“โอ้ ? เป็นเช่นไรงั้นหรือ ? หากเจ้าไม่แต่งให้ข้ายังจะแต่งให้ใครได้อีก? ” จิ้งอ๋องยิ้มเล็กน้อย พลางไม่สนใจการกระทำของหยุนชาง ใบหน้าเต็มไปด้วยความอึ่มเอมใจ “เจ้าป่าเถื่อนเช่นนี้ นอกจากเปิ่นหวางแล้วยังมีใครทนเจ้าได้อีก ? หื้ม ?”
ดีจริง นางป่าเถื่อนงั้นหรือ? หยุนชางส่งเสียงฮึดฮัดออกมา ในชาติก่อนผู้คนล้วนแต่บอกว่านางเป็นบุคคลที่ป่าเถื่อนดุดัน หากแต่ในชาตินี้ ผู้คนล้วนแต่บอกว่านางเป็นคนอ่อนหวานเรียบร้อย แม้ในสนามรบ เหล่าทหารยังบอกว่านางเป็นคนที่กล้าหาญ ป่าเถื่อนงั้นหรือ ? หยุนชางถลึงตาใส่จิ้งอ๋อง “แม้เปิ่นหวางเฟยจะป่าเถื่อน หากแต่ก็มีผู้คนไม่น้อยที่อยากจะแต่งกับหม่อมฉัน ยังมิทันครบสิบห้าหนาวก็แต่งงานเสียแล้ว จิ้งอ๋องเป็นบุคคลที่หล่อเหลาองอาจ ล้วนแต่เป็นบุคคลที่ประชาชนยกย่องให้เป็นเทพเจ้าแห่งสงคราม หากแต่ยังเป็นชายแก่อายุยี่สิบเจ็ดแปดปีอีก สตรีข้างกายล้วนไม่มี เป็นเพราะเปิ่นหวางเฟยสงสารท่านหรอก จึงยอมแต่งให้ท่านโดยไม่เต็มใจ ท่านอ๋องจะไม่กล่าวขอบคุณหม่อมฉันหน่อยหรือ? ”
รอยยิ้มของท่านอ๋องพลันค่อย ๆ หายไป สาวน้อยคนนี้ไม่สมควรจะไปต่อปากต่อคำกับนางเป็นอย่างยิ่ง “ถูกแล้ว เปิ่นหวางจักต้องขอบคุณความคิดอันเฉียบแหลมของหวางเฟยเป็นอย่างมาก อื้ม เปิ่นหวางอาจจะไม่สามารถมีชีวิตที่ยืดยาวนัก ถ้าเช่นนั้นคืนนี้ทำให้เปิ่นหวางเป็นของเจ้าเป็นอย่างไร”
พรวด. หยุนชางเกือบสำลักน้ำออกมา จิ้งอ๋องผู้นี้ช่างหน้าด้านไร้ยางอายเสียจริง ในขณะที่กำลังขบคิดอยู่นั้น พลางได้ยินเสียงดังเข้ามาจากด้านนอก “หวางเฟยตื่นแล้วหรือเพคะ ? นู๋ปี๋มาส่งสำรับกับข้าวให้ท่านเจ้าค่ะ”
หยุนชางพลันตอบกลับ “นำเข้ามา”
เฉียนยินจึงพาสาวใช้อีกสองสามคนเดินตามเข้ามา พลางวางสำรับอาหารลงบนโต๊ะแล้วจึงไล่ให้สาวใช้เหล่านั้นออกไป พลางพูดด้วยรอยยิ้มขึ้นมาว่า “องค์หญิง จักรพรรดิยังมิสั่งให้องครักษ์เงาถอนกำลังออก พระราชโองการแต่งตั้งแผ่นนั้นจักต้องเปลี่ยนแผ่นทุกวัน ทุกวันนี้ราษฏรมารวมตัวกันมากขึ้นเรื่อย ๆ เกรงว่าอีกไม่นานคงจะควบคุมมิอยู่เสียแล้ว”
หยุนชางพลางหลี่ตาลงพร้อมยิ้มเล็กน้อย พลางหยิบถ้วยชามออกมา หากแต่เห็นเฉียนยินกำลังจัดเตรียมถ้วยชามพร้อมกับตะเกียบให้จิ้งอ๋องนั้น จึงขมวดคิ้วขึ้นพร้อมพูดว่า “เหตุใดท่านอ๋องยังมิได้รับสำรับอีกหรือ ?”
เฉียนยินพลันหัวเราะออกมา”ก่อนหน้านั้น นู๋ปี๋ถามท่านแล้วว่าจะรับสำรับก่อนหรือไม่ หากแต่ท่านอ๋องบอกว่ารอรับสำรับพร้อมกับหวางเฟย ความสัมพันธ์ของท่านอ๋องและหวางเฟยช่างรักใคร่กลมเกลียวเสียจริง”
หยุนชางได้ยินดังนั้น พลางถลึงตาใส่เฉียนยิน สาวใช้ของตนนั้นทำตามอำเภอใจมากไปแล้วกระมัง แต่เดิมเพียงแค่หยอกล้อนาง ต่อหน้าตนเองเพียงเท่านั้น แม้ว่าไม่กี่วันมานี้ ท่านอ๋องเพียงมองดูราวกับไม่แยแสที่สาวใช้พูด นางจึงเริ่มไม่สำรวมต่อหน้าท่านอ๋องแล้ว
เฉียนยินพลันแลบลิ้นออกมาและมิได้พูดอะไรออกมาอีก
หากแต่เรื่องที่สามารถทำให้จิ้งอ๋องสนใจได้ “ในสองวันนี้ เปิ่นหวางยังครุ่นคิดกับเรื่องนี้อยู่ พระราชโองการแต่งตั้งได้เปลี่ยนไปทุกวัน อีกทั้งยังมีทั้งองครักษ์และองครักษ์เงาปกป้องอย่างแน่นหนา ถ้าเช่นนั้นพระราชโองการถูกเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร ?”
หยุนชางเพียงหัวเราะเบา ๆ ออกมา “เป็นเพียงกลอุบายเล็กน้อยเพคะ เสด็จพ่อไปเจาะจงประเด็นเกี่ยวกับพระราชโองการแต่งตั้งที่ถูกย้อมให้เป็นสีแดงผิดที่ หากแต่ท่านอ๋องครุ่นคิดให้ดี ท่านก็จะเข้าใจเกี่ยวกับกลไกตามธรรมชาติของมัน”
“โอ้ ? ” จิ้งอ๋องเพียงครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จึงพูดออกมาว่า “เป็นไปได้หรือไม่ว่า. ตอนเขียนพระราชโองการแต่งตั้ง ถูกคนสอดมือเข้าแล้ว อีกทั้งคงจะเป็นน้ำหมึกแบบพิเศษ จึงทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นมา ?”
ในแววตาของหยุนชางเต็มไปด้วยความชื่นชมเป็นอย่างมาก พลันยิ้มออกมาแล้วพูดว่า “เร็วกว่านั้นอีกเพคะ. ในการเขียนพระราชโองการแต่งตั้งขึ้นนั้น การดาษที่ตระเตรียมไว้ทั้งหมดล้วนจะต้องส่งขึ้นไปให้จักรพรรดิ. หากแต่ในช่วงเวลาเหล่านั้นกลับส่งกระดาษที่มีปัญหาไปให้แทน”
“เจ้าช่างวางแผนได้ลึกซึ้งยิ่งนัก ไม่แปลกใจเลย เหตุใดจักรพรรดิจักหาสาเหตุไม่เจอ ที่แท้จักรพรรดิเข้าใจแค่ว่าการเขียนพระราชโองการแต่งตั้งตอนประกาศออกไปนั้นเกิดปัญหา หากแต่มิได้คาดคิดว่าตอนเขียนพระราชโองการนั้นกลับถูกสอดมือเข้ามายุ่งเกี่ยวแต่แรกแล้ว จึงมิได้ระมัดระวังกระดาษแผ่นนั้น ” จิ้งอ๋องยิ้มพร้อมมองไปที่หยุนชาง “เปิ่นหวางได้แต่งกับหวางเฟยที่พิเศษจริง ๆ ”
หยุนชางยิ้มออกมาเล็กน้อย พร้อมกับตั้งใจกินอาหาร โดยมิได้เอ่ยอันใดออกมาอีก
เหตุการณ์ที่เกี่ยวกับพระราชโองการแต่งตั้งนั้น เมื่อส่งไปยังหัวเมืองต่าง ๆ แล้วก็ยังเกิดปัญหาเช่นกัน ข่าวลือพลันลุกลามไปไกลแล้วยากที่จะระงับเหตุการณ์ลงได้ จักรพรรดิหนิงและเสนาบดีจิ่งพร้อมลูกสาวนั้นมิพูดอะไรออกมาเลยสักคำ ภายในใจวิตกกังวลเป็นอย่างมาก จึงรีบร้อนไปอัญเชิญท่านเจ้าอาวาสอู๋น่าและปรมาจารย์หลิวซวีมาที่เมืองหลวงทันที จึงเลือกเดือนสองวันที่สิบห้า เป็นวันแห่งการทำนายดวงชะตา เพื่อตั้งแท่นบูชาขอพรจากสรวงสวรรค์ อีกทั้งยังให้ปรมาจารย์หลิงซีพร้อมกับท่านเจ้าอาวาสอู๋น่าร่วมกันทำนายดวงเมืองแคว้นหนิง
จึงได้จัดให้ท่านเจ้าอาวาสอู๋น่าอยู่ที่เรือนรับรองในเมืองหลวงพร้อมกับปรมาจารย์หลิงซวี ทั้งคู่ต่างก็ไม่สามารถกำจัดกันเองได้ เนื่องจากวรยุทธ์ด้านกังฟูของพวกเขานั้นล้วนแต่เป็นเลิศ เมื่อเริ่มต่อสู้กันแล้ว จึงเป็นการยากที่จะไม่ให้เรือนรับรองถูกโจมตีได้
ในวันที่สอง จักรพรรดิจึงได้อัญเชิญท่าเจ้าอาวาสอู๋น่าให้เข้าพักอยู่ที่วังจิ้งอ๋อง หากแต่ปรมาจารย์หลิงซีนั้นให้เข้าพักที่จวนเสนาบดีแทน
ในมือของหยุนชางถือหมากรุกพร้อมมองไปยังพระที่อยู่ตรงข้าม พลันถอนหายใจออกมาว่า “หม่อมฉันยังนึกว่าเป็นปรมาจารย์หลิงซีเสียอีก ที่แท้กลับเป็นท่าน เมื่อมาถึงก็สู้กันเสียแล้ว ได้ยินมาว่าเขาถูกท่านตีจนแขนหักเชียวหรือ ? ”
ท่านเจ้าอาวาสอู๋น่าพลันส่งเสียงฮึดฮัดออกมา “ตาแก่หัวดื้นนั่น. ข้าจะดื่มเหล้านารีแดง เขากลับจะดื่มเหล้าเผาดาบ มิอาจอยู่ร่วมกันได้ทั้งคู่”
มือของหยุนชางพลันหยุดชะงักเล็กน้อยพลางกระตุกยิ้มมุมปาก “เพียงแค่นี้งั้นหรือ ?”
ท่านเจ้าอาวาสอู๋น่าพลันพยักหน้าเล็กน้อย “แท้จริงแล้ว. ข้ามิเคยดื่มเหล้าที่บ่มไม่ดี เช่นเหล้าเผาดาบมาก่อน”
หยุนชางขมวดคิ้วด้วยความพูดไม่ออก
เฉียนยินที่อยู่ข้างกายเกือบจะล้มลงไปบนพื้น พร้อมถามด้วยน้ำเสียงกลั้นขำว่า “ทำไมท่านทั้งสองถึงไม่ซื้อเหล้ามาทั้งสองอย่างเล่า ท่านเจ้าอาวาสดื่มเหล้านารีแดง และให้ปรมาจารย์ดื่มเหล้าเผาดาบ ”
“อื้ม ตอนนั้นมิทันได้คิด ” ใบหน้าท่านเจ้าอาวาสมิได้เปลี่ยนสี หากแต่เสียงพูดกลับแผ่วเบา
ครั้งนี้ เฉียนยินจึงมิรู้ว่าควรจะกล่าวอะไรออกมาดี
เดือนสองวันที่สิบห้า ในยามเช้าเจ้าหน้าที่พลเรือนมากมายต่างเข้ามาเตรียมพร้อมอยู่ที่แท่นบูชาด้านล่าง แม้จะเป็นการบรวงสรวงธรรมดา หากแต่รอบนอกล้วนแต่เต็มไปด้วยเหล่าราษฏร ท่านเจ้าอาวาสอู๋น่าและปรมาจารย์หลิงซวีต่างนั่งอยู่บนแท่นบูชาทั้งสองข้าง ปากพลันขยับอยู่ตลอดเวลา
เมื่อยามเที่ยงของวันนี้ จักรพรรดิหนิงจึงสวมอาภรณ์บูชาฟ้าดินเดินเข้ามา ผู้คนรอบกายล้วนแต่คุกเข่าทำความเคารพ เพียงมองดูจักรพรรดิหนิงเดินขึ้นบันไดด้วยความสงบ เพื่อเดินไปยังจุดตรงกลางของแท่นบูชา
ท่านเจ้าอาวาสอู๋น่าพร้อมทั้งปรมาจารย์หลิงซวีพลางลุกขึ้นยืนคำนับ พลันมองไปยังเครื่องบูชาทั้งหมดของจักรพรรดิหนิงแล้ว หัวหน้าเจิ้งข้างกายจึงให้คนรีบร้อนส่งเครื่องบูชาทั้งหมดมาวางไว้บนแท่นบูชา พร้อมทั้งจุดธูปพลางยื่นส่งให้จักรพรรดิหนิง จักรพรรดิหนิงพลางคุกเข่าลงบนพื้น พร้อมก้มกราบสามครั้ง “ขอให้แคว้นหนิงจงเจริญ”
เหล่าบรรดาพลเรือนต่าง ๆ จึงกราบสามครั้ง พร้อมพูดตามว่า “ขอให้แคว้นหนิงจงเจริญ”
จากนั้นจักรพรรดิจึงพูดขึ้นมาว่า “การบูชาสรวงสวรรค์ในวันนี้. เพื่อเป็นการขอพร จึงได้อัญเชิญท่านเจ้าอาวาสอู๋น่าพร้อมทั้งปรมาจารย์หลิวซวีมาทำนายดวงชะตาของเมือง”
ท่านเจ้าอาวาสอู๋น่าพร้อมทั้งปรมาจารย์หลิวซวีพลันลุกขึ้นยืน พร้อมโค้งคำนับ จึงเดินไปยังตรงกลางของแท่นบูชา ในมือของท่านเจ้าอาวาสอู๋น่านั้น ถือเพียงเซียมซี หากแต่ในมือของปรมาจารย์หลิวซวีนั้น ถือเขาวัวสองข้าง ทั้งสองคนต่างตั้งอกตั้งใจอยู่กับการทำนายของตนเอง พลางหยิบทั้งปากกาและการดาษที่คนรับใช้มอบให้ พร้อมทั้งเขียนคำทำนายลงไป พลางส่งให้กับข้ารับใช้ข้างกายของจักรพรรดิ
เมื่อหัวหน้าเจิ้งได้มาแล้ว จึงพูดเสียงดังว่า “ผู้ที่คิดร้ายต่อประเทศชาติ มิสมควรเป็นฮองเฮา หากจัดการได้ แคว้นหนิงจักเจริญรุ่งเรืองไปร้อยปี”
จักรพรรดิที่อยู่บนแท่นบูชานั้นตัวสั่นเทาเมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว พลางหันไปจ้องหัวหน้าเจิ้ง หัวหน้าเจิ้งเองร่างกายก็สั่นสะท้าน พลางหยิบกระดาษอีกแผ่นขึ้นมา พลันเงียบไปอยู่ครู่หนึ่งพร้อมบอกว่า “กระดาษอีกแผ่นเนื้อหาก็เป็นเหมือนกันพะยะคะ ไม่มีพลาดเลยสักตัว ”
จักรพรรดิหนิงแอบกำหมัดอยู่ใต้เสื้อ ใต้แทนบูชานั้นเหล่าบรรดาพลเรือนลือกันให้แซด แม้ว่าเขาจะมิรู้ว่าพวกเขากำลังคุยอะไรกัน หากแต่เขารับรู้ได้ว่าต้องพูดถึงเรื่องนี้อย่างแน่นอน