หลินตงเอ่ยกล่าวด้วยความสุภาพระมัดระวังคำพูดของตน แต่กระนั้นเขาก็รู้สึกประหลาดใจมากอยู่ดี
เดือนก่อน เย่หยวนส่งเขามายังเมืองหลวงหวูเมิ่งเพื่อมาสืบเรื่องของฉินเซียว
เย่หยวนมีการวางแผนเตรียมการมาก่อนเสมอ ก่อนที่จะลงมือเคลื่อนไหวอะไร
ระหว่างสืบสวนหลิงตงหาได้พบปัญหาอันใดไม่ ทว่าขณะนั้นเองเขากลับแปลกใจครั้งแล้วครั้งเล่า
หลินตงหาได้แปลกใจเพราะความยากง่ายของตัวภารกิจ แต่แปลกใจที่ไฉนเย่หยวนถึงพิถีพิถันเก็บทุกรายละเอียดขนาดนี้ ก่อนลงมือทำสิ่งต่างๆ
กล่าวได้ว่านี่ยิ่งกว่าแผนลอบสังหาร ระหว่างสืบสวนเย่หยวนไม่เคยทิ้งร่องรอยใดให้ฝ่ายตรงข้ามสงสัยเลยสักนิด
ผู้อาวุโสวัยเยาว์ผู้นี้ที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งมา ทั้งเด็ดขาดและมีวุฒิภาวะไม่สอดคล้องกับอายุเลย
หากให้ดูถูกเขาเพียงเพราะอายุน้อยกว่า พวกมันล้วนแต่ต้องประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่!
หลินตงรู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง ผู้อาวุโสเย่ผู้นี้ฉลาดเกินเด็กทั้งยังเป็นคนที่น่ากลัวอย่างยิ่ง
ไม่ว่าจะเป็นศาสตร์แห่งการต่อสู้หรือศาสตร์แห่งโอสถ ล้วนแกร่งกล้าโดดเด่นทั้งคู่ ทั้งยังเป็นคนที่มองผ่านอ่านสถานการณ์เฉียบขาด ไร้ซึ่งจุดอ่อนอย่างแท้จริง!
สำหรับเย่หยวนที่ได้รับการแต่งตั้งจนกลายมาเป็นผู้อาวุโสแห่งหอโอสถได้ นี่หาใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน
ในตอนนี้ ความขัดแย้งระหว่างผู้อาวุโสใหญ่กับผู้อาวุโสรองทวีความรุนแรงขึ้นทุกวัน บางทีการปรากฏตัวขึ้นของผู้อาวุโสคนใหม่อาจกลายมาเป็นตัวแปรสำคัญระหว่างศึกของทั้งสอง
“ฉินเซียว เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีกไหม?”
หลินตงเอ่ยเสียงเย็นถามออกไป
“ข้า…ข้า…”
จิตใจของฉินเซียวในยามนี้ถูกบดขยี้จะไม่เหลือดี เขาตระหนักดีว่าชีวิตของตนในตอนนี้มันได้จบลงแล้ว
เย่หยวนกล่าวน้ำเสียงชืดเย็นขึ้นว่า
“ดูเหมือนว่าท่านเจ้าเมืองฉินจะไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ผู้พิทักษ์หลินทำลายจุดตันเถียนให้อีกฝ่ายพิการเดี๋ยวนี้ และนำไปขังที่คุกใต้ดินในตำหนักเจ้าเมือง รอวันไต่สวนในเมืองจักรพรรดิในภายหลัง ส่วนจ้าวอี้ก็เช่นกัน ทำลายจุดตันเถียนให้พิการและโยนเข้าคุกใต้ดินไปเช่นกัน เหวินอี้หยาง เนื่องจากถูกบังคับใช้เป็นเครื่องมือโดยจำนน โทษไม่ถึงความตาย แต่ก็ยากที่จะรอดดพ้นทุกข้อกล่าวหา ปลดเขาออกจากตำแหน่งอาจารย์ใหญ่ของสถานศึกษาหวู่เมิ่งและให้อัสนีคำรนขึ้นรับตำแหน่งแทน ส่วนฉินจ้าวหยุน…ประหารชีวิตทันที!”
เมื่อกล่าวจบถึงประโยคสุดท้าย จิตสังหารของเย่หยวนพลันปะทุเดือดขึ้นทันใด
ทุกคนบนท้องถนนปิดปากเงียบกริบรราวกับจักจั่นกลางฤดูหนาว ยามนี้กำลังตื่นตะลึงกับสง่าราศีดั่งราชาของเย่หยวน
ทุกเขาทราบดีว่า ตระกูลฉินที่ปกครองเมืองหลวงหวูเมิ่งมานับแสนปี ยามนี้ได้จบสิ้นลงแล้ว!
การปฏิวัติครั้งใหญ่ในวันนี้นับเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นอย่างยิ่งเช่นกัน
ฟุบ!
ในเวลานั้นเอง ฉินจ้าวหยุนเร่งเร้าพลังทั้งหมดออกมาและตีฝีเท้าทะยานหนีขึ้นขอบไฟในทันใด
หลินตงรวนหัวเราะอยู่คำหนึ่งและชี้นิ้วออกไปใส่อีกฝ่ายเล็กน้อย
บูมมม!
ฉินจ้าวหยุนยังไม่ทันบินออกไปไกล กลับถูกดัชนีระเบิดร่างเป็นจุณไม่เหลือแม้แต่เศษซาก
ด้วความแข็งแกร่งของฉินจ้าวหยุน เขาหรือจะรอดพ้นจากเงื้อมมือของหลินตงได้?
สีหน้าการแสดงออกของเหวินอี้หยางเผยให้เห็นถึงรอยยิ้มแสนขมขื่นใจ
สำหรับฉินเซียวและจ้าวอี้ สีหน้ามืดมนเปี่ยมล้นความสิ้นหวังสุดหัวใจ
แต่พวกเขาก็ไม่คิดแม้แต่จะต่อต้านเลย
หลินตงผู้นี้แข็งแกร่งเกินไป!
กระทั่งฉินเซียวยังหาใช้คู่มือของหลินตง
“จุจุ ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่า ตำหนักเจ้าเมืองและตระกูลฉินจะมาจบสิ้นลงแบบนี้”
“นี่นับว่าสมควรแล้ว! หลายปีมานี้ตระกูลฉินมันหน้าด้านไร้ยางอายเกินไป! ทำตัวราวกับทรราชในเมืองหลวงหวูเมิ่ง!”
“เย่หยวนคนนี้ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ เพียงยี่สิบปีก็สามารถไต่เต้าจากศิษย์ของสถานศึกษาหวูเมิ่งจนกลายมาเป็นผู้อาวุโสแห่งหอโอสถได้! การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ต่อให้ใช้เวลาเป็นหมื่นปีก็ยังเป็นไปไม่ได้!”
“หากฉินเซียวสำนึกในบุญคุณของเย่หยวนตั้งแต่ตอนนั้น เขาคงไม่มีจุดจบเช่นนี้กระมัง?”
…
ท่ามกลวงสงครามระหว่างสองฝ่ายนับยี่สิบปี ในที่สุดก็จบลง
ท้ายที่สุดนี้ทุกอย่างจบลงด้วยการกลับมาและบดขยี้ทุกสิ่งของเย่หยวน ทำเอาขากรรไกรทุกคนค้างเติ่งหุบไม่ลง
ทุกคนไม่คิดไม่ฝันเลยว่า การหวนคืนกลับมาครั้งนี้ของเย่หยวนจะมาเหนือเมฆปานนี้!
…
ภายในตำหนักเจ้าเมือง อัสนีคำรนก้มกราบเย่หยวนลงบนพื้นในทันทีที่เห็น แต่เย่หยวนกลับรีบตรงไปพยุงร่างของเขาขึ้นมาแทนและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า
“ท่านอาจารย์อัสนีคำรน ไม่จำเป็นต้องสุภาพเกินไป ท่านคืออาจารย์ที่ช่วยเหลือในยามคับขันมาโดยตลอด ท่านเปรียบเสมือนพ่อคนที่สองของข้าก็มิปาน อนาคตของสถานศึกษาหวูเมิ่งต้องฝากฝังในมือท่านแล้ว!”
อัสนีคำรนเหงื่อเย็นแตกพลักทั่วทั้งแผ่นหลัง เขากล่าวขึ้นด้วยความเคารพยิ่งว่า
“ท่าน…ท่านผู้อาวุโสเย่…”
“ท่านอาจารย์อัสนีคำรน พวกเราหาใช่คนอื่นคนไกล เรียกข้าว่าเย่หยวนดังเดิมเถอะ”
เย่หยวนยิ้มกล่าว
อัสนีคำรนพยักหน้าและกล่าวว่า
“ผู้อาวุโสเย่ เราอัสนีคำรนไม่สามารถรับภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้!”
เห็นได้ชัดว่าความสัมผัสระหว่างอัสนีคำรนและเย่หยวนหาใช่ในฐานะศิษย์อาจารย์มานานแล้ว
แม้แต่ท่านเจ้าเมืองยังถูกโข้นลงอย่างง่ายดาย เขาย่อมทราบดีถึงสถานะความแตกต่างระหว่างเขากับเย่หยวนในปัจจุบัน ดังนั้นเขาจะกล้าเรียกขานชื่อเย่หยวนหวนๆได้อย่างไร?
นอกจากนี้ ข้างกายเย่หยวนยังมีหลินตงยืนอยู่ นั้นเป็นถึงยอดเซียนราชันพระเจ้าสามดาว!
เย่หยวนยิ้มและมิได้บังคับอีกฝ่ายเช่นกัน เขากล่าวว่า
“ท่านอาจารย์อัสนีคำรนเป็นคนถือสัจจะนำชีวิต จิตใจกว้างใหญ่รักยุติธรรม การที่ท่านขึ้นกลายมาเป็นอาจารย์ใหญ่ของสถานศึกษานับเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว อย่าได้ปฏิเสธอีกต่อไป ข้าทราบดีว่าท่านกำลังกังวลสิ่งใด ทานโอสถเม็ดนี้ และเข้าเก็บตัวสักพักหนึ่ง ไม่นานท่านจะทะลวงขึ้นกลายเป็นยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าครึ่งขั้นในไม่ช้า”
เนื้อตัวของอัสนีคำรนสั่นสะท้านไม่หยุด ดวงตาเบิกกว้างโตเผยแววเหลือเชื่อ
อาณาจักรราชันพระเจ้าครึ่งขั้น!
มีเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าขั้นสุดมากมายมหาศาลเพียงใดที่ต้องการทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรพลังนี้? แต่นี่กลับยากเกินจินตนาการนัก!
แต่ตอนนี้เย่หยวนกลับกล่าววาจาดั่งการันตีแล้วว่า หลังจากกินโอสถเม็ดนี้ อัสนีคำรนจะทะลวงขึ้นได้โดยตรง!
ความตื่นตะลึงของเขามิอาจยิ่งใหญ่ขยายตัวไปมากกว่านี้ได้แล้ว ฝีมือหลอมกลั่นโอสถของเย่หยวนสำเร็จไปถึงขั้นใดแล้วกันแน่?
ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาขึ้นกลายมาเป็นผู้อาวุโสแห่งหอโอสถได้!
แม้แต่จอมเทพโอสถสี่ดาวยังไม่กล้าการันตีว่าจะทำให้อีกฝ่ายทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรราชะนพระเจ้าครึ้งขั้นได้
“นี่…เราอัสนีคำรนซาบซึ้งในความเมตตาของท่านผู้อาวุโสเย่อย่างยิ่งยวด!”
อัสนีคำรนโค้งคำนับให้ด้วยความเคารพยิ่ง
หลังจากนั้นไม่นาน ฉินส่าวก็เดินทางมาหาเช่นกัน
ทันทีที่เข้ามาพบปะเย่หยวน เขาก็เร่งโค้งคำนับให้เย่หยวนอย่างสุดซึ้งพร้อมกล่าวว่า
“ผู้อาวุโสเย่ ข้า…”
“เจ้าคงมาขอร้องให้ช่วยละเว้นตระกูลฉินกระมัง?”
เย่หยวนเอ่ยกล่าวน้ำเสียงเรียบนิ่งออกไป
เมื่อถูกเย่หยวนจับจ้องโดยตรงเช่นนี้ ฉินส่าวรู้สึกราวกับกำลังถูกภูเขาลูกยักษ์บดขยี้ร่างกาย ทำเอาเขาตกใจอย่างหาที่เปรียบไม่
ความเร็วในการบ่มเพาะพลังของเขานับว่าเร็วมากเช่นกัน ภายในเวลายี่สิบปี ฉินส่าวสามารถทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นกลางได้แล้ว
แต่เย่หยวนกลับทะลวงได้ไกลถึงหนึ่งอาณาจักรพลังหลักภายในเวลาแค่ยี่สิบปี!
นอกจากนี้ ข่าวที่เย่หยวนท้าทายสามยอดเซียนราชันพระเจ้าครึ่งขั้นด้วยตัวคนเดียว นี่ไม่ถือเป็นความลับใดๆ ในทางตรงข้ามข่าวนี้ได้แพร่กระจายออกไปทั่วเมืองหลวงหวูเมิ่งอย่างรวดเร็วประดุจโรคระบาด
ฉินส่าวตระหนักดีแล้วว่า ความห่างชั้นระหว่างตนกับเย่หยวนมันกว้างใหญ่ไพศาลเพียงใด แต่ก็ยังไม่คิดว่าจะกว้างใหญ่ได้ปานนี้
อัจฉริยะงั้นรึ?
ฉินส่าวรู้สึกว่าการจะใช้คำนี้เพื่อเรียกแทนตัวเอง กลับเป็นความอัปยศสิ้นดี
อย่างไรก็ตาม เขายังคงกัดฟันกล่าวว่า
“ผู้อาวุโสเย่โปรดเมตตาด้วย!”
เย่หยวนกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มที่มิใช่รอยยิ้มว่า
“ตามที่ข้าทราบมา ตระกูลฉินเองก็ปฏิบัติกับเจ้าไม่ดีนักใช่ไหม?”
ฉินส่าวกล่าวตอบว่า
“ไม่ว่ายังไง ข้าเองก็เป็นสมาชิกตระกูลฉิน หากไม่มีตระกูลฉินคงไม่มีข้าในวันนี้เช่นกัน!”
เย่หยวนเอ่ยตอบเสียงเย็นว่า
“หาก…ข้าบอกว่าไม่ล่ะ?”
สายตาของฉินส่าวที่กำลังจับจ้องเย่หยวนดูดุร้ายขึ้นหลายส่วนทันตา เขากล่าวว่า
“หากเป็นเช่นนั้น ฉินส่าวคนนี้จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตนเองแข็งแกร่ง และข้าขอสัญญเลยว่า ข้าจักต้องฆ่าท่านให้ได้ในชั่วขชีวิตนี้!”
“สามหาว!!”
หลินตงสีหน้ามืดทมิฬลงทันที พร้อมปลดปล่อยรัศมีแรงกกดดันเข้าข่มอีกฝ่ายโดยยตรง
ร่างของฉินส่าวสั่นสะท้านรู้สึกราวกับท้องฟ้ากำลังจะถล่มลงมาทับตน
เย่หยวนเร่งโบกมือปัดให้หลินตงถอนแรงกดดันออกทันที ฉินส่าวหอบหายใจตระหนี่ถี่ไม่หยุดพร้อมทรุดตัวลงกับพื้นด้วยความเหน็ดเหนื่อย
แค่แรงกดดันของระดับชั้นราชันพระเจ้ามันก็มากเกินพอแล้วที่จะฆ่าเขา!
อย่างไรก็ตาม เย่หยวนกลับหัวเราะออกมาพลางกล่าวว่า
“ฉินส่าว แม้เจ้าจะเกิดในตระกูลฉิน แต่เจ้ากลับแตกต่างไปจากทุกคน! เห็นแก่หน้าของเจ้า ข้าจะปล่อยตระกูลฉินไป”
รูม่านตาของฉินส่าวตีบตันหดเล็กเท่ารูเข็ม เผยสีหน้าเหลือเชื่อออกมา
เขามิได้คาดหวังเลยว่า เย่หยวนจะยอมปล่อยไปง่ายๆแบบนี้
ในสายตาของเย่หยวน ฉินส่าวเป็นเพียงตัวประกอบไร้ซึ่งความสำคัญใด แต่ไยเย่หยวนถึงเห็นแก่หน้าเขา ขนาดที่ว่ายอมปล่อยตระกูลฉินไปเพราะเขาคนเดียว?
ความตื้นตันนี้ฉินส่าวมิอาจข้ามผ่านไปได้เลย
เขาไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่า เย่หยวนจะเห็นแก่หน้าเขาและยอมปล่อยไปจริงๆ!
“อย่างไรก็ตาม…”
สีหน้าการแสดงออกของเย่หยวนมืดลงอีกครั้งและกล่าวว่า
“ฉินเทียนหนานและผู้อาวุโสที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์เมื่อยี่สิบปีก่อนล้วนต้องได้รับโทษและต้องถูกประหารชีวิต!”
ฉินส่าวสูดหายใจเข้าแช่มลึกและโค้งคำนับให้เย่หยวน กล่าวว่า
“ฉินส่าวขอบพระคุณผู้อาวุโสเย่!”
…………………………………