พอซังหลินจวินเปิดดูเอกสาร ค่อยเห็นว่าคุ้นตาแผนงานของปู้อี้เฉินมาก
เขายื่นมือไปหยิบเอกสารเล่นหนึ่งออกมาจากกองเอกสาร
จากนั้นก็ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “แผนงานของแก คุณชายเซิ่งเป็นคนให้แก”
เขาแค่ถามลอยๆ แต่ไม่คิดเลยว่าคำตอบจะชัดเจนขนาดนั้น
ปู้อี้เฉินไม่อยากให้ศัตรูดูถูกเขา ถึงความจริงจะเป็นแบบนั้นก็ตาม เขาหักหน้าความเสียหน้าไว้แล้วยังฝืนยิ้ม
“ใครให้แผนงานนี้กับผม คงไม่สำคัญกับคุณซัง แผนงานนี้นำผลประโยชน์มาให้เราได้ นี่เป็นสิ่งที่เราควรให้ความสำคัญไม่ใช่เหรอครับ?”
คำพูดของปู้อี้เฉินไม่ได้ทำให้ซังหลินจวินหวั่นไหว แต่ผลประโยชน์แอบแฝงในแผนธุรกิจนี้เขาปฏิเสธไม่ได้จริงๆ
เจ้าชายซีซาร์มีอำนาจในอิตาลีมาก เพราะเป็นคนในราชวงศ์ ถึงแม้ในประเทศจะไม่มีราชวงศ์อะไรแล้ว แต่ในต่างประเทศราชวงศ์ก็ยังรุ่งเรืองอยู่ดี
เรื่องที่เขาอยู่ในอิตาลี บวกกับสถานการณ์ของอัญมณี อีกหน่อยเขายังต้องติดต่อกับทางอิตาลีแน่นอน
ถ้าเขาคว้าโอกาสนี้ไว้ แล้วไปทำความรู้จักเจ้าชายซีซาร์ งั้นอำนาจมืดพวกนั้นเขาก็ไม่ต้องเป็นห่วงอีก
ไม่พูดไม่ได้เลยว่า แผนธุรกิจตรงหน้าน่าดึงดูดมาก แล้วเขา ก็ไม่สามารถปฏิเสธ
เพราะให้ความสนใจเรื่องหลัก ถึงซังหลินจวินจะรู้สึกไม่โอเค แต่สุดท้ายเขาก็ยื่นมือออกไปกดเอกสารไว้ “ธุรกิจครั้งนี้ฉันตกลง”
ตอนที่ปู้อี้เฉินกำลังจะได้ใจ ซังหลินจวินเอ่ยอีกว่า “แต่ธุรกิจครั้งนี้ ฉันหวังว่าฉันจะเป็นคนเลือกตัวแทนเอง”
สีหน้าปู้อี้เฉินเปลี่ยนไป ย่ำแย่เหมือนกลืนแมลงวันเข้าปาก
เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ซังหลินจวินจะเลือกตัวแทนไปด้วย ไม่งั้นเขาเตรียมตัวไปเองดีกว่า
แต่เขายังจำที่เซิ่งยวี่บอกเขาได้ เลยจำใจยิ้มพูดว่า “แล้วแต่คุณซังเลยครับ เดี๋ยวเราคุยเรื่องเส้นทางการเดินทางของเจ้าชายซีซาร์ไหมครับ ดูว่ามีตรงไหนผิดปกติหรือเปล่า”
ซังหลินจวินพยักหน้า เขาหยิบเอกสารมาดูอีกครั้ง จากนั้นก็วงสิ่งที่ควรแก้ไข แล้วเอาให้ปู้อี้เฉินไปแก้
จนกระทั่งคุยกันเสร็จ เวลาก็เที่ยงพอดี ทั้งสองเซ็นสัญญากันแล้วจับมือ “ขอให้เราร่วมงานกันอย่างราบรื่น”
“จะไปกินข้าวที่บริษัทด้วยกันไหม?” ซังหลินจวินที่ได้ผลประโยชน์จากธุรกิจเอ่ยถามอย่างมีมารยาท
“ไม่แล้วกันครับ ผมยังต้องรีบกลับบริษัท คุณซัง ไว้เจอกันคราวหน้านะครับ” ปู้อี้เฉินก้มหน้าให้อย่างมีมารยาท แต่ความจริงอัดอั้นใจจนจะเป็นบ้า
ตอนที่ปู้อี้เฉินถือสัญญาลงไปข้างล่าง เขามองเห็นตึกสูงลัดฟ้าของหยวนเซิ่ง ในสายตามีความไม่สบอารมณ์
เขาแอบคิด รอก่อนเถอะ สักวันเขาจะเหยียบหยวนเซิ่งไว้ใต้เท้า แล้ววันนั้น ก็ไม่ไกลแล้วด้วย
ตอนที่ปู้อี้เฉินเอาสัญญากลับไปถึงบริษัทใหม่ของเขา ยังไม่ทันได้เข้าห้องทำงาน เลขาของเขาก็เดินมาหาแล้วแนบหูบอกเขาว่า “บอสกู้คะ คุณหนูเซิ่งโหรวของเซิ่งกรุ๊ปมาค่ะ”
ปู้อีเฉินไม่ได้ใช้ชื่อจริงของเขาก่อตั้งบริษัท เพราะตัวเขาเองเป็นระเบิดอันตราย จะใช้ชื่อจริงๆไม่ได้อีก
แต่ถ้าเป็นทายาทของตระกูลกู้ อย่างน้อยก็ยังได้รับความช่วยเหลือจากตระกูลกู้
ปู้อี้เฉินหยุดชะงัก แยกห่างออกจากเลขาแล้วพูดเสียงเข้มว่า “เลขาจ้าว ตอนพูดไม่ต้องใกล้ผมขนาดนั้น เข้าใจไหมครับ?”
จ้าวชิงที่หุ่นดีหน้าตามีเสน่ห์ ไม่คิดเลยว่าบอสที่อ่อนโยนกับเธอจะพูดเสียงดังขนาดนี้ เธอเลยน้อยใจ แต่ก็ไม่แสดงอาการอะไร
เธอใช้แค่ดวงตากลมโตนั่นแสดงความน้อยใจ
ปู้อี้เฉินไม่ได้สนใจเธอ เหลือบมองเธออย่างเย็นชาแล้วเดินเข้าห้องทำงาน
พอเข้าไป ก็ได้ยินเสียงแขวะของผู้หญิงที่นั่งอยู่ในห้องทำงาน
“ไม่คิดเลยนะคะ บอสปู้ที่อ่อนโยน แต่กลับเมินเฉยกับผู้หญิง ไม่มีความรู้สึกสงสารเลยสักนิด”
เซิ่งโหรวพูดอย่างเจ้าเล่ห์ ถ้าไม่ใช่เพราะเธอแต่งหน้าคมเกินไป แค่มองจากภายนอก เธอก็เป็นเหมือนดอกไม้ที่กำลังเบ่งบาน
กับผู้หญิงที่เป็นดอกไม้แบบนี้ ปู้อี้เฉินกลับไม่แยแสแต่ก็ยังแสร้งทำเป็นเอ็นดู
เขาวางเอกสารลงแล้วถอดเสื้อคลุม วางมือลงบนไหล่ทั้งสองข้างของเซิ่งโหรว “ความอ่อนโยนของผมใช้แค่กับคนที่ผมแคร์ ถ้าเธอไม่ใช่เลขาผม ผมไล่เธอออกตั้งนานแล้ว โหรวโหรวอย่าแซวผมเลย”
เซิ่งโหรวหัวเราะในลำคอแล้วเอ่ย “ฉันไม่สนใจแมลงวันข้างตัวนายหรอก แต่ถ้าให้ฉันรู้ ตอนที่นายคบกับฉัน แล้วยังไปตอแยผู้หญิงคนอื่น อย่าหาว่าฉันใจดำแล้วกัน”
เซิ่งโหรวรู้สึกว่าปู้อี้เฉินน่าสนใจ แต่ถ้าเขากล้าหักหลังเธอ เธอไม่ปล่อยเขาไว้แน่
ทอดมองใบหน้าของเซิ่งโหรว ปู้อี้เฉินดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอด
ทำอย่างไม่เต็มใจแต่ปากก็ยังเอ่ยว่า “โหรวโหรว ในใจผมมีเธอคนเดียว ถ้าเธอไม่เชื่อ ผมควักหัวใจออกมาให้ดูก็ได้”
เซิ่งโหรวตบหน้าแกเขาเบาๆ แล้วใช้นิ้วจิ้มที่หัวใจเขาเบาๆ “ไว้ใจเถอะ ฉันจะใจดำให้นายควักหัวใจออกมาได้ยังไง”
พอพูดหยอกล้อกันเสร็จ เซิ่งโหรวค่อยคุยเรื่องจริงจัง
“ซังหลินจวินตกลงแล้ว?”
ปู้อี้เฉินพยักหน้า “เขาตกลงแล้ว แล้วเขาจะไปต้อนรับเจ้าชายซีซาร์ตอนมาด้วยตัวเอง”
“ฝันไปเถอะ” กับซังหลินจวินที่เย็นชา เซิ่งโหรวกลับนึกถึงอีกคนที่เข้าใกล้ยาก กับคนพวกนั้น เธอไม่แยแสหรอก เธอรังเกียจด้วยซ้ำ
ปู้อี้เฉินไม่ได้พูดเสริมเธอ เพราะผู้หญิงแอบพูดอะไรไม่ดีลับหลังคนอื่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
แต่ถ้าเป็นผู้ชาย ถ้าเอาแต่พูดว่าร้ายคนอื่น จะทำให้คนอื่นรังเกียจเปล่าๆ
เรื่องนี้ เขาระวังอยู่แล้ว
แต่เขาก็เอ่ยว่า “ตอนนี้บริษัทผมยังไม่ใหญ่พอ ไม่มีอำนาจในการพูด เลยต้องฟังเขา”
ความหมายที่เขาแอบแฝงดูชัดเจนมาก
แต่เซิ่งโหรวกลับไม่คล้อยตาม แล้วเอ่ยอย่างเห็นด้วย “บริษัทนายเล็กจริง ไม่เป็นไรหรอก ถ้านายพัฒนาบริษัทให้ดีขึ้น เดี๋ยวทุกอย่างจะดีขึ้นเอง”
ทีแรกคิดว่าคุณหนูอย่างเธอจะเห็นใจ แล้วช่วยเรื่องทรัพยากรต่างๆมาพัฒนาบริษัทให้ปู้อี้เฉิน แต่เธอพูดแบบนี้เลยต้องทำเมินเฉยไว้ก่อน
“โหรวโหรวพูดถูก รอบริษัทพัฒนาแล้ว ทุกอย่างจะดีขึ้นเอง