แม้ว่าจิ้งอ๋องจะมีอยู่ราวกับพระเจ้าในหัวใจของชาวแคว้นหนิง แต่ก็ไม่มีอิทธิพลมากมายต่อฉีหล่าง ฉีหล่างได้ปกป้องเมืองคังหยางมาโดยตลอด เมื่ออยู่ในมุมๆหนึ่ง นี่คือโลกของเขา และแม้แต่คนในตระกูลของเขาก็ยังอำนาจบาตรใหญ่ ทั้งลูกชายของเขา ฉียวี่จือ จนกระทั่งฉีหวั่นจือในวันนี้ คนที่เคยชินกับการอยู่ที่สูง จู่ๆก็ถูกคนเหยียบย่ำลงมา เกรงว่าในใจของเขาคงจะโกรธเกลียดอย่างมาก
หยุนชางถอนหายใจ มันไม่ง่ายเลยที่จะปราบฉีหล่าง
จิ้งอ๋องรู้ว่านางกังวลเรื่องอะไร จึงยิ้มแล้วพูดว่า “ในการจัดการกับคนเช่นนี้ ข้ามีประสบการณ์มากกว่าเจ้า และวิธีเดียวที่จะใช้ได้คือแรงมาแรงกลับ เขามักจะรู้สึกว่าตัวเขาเป็นยอดเยี่ยมมาก เจ้าจึงต้องโหดเหี้ยมยิ่งกว่าเขา ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าเขาอีก ทำให้เขารู้ให้ชัดไปเลยว่า การถือตัวของเขา เป็นเพียงแค่ตั๊กแตนตัวเล็กๆสำหรับเรา มันง่ายมากที่จะบีบเขาให้ตาย ความกลัวในใจของเขา ก็จะรับฟังคำสั่งจากเจ้าเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เจ้าควรจะเตรียมตัวให้ดี อย่าปล่อยให้มีช่องว่างให้เขาเจาะ เพื่อที่เขาจะได้เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า วิธีการของเขา สำหรับเจ้าแล้ว มันไร้ประโยชน์”
หยุนชางก้มศีรษะลง นึกถึงคำพูดของจิ้งอ๋อง แม้ว่าคำพูดเหล่านี้จะเย่อหยิ่งและไร้มารยาทมาก หยุนชางต้องยอมรับว่า บางทีสิ่งที่จิ้งอ๋องกล่าวนั้นถูกต้อง
นางเคยมีทัศนคติแบบนั้นต่อหน้าฉีหล่างมาก่อน และนางต้องการให้ฉีหล่างรู้ว่า นางไม่ง่ายที่จะรับมืออย่างที่เขาคิด อย่างไรก็ตาม นางยังคงอ่อนโยนเกินไป หยุนชางหรี่ตาและรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของนาง เมื่อได้ยินสิ่งที่จิ้งอ๋องพูด นางก็มีเบาะแสบางอย่าง ในใจมีความสุขมาก เขายิ้มและยกนิ้วโป้งให้จิ้งอ๋อง “ท่านอ๋องช่างน่าทึ่งจริงๆ”
จิ้งอ๋องก็ยิ้มและมองที่นาง ยกมือขึ้นลูบหัวของนาง พลิกตัวนอนบนเตียง “นอนเถอะ นี่ก็ดึกมากแล้ว”
หยุนชางตกใจและในใจเริ่มตื่นเต้น นางไม่ลืมสถานการณ์ที่น่าอายตอนที่ตื่นขึ้นเมื่อคืนนี้ เหม่อไปชั่วขณะ แล้วหันกลับมามอง แต่เห็นจิ้งอ๋องจ้องนางนิ่งๆ ดูเหมือนกำลัง…ยั่วยุ?
มันเหมือนเป็นการยั่วยุจริงๆ หยุนชางตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เขม้นที่เขา ถอดรองเท้าแล้วพิงนอนบนเตียง จิ้งอ๋องพยุงร่างของเขาขึ้นอย่างกะทันหัน ใช้มือข้างหนึ่งหนุนเตียง ยกมืออีกข้างหนึ่งขึ้น และเคลื่อนร่างของเขาขึ้นไปบนตัวหยุนชาง
หยุนชางจ้องมาที่เขาด้วยดวงตาอันกลมโต แต่เห็นเขาหัวเราะเบาๆ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ในกระโจมก็มืดลง หัวใจของหยุนชางรัดกุม แต่นางสังเกตเห็นว่าเขาดูเหมือนจะเอนตัวไปนอนในที่ของตัวเองแล้ว
ในใจของนางเข้าใจทันที ดีเลย จิ้งอ๋องคนนี้กล้าแกล้งนาง คิดในใจ จะเอื้อมมือไปหยิกที่เอวของจิ้งอ๋องให้แรงๆ แต่ถูกจิ้งอ๋องคว้าไว้ ในความมืดมิด จิ้งอ๋องส่งเสียงแหบๆ ว่า “เจ้าอย่าได้ขยับ ถ้าเจ้าขยับอีก ข้าไม่รู้ว่าวันนี้จะเกิดอะไรขึ้น”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น หยุนชางรีบดึงมือกลับ แต่นางกลับได้ยินเสียงหัวเราะที่มีความสุขจากด้านข้าง เสียงที่ทำให้หยุนชางหงุดหงิดใจ แต่นางก็ไม่กล้าที่จะทำอะไรจิ้งอ๋องอีกครั้ง
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ตอนตื่นขึ้น ก็ได้ยินเฉี่ยนอินที่พูดด้วยรอยยิ้มว่า “พระชายา เจ้าฉีหล่างนั่นได้พาหลานสาวป่าเถื่อนของเขามา กำลังคุกเข่าขอประทานอภัยอยู่นอกกระโจมเพคะ โดยขอให้ท่านอ๋องและพระชายายกโทษให้เขาที่สั่งสอนหลานสาวไม่ดีเพคะ”
หยุนชางเห็นว่าไม่มีใครอยู่ข้างๆ นางจึงเหลือบมองเฉี่ยนอิน เฉี่ยนอินเข้าใจสิ่งที่หยุนชางต้องการถามและหัวเราะเบาๆ “ท่านอ๋องตื่นแต่เช้า เมื่อครู่ฉีหล่างได้ให้คนไปขอพบท่านอ๋อง แต่ท่านอ๋องบอกว่าในค่ายนี้พระชายาเป็นเจ้านาย และท่านไม่สนใจ จึงอ่านหนังสืออยู่ด้านนอก และมิได้ก้าวออกจากกระโจมเลยเพคะ”
สีหน้าของหยุนชางเปลี่ยนเล็กน้อย นิ่งเงียบไปสักครู่ จึงกล่าวว่า “เจ้าออกไปพูดกับฉีหล่าง ในเมื่อเขาไม่รู้ว่าจะสั่งสอนอย่างไร ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้า นางเป็นหญิงสาวอายุสิบเจ็ดสิบแปดปีแล้ว ไม่ใช่เด็กๆแล้ว จึงควรรับผิดชอบต่อคำพูดและการกระทำ การที่ไม่เคารพท่านอ๋องและพระชายามีโทษหนัก อย่างไรก็ตาม เป็นการกระทำผิดครั้งแรก จึงลงโทษนางให้คุกเข่าเดินไปรอบๆเมืองคังหยาง และระหว่างที่เดินนางต้องระบุความรู้สึกผิดของนาง โดยพูดว่า ‘ข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่ควรยโสโอหัง’ ”
ดวงตาของเฉี่ยนอินดูตื่นเต้นเล็กน้อย พยักหน้าซ้ำๆ “เพคะ หม่อมฉันจะรีบไปจัดการเพคะ”
หยุนชางคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วนางก็หยุดเฉี่ยนอินและพูดว่า “หญิงคนนั้นมีอารมณ์รุนแรง เจ้าอย่าได้เสียเปรียบต่อหน้านาง ข้าจะให้สิทธิ์เจ้า ถ้านางโต้กลับ เจ้าก็ตบนางได้”
เฉี่ยนอินตอบกลับอย่างรวดเร็วว่า “เพคะ หม่อมฉันเข้าใจแล้ว” หลังจากพูดเสร็จ นางก็เดินอ้อมผ่านฉากกั้นและเดินออกไป
ข้างนอกอากาศหนาว หยุนชางนอนอย่างเกียจคร้านบนเบาะไม่อยากลุก และได้ยินเสียงฝีเท้า “ตื่นแล้วยังไม่ลุกอีก?”
หยุนชางลืมตาขึ้นมองจิ้งอ๋อง จากนั้นก็หดตัวลงใต้ผ้าห่ม “ข้างนอกมันค่อนข้างหนาว”
จิ้งอ๋องอดยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นนางเป็นตัวแบบนี้ “ตอนนี้เจ้าเป็นใต้เท้ากำกับการทหารแล้ว พวกทหารในค่ายต้องลุกไปฝึกที่ตั้งแต่เช้าตรู่ เดิมทีเจ้าน่าจะไปดูด้วยกัน แต่ว่าเจ้านะ ตอนนี้ก็ช่วงสายแล้ว ยังนอนไม่ยอมลุกเลย ตำแหน่งกำกับการนี้เจ้าขอจากเสด็จพ่อของเจ้ามาเอง แต่ช่างไม่ขยันเยี่ยงนี้”
หยุนชางถอนหายใจ มองดูจิ้งอ๋องด้วยความขุ่นเคืองเล็กน้อย แล้วค่อยๆลุกขึ้นนั่ง กอดผ้าห่มนั่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบเสื้อผ้ามาสวมแล้วยืนขึ้น
ขณะสวมเสื้อผ้า จู่ๆก็ได้ยินเสียงโกรธมาจากด้านนอก “อะไรนะ ข้าเป็นถึงคุณหนูตระกูลฉีนะ…”
ก่อนที่เสียงจะจบลง มีเสียง “เพียะ” หยุนชางเลิกคิ้ว ดูเหมือนว่าเฉี่ยนอินเองก็คงไม่พอใจฉีหวั่นจือมาก เสียงตบนี้ไม่เบาเลย
“บังอาจ ขี้ข้าอย่างเจ้ากล้าตบข้า!”
มีเสียง “เพียะ” ดังขึ้นอีก และดังกว่าเดิม
จากนั้นเสียงของฉีหล่างก็ดังขึ้น ดูเหมือนจะระงับความโกรธของเขาไว้ “หวั่นจือ ยังไม่คุกเข่าลงอีก”
จากนั้นก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ
หยุนชางดูเหมือนจะได้ยินเสียงของฉีหล่าง เขาทั้งกังวลและโกรธ แต่กลับไม่ได้ยินถึงความจริงใจในคำพูด หลังจากนั้นไม่นาน เฉี่ยนอินก็เดินเข้ามา และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เฮ้อ ฉีหวั่นจือนางนี้ดูเหมือนจะไม่เก่งกาจอะไรมากนัก หลังจากถูกตบสองที นางก็มิกล้าพูดอะไรต่อ แต่นางก็ปฏิเสธที่จะคุกเข่าและเดินไปรอบเมือง แม่ทัพฉีก็เกลี้ยกล่อมนาง แต่ดูเหมือนจะไร้ประโยชน์”
หยุนชางเลิกคิ้วและได้ยินเสียงของฉีหล่าง ดังขึ้น “ท่านอ๋องและพระชายาต่างก็เป็นคนมีเหตุผล ถ้าเจ้ายอมรับความผิดอย่างโดยดี แน่นอนว่าจะไม่ทำให้เจ้าลำบากใจ เจ้าก็ยอมรับผิดเถอะ…”
หยุนชางอดไม่ได้ที่จะหัวเราะขณะฟัง “ดูเหมือนว่าจะใช้กลยุทธ์ทุกข์กายสินะ” ฉีหล่างดูเหมือนจะลืมไปแล้ว ตอนหยุนชางเพิ่งมาถึงเมืองคังหยางใหม่ๆ จากที่ฉียวี่จืออาละวาดและหยิ่งผยอง จนได้ตีฉียวี่จือไปหลายสิบไม้ ในเวลานั้นหยุนชางมิได้ใจอ่อนแม้แต่น้อย นับประสาอะไรกับตอนนี้
หยุนชางยิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า “ในเมื่อคุณหนูฉีไม่ยอม ก็ไม่จำเป็นต้องสุภาพกับนาง ให้องครักษ์ลับสองนายไปลากฉีหวั่นจือไปที่เมือง ถ้านางปฏิเสธที่จะคุกเข่า ก็เตะขาของนาง เตะจนกว่านางจะคุกเข่าลง”
“เพคะ หม่อมฉันรับคำสั่งเพคะ” เฉี่ยนอินเดินออกไปอีกครั้ง หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ได้ยินเสียงร้องโหยหวนของฉีหวั่นจือดังขึ้น ซึ่งไม่น่าฟังเท่าไหร่นัก
“ข้าน้อยขอเข้าพบท่านอ๋องและพระชายา” เสียงของฉีหล่างดังมาจากนอกกระโจม
หยุนชางยิ้มอย่างเย็นชาด้วยสายตาเยาะเย้ยเล็กน้อย และกล่าวว่า “เรื่องนี้ไม่เพียงแค่เกียรติของท่านอ๋องและข้าเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับศักดิ์ศรีของราชวงศ์ เป็นการดูหมิ่นศักดิ์ศรีของราชวงศ์อย่างบังอาจ ถึงแม่จะฆ่านางทิ้ง ก็ไม่มีใครกล้าปฏิเสธต่อหน้าข้า แม่ทัพฉีควรคิดให้ดีๆ ฉีหวั่นจือเป็นเพียงหลานสาวของแม่ทัพฉี ครอบครัวของแม่ทัพยังอยู่ในเมืองเมืองคังหยางนี้ ตระกูลฉีมีผู้คนหลายร้อยคนเลยนะ…”