“ไม่ใช่” นัทธีส่ายหัวบอกเธออย่างชัดเจน
วารุณีย่นจมูก เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ค่อยเบิกบานใจ คิดไม่ถึงเลยว่าตัวเองจะเดาผิด
จากนั้น เธอคิดดูแล้วจึงถามว่า “สบู่อาบน้ำล่ะ?หรือว่าบาธบอม (Bath Bomb) ฟองน้ำอาบน้ำอะไรพวกนี้ล่ะ?”
นัทธีจะไม่รู้จุดประสงค์ของเธอได้อย่างไร ดูเธอเสียแรงเดาจนความโค้งริมฝีปากบางนั้นชัดเจนมาก แต่ยังคงส่ายหัวบอกเธอว่า “ก็ยังไม่ใช่”
วารุณีหมดความอดทนแล้วกระทืบเท้า “นี่ก็ไม่ใช่ นั่นก็ไม่ใช่ ช่างมันละกัน ฉันไม่เดาแล้ว ทำลายไปเถอะ”
เธอโบกมือ หน้าตาบูดบึ้ง
นัทธีหัวเราะเบาๆ “ฉันใบ้ให้เธออย่างหนึ่งแล้วกัน เป็นของที่สวมใส่”
“ที่เอาไว้ใส่” วารุณีเงยหน้ามองเขา “คือเสื้อผ้า?”
“อื้ม” นัทธีพยักหน้า
วารุณีเลิกคิ้ว “เสื้อผ้าที่หลังอาบน้ำถึงจะใส่ได้ คือชุดนอน?”
นัทธีตาเป็นประกาย “ประมาณนั้น”
เสื้อผ้านั้นก็สามารถใช้เป็นชุดนอนได้
วารุณีขมวดคิ้วด้วยความงงเล็กน้อย “ไม่มีเรื่องอะไรนาน่าจะส่งชุดนอนมาให้ฉันทำไม?อีกทั้งชุดนอนก็ไม่ใช่ของอะไรที่จะให้ใครเห็นไม่ได้สักหน่อย พวกคุณทำไมถึงทำลับๆ ล่อๆ ไม่ยอมบอกฉัน? ไม่ให้ฉันดู?”
เธอแสดงออกมาว่าไม่เข้าใจเป็นอย่างมาก
นัทธีไอเบาๆ ทีหนึ่ง ไม่พูดอะไรต่อ
คำพูดนี้เขาจะพูดต่อไม่ได้ และก็ไม่รู้ด้วยจะต่อยังไงด้วย
หากเขาพูดต่อ และเธอซักไซ้ถามจนถึงที่สุด อยากรู้ว่าทำไมเขาถึงไม่ให้เธอดูชุดนอน
เช่นนั้นปัญหาก็ย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นไม่ใช่เหรอ?
ถึงตอนนั้นเขาจะตอบอย่างไร?
ดังนั้นไม่พูดจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
วารุณีไม่รู้ว่าในใจของชายหนุ่มนั้นกำลังคิดวางแผนอะไรอยู่ และเธอก็ไม่ได้คาดเดา เธอลูบคางพร้อมคิดตรึกตรองถึงความ จุดประสงค์ที่ลีน่าให้ชุดนอน
ลีน่าให้ของขวัญ ที่บอกว่าของขวัญสามารถพัฒนาความรสัมพันธ์ระหว่างเธอกับนัทธี
ชุดนอนจะพัฒนาความสัมพันธ์ได้อย่างไร?
หรือว่าจะเป็นชุดนอนคู่รัก?
ถ้าใช่ มันก็มีผลนิดหน่อยจริงๆ นั่นแหละ
คู่รักหนุ่มสาวเหล่านั้นก็ชอบใส่ชุดคู่รักออกไปชอปปิ้งไม่ใช่เหรอ?
การใส่ชุดคู่รักแสดงให้เห็นว่าความรู้สึกของทั้งสองคนดีมากจริงๆ นั่นแหละ ทำให้คนเห็นก็รู้ได้ว่ากำลังอยู่ในช่วงช่วงโปรโมชั่น
ความคิดของลีน่าน่าจะประมาณนี้นะ
เพียงแต่เธอไม่ค่อยเข้าใจ ทำไมจะต้องให้ชุดนอน ไม่ให้ชุดคู่รักที่ใส่ธรรมดาล่ะ?
วารุณีคิดแล้วก็คิดไม่ออกว่าในนี้แท้จริงแล้วมีความหมายโดยนัยอะไรกันแน่ งั้นก็ไม่คิดแล้ว ถือซะว่าลีน่าเพียงแค่วงจรสมองไม่เหมือนกับเธอ ดังนั้นถึงซื้อชุดนอนแล้วกัน
พอคิดแบบนี้ในใจก็ปล่อยวางชั่วพริบตา และก็ไม่หมกมุ่นอยู่กับของขวัญที่ลึกลับว่าคืออะไรอีกต่อไปแล้ว
นัทธีมองวารุณีที่เดิมทีหว่างคิ้วขมวดเข้าด้วยกัน ยืดออกช้าๆ บนใบหน้างามยังเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา
ก็รู้แล้วว่าเธอคิดได้แล้ว ไม่ติดใจอะไรอีกต่อไปแล้ว
ถึงแม้ไม่รู้ว่าเธอปล่อยวางได้อย่างไร แต่ตัวเธอก็ปลอบตัวเองเรียบร้อยแล้ว ก็ทำให้เขาถอนหายใจโล่งอก
เขาก็กลัวว่าความอยากรู้อยากเห็นของเธอจะรุนแรงอย่างนี้ไปตลอด จะต้องซักไซ้คาดคั้นถามให้ชัดเจน
ถึงตอนนั้น เขาต้องพูดหรือไม่พูดกันล่ะ?
อีกอย่าง เขาจะฝืนทนปิดบังไม่บอกเธอไปตลอดจริงๆ เหรอ?
เขาคิดว่าเขาทำไม่ได้
จุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของเขาคนนี้ก็คือเธอแล้ว แม้แต่ลูกทั้งสามก็ยังเทียบไม่ได้
ในใจของเขา เธอถึงจะเป็นคนที่สำคัญที่สุด
ดังนั้น เขาจะทนมองเธออยากรู้อยากเห็นแบบนี้ไปตลอด ซ้ำยังอยากรู้จนแทบบ้าได้อย่างไรกันล่ะ?
ท้ายที่สุดเขาก็อดไม่ได้ที่จะบอกเธอในที่สุด
เพียงแต่ยังไม่ถึงขีดจำกัดความอดทนของเขา เธอก็ปลอบตัวเองเรียบร้อยแล้ว กลับทำให้เขาสามารถถอนหายใจโล่งอก และไม่ต้องบอกเธอได้แล้ว
อย่างไรก็ตามเมื่อเปรียบเทียบกับอดไม่ได้ที่จะบอกเธอ เขายังยินยอมเอาของขวัญออกมาให้เธอดูในตอนกลางคืนมากกว่า ความประหลาดใจแบบนั้นถึงจะเป็นสิ่งที่เขาอยากเห็นที่สุด
นัทธีคิดอย่างตาเป็นประกาย
วารุณีเห็นสีหน้าและท่าทางแบบนั้นภายในดวงตาของชายหนุ่ม ในใจมักรู้สึกว่าเขาเหมือนกับกำลังคิดอุบายอะไรหรือกำลังวางแผนอะไรอยู่
ทำให้ในใจเธอมีลางสังหรณ์ไม่ดีอย่างหนึ่งอยู่ไม่น้อย
แต่ไม่นาน เธอก็ส่ายหัวไม่คิดมากอะไรอีกแล้ว
ไม่ว่าเขาจะกำลังวางแผนอะไร กำลังคิดอุบายอะไร ตัวเธอคือภรรยาของเขาและเขาไม่มีทางทำร้ายเธอก็เพียงพอแล้ว
ขอเพียงแค่ไม่ทำร้ายเธอ ไม่มีข้อเสียต่อเธอ เช่นนั้นเธอจะเคารพความคิดทั้งหมดของเขา
ก็แบบนี้แหละ ในใจวารุณีถึงแม้จะสงสัยเล็กน้อยว่าในใจชายหนุ่มกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ก็กลับทนไว้ไม่เปิดปากถาม และจากนั้นเธอก็พิงอยู่ในอ้อมกอดชายหนุ่มอย่างเชื่อฟัง เสพความอบอุ่นภายในอ้อมกอดของชายหนุ่ม
และนัทธีก็กอดเธออย่างอบอุ่นไม่พูดอะไร
สองสามีภรรยาก็เงียบอยู่อย่างนั้นไปจนกระทั่งฟ้ามืดลง มีคนเคาะประตูห้องนอน นัทธีถึงจะปลุกหญิงสาวในอ้อมกอดเบาๆ
วารุณีผล็อยหลับในอ้อมกอดชายหนุ่มไปตั้งนานแล้ว อ้อมกอดของชายหนุ่มนั้นสบายเกินไป ดังนั้นทำให้เธอไม่ทันรู้ตัวก็หลับไปเสียแล้ว ทั้งยังไม่รู้ว่านอนไปนานแค่ไหน
จนกระทั่งรู้สึกว่ามีคนกำลังเขย่าตัวเธอ เธอถึงจะขานตอบ แล้วลืมตา
“ตื่นแล้วเหรอ?” เสียงที่อ่อนโยนของชายหนุ่มดังมาจากมาเหนือศีรษะของเธอ
วารุณีขยี้ตา ในที่สุดสายตาก็กลับมาปกติ ตอนนั้นเธอถึงจะมองทุกอย่างภายในห้องได้อย่างชัดเจนในที่สุด
ภายในห้องถึงแม้จะเปิดไฟ แต่แสงไฟก็มืดสลัว เป็นไฟประเภทไฟกลางคืนอัตโนมัติ ไม่ใช่ประเภทที่ต้องให้คนไปเปิด
อีกทั้งไฟประเภทนี้ โดยปกติล้วนต้องเป็นตอนกลางคืน หรือหลังจากฟ้ามืดลงสนิทถึงจะสว่างขึ้นอัตโนมัติ
ก็หมายความว่าตอนนี้เป็นตอนกลางคืนแล้ว
วารุณีตกตะลึง “ฉันนอนไปนานขนาดนี้เลยเหรอ?”
“ไม่นานหรอก สามชั่วโมง” นัทธีจัดการผมที่ยุ่งเหยิงจากการนอนกลับมาให้เธอ
วารุณีกะพริบตา “สามชั่วโมงยังไม่นานอีกเหรอ ฟ้ามืดหมดแล้ว คุณก็ไม่ไปเปิดไฟ ก็หมายความว่าคุณกอดฉันอยู่ในท่าที่ก่อนที่ฉันจะหลับตลอดเลยเหรอ กอดมานานขนาดนี้ คุณไม่เมื่อแขนกับไหล่เหรอ?”
เธอมองชายหนุ่ม ในดวงตาเธอมีความปวดใจและรู้สึกผิดเล็กน้อย
เธอพิงหลับอยู่ในอ้อมกอดของเขามาตลอด แม้แต่เธอก็ยังรู้สึกว่าคอตัวเองเคล็ดอยู่บ้างเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเขาที่ไม่ขยับไปไหนเลย
ดูสีหน้าท่าทางภายในตาของวารุณี นัทธีก็รู้สึกว่าใจของตัวเองนั้นอ่อนเป็นชิ้นๆ หมดแล้ว เขายื่นมือออกไป ลูบแก้มของภรรยาเบาๆ และพูดอย่างอ่อนโยนว่า “ไม่เมื่อย กอดภรรยาตัวเอง จะเมื่อยได้อย่างไรกันล่ะ?” อย่าว่าแต่สามชั่วโมง ทั้งชีวิตก็ยังไม่เมื่อยเลย”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ วารุณีก็ยิ้มทันที “คุณกล่อมให้ฉันดีใจเก่งจริงๆ เลยนะ”
“ผมไม่ได้กำลังกล่อมให้คุณมีความสุข ผมจริงจังนะ” นัทธีหอมหน้าผากเธอ บอกท่าทีของตัวเองกับเธออย่างจริงจัง
ภายในใจของวารุณีแสนอบอุ่น “ที่รักคุณดีจริงๆ เลย”
“คุณเพิ่งจะรู้เหรอ”
“ฉันรู้มาโดยตลอด” วารุณียิ้มตอบ
มุมปากนัทธีก็ยกขึ้น เห็นได้ชัดว่าเขาพอใจกับคำตอบของเธอมาก
จากนั้น เขาตบศีรษะเล็กๆ ของหญิงสาวเบาๆ “พอได้แล้ว หิวหรือยัง?เมื่อกี้นี้แม่บ้านมาเคาะประตูเรียกให้พวกเราลงไปกินข้าวแล้วนะ”
วารุณีก้มศีรษะลูบท้อง “จริงๆ ก็หิวนิดหน่อยแล้วนะ”
“นั้นก็ลุกขึ้นมา” นัทธีดึงมือของเธอลุกขึ้นมาจากบนโซฟา
วารุณีอยากจะดึงมือตัวเอง ก็คือก่อนหน้านี้กอดแขนของตัวเองอยู่ตลอดเวลา
เธอเดินตามชายหนุ่มไปทางประตู พร้อมกับนวดแขนของชายหนุ่มเบาๆ
นัทธีก้มศีรษะมองเธอ “ทำอะไรน่ะ?”
“นวดให้คุณไงล่ะ” วารุณีตอบด้วยรอยยิ้ม “คุณกอดฉันไว้ตลอด แขนคุณคงไม่สบายแน่ๆ คลายให้คุณสักหน่อย แล้วเดี๋ยวตอนดึกฉันนวดไหล่ให้คุณนะ”
“โอเค ขอบคุณนะครับภรรยา” นัทธีตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำ เซ็กซี่
หลังจากวารุณีตอบกลับว่าไม่ต้องขอบคุณ ก็เริ่มนวดแขนของเขาต่อไป
สองสามีภรรยาเดินออกจากห้องพูดคุยหัวเราะกัน ลงไปชั้นล่างและมาถึงที่ห้องอาหาร
ณ ตอนนั้น ภายในห้องอาหารมีคนนั่งอยู่แล้วสองคนคือพงศกรและลีน่า
สองคนนี้นั่งอยู่แถวเดียวกัน กำลังพูดคุยอะไรกันอยู่ ดูแล้วเข้ากันได้ดี อย่างน้อยบรรยากาศก็ไม่ได้มีอะไรผิดปกติ
นี่กลับทำให้วารุณีรู้สึกถึงความไม่คาดฝันและประหลาดใจ
ถึงอย่างไรหลังจากที่ลีน่ารู้ถึงบุญคุณและความแค้นระหว่างพงศกรกับปาจรีย์ ก็มีอคติต่อพงศกรคนนี้อย่างมากมาโดยตลอด ไม่ชอบเขาเอามากๆ
แต่ดูจากตอนนี้แล้ว คาดว่าท่าทีของลีน่าที่มีต่อพงศกรเปลี่ยนไปแล้วเล็กน้อย ไม่งั้นเธอก็คงไม่นั่งด้วยกันกับพงศกร และพูดคุยอย่างเป็นกันเองหรอก