เพื่อทำตามอย่างที่เคยพูดว่าจะตื่นเช้ามาออกกำลังกาย เฉินเฉียวเลยตื่นตั้งแต่เจ็ดโมงเช้ามาออกกำลัง
ซังหลินจวินไม่ค่อยไว้ใจจึงขมวดคิ้วถาม “ขาหายดีแล้วเหรอ? เมื่อยหรือเปล่า”
ทั้งๆที่เป็นคำพูดเป็นห่วง แต่เฉินเฉียวกลับจ้องเขาแล้วเอ่ย “ตอนที่นายพูดคำนี้ ลืมแล้วเหรอว่าเป็นเพราะใคร ถ้าไม่ใช่เมื่อคืนนาย……”
คำพูดที่เหลือละอายปาก เธอเลยไม่ได้พูด
สีหน้าซังหลินจวินอึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นเขาก็รู้ว่าเขากับเฉียวเฉียวไม่ได้สนใจเรื่องเดียวกัน
ที่เขาถามคือครั้งก่อนที่เฉียวเฉียวบาดเจ็บหายดีหรือยัง แต่เฉียวเฉียวกลับทำให้เขานึกถึงภาพเมื่อคืนที่กดตัวเธอลงบนเตียง
จินตนาการนึกย้อนมากไม่ได้ ซังหลินจวินคิดไม่ถึงเลยว่า แค่ในหัวเขานึกถึงเรื่องนั้น ร่างกายก็มีปฏิกิริยาแล้ว
จากนั้นก็ไอเสียงเบาเตือนเธอ “เฉียวเฉียว ที่ฉันถามคือแผลครั้งก่อนที่ล้ม เธอคิดอะไรเนี่ย”
พอซังหลินจวินพูดจบ หน้าเฉินเฉียวก็แดงแล้วรีบเถียง “ถ้านายไม่พูดกำกวมแบบนั้น ฉันจะเข้าใจผิดได้ยังไง ส่วนเรื่องแผล ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว”
ซังหลินจวินไม่ค่อยวางใจ เลยกอดเธอไว้ในอ้อมกอด พอเช็กดูแผลครั้งก่อนแล้วค่อยปล่อยตัวเธอ
แต่วินาทีนั้นเฉินเฉียวไม่ได้เขินอาย แต่เธอกลับกัดฟันแน่นเหมือนหงุดหงิด
พอซังหลินจวินเห็น จึงแอบยิ้มในใจ แล้วพูดอย่างจริงจัง “เฉียวเฉียว งั้นฉันออกกำลังกายเป็นเพื่อนเธอดีกว่า”
ซังหลินจวินเอ่ยปุ๊บ เฉินเฉียวจึงรับผลักเขาออกแล้วพูดเสียงดัง “ไม่”
จากนั้นเฉินเฉียวก็ออกไปออกกำลังกายคนเดียว ซังหลินจวินไม่ค่อยวางใจ เพราะถึงที่นี่จะไกล แต่ก็ไม่ใช่ไม่มีบ้านคน
จากนั้นเลยแอบตามเธอห่างๆในระยะสิบเมตร
แต่ที่เขาคาดไม่ถึงคือ ตอนที่เฉินเฉียววิ่งรอบๆจิ้งหย่วน คิดไม่ถึงว่าอยู่ๆจะมีรถมาจอดหน้าเฉินเฉียว
“คุณหนูเฉิน ไม่คิดเลยนะครับว่าจะบังเอิญขนาดนี้ เมื่อกี้ในรถก็ว่าคุ้นๆ ไม่คิดเลยว่าจะเป็นคุณ คุณหนูเฉินก็พักอยู่แถวนี้เหรอครับ?” เสียงที่ทั้งคุ้นเคยและแปลกหน้า คือเซิ่งยวี่ที่เจอเมื่อวานนั่นเอง
เฉินเฉียวไม่ได้รู้สึกบังเอิญขนาดนั้น เพราะเธอรู้มาจากที่หลินจวินว่าเซิ่งยวี่น่าจะพักแถวๆนี้เหมือนพวกเขา
เพราะฉะนั้นเลยยิ้ม แล้วตอบอย่างเรียบนิ่ง “ไม่บังเอิญหรอกค่ะ เมื่อคืนรถของคุณชายเซิ่งเอาแต่ตามหลังเรา ฉันคิดว่าคุณน่าจะพักแถวเหมือนกัน”
อาจจะเพราะครั้งแรกที่เจอกันก็เกิดเรื่องดราม่าแบบนั้นแล้ว ถึงเซิ่งยวี่จะเป็นผู้บริหารบริษัทใหญ่โต แต่เฉินเฉียวก็ไม่รู้สึกดีอะไรกับบเขา
รอยยิ้มอ่อนๆที่แฝงไปด้วยความไม่เต็มใจ แต่เซิ่งยวี่กลับรู้สึกได้แล้วเอ่ย “คุณหนูเฉินต้องเข้าใจผิดแล้วครับ ผมไม่ได้สังเกตจริงๆ”
เขาเป็นคนที่ไม่สนใจเรื่องคนอื่นอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเมื่อวานหลังจากที่แยกกัน เขาไม่ได้สนใจเลยว่ารถของพวกเขาขับไปทางไหน
เฉินเฉียวไม่ได้พูดว่าเชื่อหรือไม่เชื่อ เพราะยังไงเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเธอมาก
ทีแรกเซิ่งยวี่คิดว่าไม่จำเป็นต้องอธิบาย แต่ที่เขาอธิบายก็เพราะโดนคนอื่นเอาแต่เข้าใจมันยุ่งยาก เลยอยากพูดให้เคลียร์
แต่ท่าทางของเฉินเฉียว เซิ่งยวี่ก็รู้เลยว่า ผู้หญิงคนนี้ไม่อยากคุยกับเขา เหมือนกำลังบอกว่า อย่าคุยกับเธอ เธอไม่เชื่อ
เพราะฉะนั้นเซิ่งยวี่เลยไม่ได้อธิบายอีก
จากนั้นก็พูดเชิญอย่างมีมารยาท “ในเมื่อคุณหนูเฉินก็พักอยู่แถวนี้ งั้นมาเป็นแขกที่บ้านผมพร้อมคุณชายไหมครับ ผมก็เพิ่งกลับประเทศ มีอะไรจะคุยกับคุณชายซังพอดี”
ซังหลินจวินที่ซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ พอได้ยินชื่อตัวเองเลยเดินออกมาแล้วเอ่ย “ฉันเพิ่งออกมาก็ได้ยินมีคนพูดถึงฉันแล้ว เอ๋ คุณชายเซิ่งก็อยู่ด้วย”
ซังหลินจวินทำหน้าสงสัย ดูไม่ออกเลยว่าเขายืนอยู่นานแล้ว รู้เรื่องทุกอย่างด้วย
เซิ่งยวี่มองซังหลินจวิน ในสายตาแปลกใจ เหมือนกำลังล้อเล่น
ซังหลินจวินสังเกตเห็น แต่ก็ทำเป็นไม่รู้
เพราะซังหลินจวินคิดว่าเมื่อกี้ท่าทางเขาดูประหลาด ถ้าเฉียวเฉียวรู้คงอารมณ์ไม่ดีแน่ๆ
พอซังหลินจวินเดินออกมาเอง เซิ่งยวี่เลยชวนเขาตรงๆ
ซังหลินจวินก็แปลกใจเหมือนกันว่าเซิ่งยวี่จะคุยอะไรกับเขา จึงไม่ได้ปฏิเสธ แล้วไปบ้านเขาพร้อมเฉินเฉียว
อาจจะเพราะเพิ่งย้ายมา ในบ้านไม่ค่อยมีอะไรเลย เลยดูเย็นๆแปลกๆ
เซิ่งยวี่นั่งอยู่บนโซฟาแล้วเอ่ยขอโทษ “ขอโทษจริงๆนะครับ เพิ่งย้ายมาเลยยังไม่ได้หาแม่บ้าน ในบ้านก็ไม่ค่อยมีอะไรด้วย”
ซังหลินจวินพูดแบบเข้าใจ “ไม่เป็นไรครับ ถ้าวันนี้คุณยังหาไม่ได้ ก็ไปกินข้าวที่บ้านพวกเราก่อนก็ได้ครับ” ตอนที่ซังหลินจวินพูด เขาก็แค่พูดเล่นๆ
เซิ่งยวี่เป็นใคร จะไปขอข้าวบ้านเขากินได้ยังไง เสียเวลาทั้งวันแต่หาแม่บ้านไม่ได้ คงเป็นไปไม่ได้
เพราะแค่จ้างแม่บ้านก็ไม่ได้ใช้เงินอะไรมาก
แต่เซิ่งยวี่กลับคล้อยตามเขาแล้วเอ่ย “นี่คุณชายซังพูดเองนะครับ ผมจริงจังนะครับ”
ใบหน้าเขามีรอยยิ้ม จากนั้นก็ลูบท้องตัวเอง “ตอนเช้าผมเพิ่งตื่น กำลังจะออกไปหาอะไรกิน แต่ตอนนี้เจอพวกคุณ งั้นไปกินด้วยแล้วกันนะครับ”
“……” ซังหลินจวินไม่รู้จะตอบยังไง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเสียใจกับสิ่งที่พูด
ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากเชิญ แต่ซังหลินจวินดูออกว่าเฉินเฉียวไม่ค่อยชอบเซิ่งยวี่ แต่ก่อนเขาเคยร่วมงานกับเขา รู้ว่าเขาเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดี แต่ก็ผ่านไปตั้งหลายปีแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามเปลี่ยนไปแค่ไหน
อีกอย่าง ช่วงนี้เขามีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี ลางสังหรณ์แบบนี้เคยมีหลายครั้ง ทุกครั้งที่รู้สึกก็จะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นตามมา
เซิ่งยวี่โผล่มาตอนนี้บังเอิญเกินไป บังเอิญจนซังหลินจวินต้องสงสัย
แต่ซังหลินจวินไม่ใช่คนที่มีลางสังหรณ์ไม่ดีแล้วจะหลบหลีก เขาเชื่อว่า ถ้าป้องกันไว้ดี ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้
ถึงแม้ในใจเฉินเฉียวไม่ค่อยโอเค แต่เธอก็รีบปรับอารมณ์ เพราะเธอแค่งี่เง่าเป็นบางเวลา เวลาอื่นก็ยังคงเป็นผู้ใหญ่
ร่างกายเฉินเฉียวดีขึ้นแล้ว ตอนที่พวกเขากำลังกินข้าว เธอจึงแอบไปเปลี่ยนชุดทำงาน แล้วค่อยเดินลงมา
ซังหลินจวินกันเซิ่งยวี่ที่กำลังกินข้าวกันอยู่ พอได้ยินเสียงเลยหันหน้ามา เลยเห็นเฉินเฉียวที่แต่งตัวดูดีดูสวย