ว มีความแค้นเรื่องฆ่าพ่อแม่คอยคั่นระหว่างกลางอยู่ คงจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้อีกต่อไป แต่จะให้อยู่ด้วยกันในสภาพเช่นนี้ต่อไปก็คงไม่ได้ คงจะต้องแก้ไขอะไรสักอย่าง แล้วนายคิดที่จะแก้ไขอย่างไรล่ะ ?”
นัทธีเอนตัวลงบนพนักพิง แล้วจ้องมองเพดานด้วยแววตาที่ลึกซึ้ง “ไม่รู้เหมือนกัน”
“ฉันก็ว่าอย่างนั้น ก็นายรักเธอมากเสียขนาดนั้น” พิชิตหัวเราะออกมาเบา ๆ จากนั้นจึงพูดขึ้นมาอีกว่า : “แต่อย่างไรเสียก็ต้องรีบจัดการให้เร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นก็จะไม่เป็นผลดีต่อทั้งตัวนายและวารุณี รวมไปถึงเด็ก ๆ สองคนนั้นด้วย”
“ไม่ต้องให้นายมาเตือนหรอก” นัทธีตอบกลับด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก
พิชิตยักไหล่ “ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นว่านายเป็นเพื่อน ฉันก็คงไม่โทรศัพท์มาหรอกนะ อย่างไรเสียก็รีบจัดการให้เร็วที่สุด ยิ่งยื้อเวลาทุกอย่างก็จะยิ่งแย่ อีกอย่าง ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการเปิดเผยว่าแม่ของวารุณีคือฆาตกรที่ฆ่าคุณลุงคุณป้าตาย คงจะต้องมีจุดประสงค์อะไรบางอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นทำไมถึงคิดเปิดเผยความจริงขึ้นมาในตอนนี้”
“ฉันรู้น่า มารุตกำลังสืบหาความจริงอยู่”
เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่อาจสืบหาความกระจ่างได้
“อย่างนั้นก็ดี ฉันคงไม่พูดอะไรให้มากความอีก คืนนี้ออกมาดื่มเหล้าด้วยกันหน่อยเป็นอย่างไร ได้ยินนวิยาพูดว่าสองวันมานี้นายดูเครียดมาก” พิชิตพูดชักชวน
ริมฝีปากบางของนัทธีขยับเล็กน้อย เดิมทีคิดจะพูดปฏิเสธ แต่ในที่สุดกลับเอ่ยปากรับคำ
หลังจากวางสาย เขาก็วางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ จากนั้นจึงลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องหนังสือไป
ขณะที่เดินไปถึงบันได เขาก็เห็นวารุณีกำลังเดินขึ้นมาจากด้านล่าง
วารุณีเองก็กำลังคิดที่จะไปหาเขา เมื่อมองเห็นเขาแววตาจึงเป็นประกายขึ้นมา “นัทธี รอเดี๋ยวก่อนค่ะ”
เธอกลัวว่าเขาจะไม่สนใจเธอ จึงรีบคว้าแขนของเขาเอาไว้ เพื่อไม่ให้เขาจากไป
นัทธีเองก็ไม่ได้สะบัดมือเธอออก เขาหยุดฝีเท้าลง
วารุณีถอนหายใจออกมาเล็กน้อย “นัทธี ฉันรู้ว่าคุณไม่อยากพูดกับฉัน แต่ไม่เป็นไร ครั้งหน้าเราค่อยคุยกัน ครั้งนี้ พวกเรามาคุยเรื่องอื่นกันเถอะ ตอนกลางวันฉันส่งข้อความหาคุณ บอกว่ามีความลับบางอย่างจะบอกกับคุณ เดิมทีฉันคิดจะเก็บความลับนี้เอาไว้เป็นของขวัญวันเกิดให้กับคุณ แต่ตอนนี้ฉันรอไม่ไหวอีกแล้ว”
ขณะที่พูด เธอก็สูดหายใจเข้าเต็มปอด เพื่อระงับความตื่นเต้นในใจ จากนั้นจึงจ้องมองเขาแล้วค่อย ๆ เอ่ยปากออกมา “ความลับนี้เกี่ยวข้องกับเด็กทั้งสองคน อันที่จริงแล้ว ฐานะของพวกเขาทั้งสองคน คือลูกแท้ ๆ ของคุณ”
นัทธีรู้สึกตกใจอย่างถึงที่สุด
ลูกแท้ ๆ ของเขา ?
จะเป็นไปได้อย่างไร !
เมื่อเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความตกใจของนัทธี วารุณีก็ก้มหน้าลง “ขอโทษนะคะ ที่ฉันปิดบังคุณมาโดยตลอด เพราะฉันกลัวว่าคุณจะแย่งสิทธิ์ในการเลี้ยงดูเด็กทั้งสองคนกับฉัน แต่ภายหลังพวกเราแต่งงานกันแล้ว ฉันจึงเตรียมที่จะบอกเรื่องนี้กับคุณ เพียงแต่ยังหาจังหวะที่เหมาะสมไม่ได้ ดังนั้นจึงตั้งใจที่จะบอกคุณในวันเกิด แต่คิดไม่ถึงว่า……”
“คุณคิดว่าผมจะเชื่ออย่างนั้นหรือ ?” เธอยังไม่ทันจะพูดจบ ก็ถูกนัทธีพูดตัดบทขึ้นมาอย่างเย็นชา
วารุณีผงะไป เธอเงยหน้าขึ้นมองเขา มองเข้าไปในแววตาที่เย้ยหยันของเขา ดวงตาของเธอเบิกโพลงอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น “นัทธี คุณหมายความว่าอย่างไร คุณคิดว่าฉันกำลังหลอกคุณอย่างนั้นหรือ ?”
“หรือว่าไม่ใช่ ?” นัทธีสะบัดมือเธอออก
วารุณีส่ายหัว “ไม่ใช่แน่นอน สิ่งที่ฉันพูดคือความจริง พวกเขาเป็นลูกของคุณจริง ๆ คืนนั้นเมื่อห้าปีก่อน……”
“พอได้แล้ว พวกเขาใช่ลูกของผมหรือไม่ ผมรู้ดีแก่ใจ คุณคิดว่าผมไม่เคยตรวจดีเอ็นเอหรืออย่างไร ?” สายตาเย้ยหยันของนัทธีรุนแรงขึ้น