เรื่องหนังสือพระราชโองการที่เปื้อนเลือด จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่รู้ได้ว่าเป็นฝีมือของหลิวฉีเหยียนหรือว่าหยุนชาง หากเป็นฝีมือหยุนชาง แล้วเหตุใดนางจึงผลักดันให้หลิวชิงหย่าได้ขึ้นเป็นฮองเฮา หากเป็นฝีมือหลิวฉีเหยียน เขาจะเก่งกล้าถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?
จิ่งขุยเสนอตัวเป็นผู้ดูแลจัดการเรื่องพระราชพิธีแต่งตั้งฮองเฮา คงจะมีเป้าหมายอื่นแอบแฝง จะมีเงื่อนงำบางอย่างซ่อนอยู่หรือไม่นะ
“เรื่องนี้ขอมอบให้เจ้าเป็นคนจัดการ ไม่จำเป็นต้องเข้าวังมาหารือกับข้าทุกเรื่อง” จักรพรรดิหนิงตรัส เขาทอดพระเนตรไปที่หยุนชางที่ดูใจลอย นิ่งเงียบไปสักพัก ก่อนจะส่งสัญญาณมือให้จิ่งขุยกลับออกไป
“ชางเอ๋อร์ เจ้าดูจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลยนะ เป็นอะไรไปน่ะ?” เมื่อจิ่งขุยเดินออกไปแล้ว จักรพรรดิหนิงจึงเดินออกมาจากโต๊ะทรงงาน เขาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของหยุนชาง
หยุนชางก้มหน้าแล้วเอ่ยเสียงเบา “มิได้เพคะ เพียงแต่ช่วงนี้มีเรื่องที่ต้องคิดมากเป็นพิเศษ จึงรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อยเพคะ”
เมื่อจักรพรรดิหนิงได้ฟัง เขาพินิจพิเคราะห์ใบหน้าของหยุนชางอยู่พักหนึ่ง ก็เห็นว่าใบหน้าของนางค่อนข้างซีด พลันรู้สึกเห็นอกเห็นใจ “จิ้งอ๋องได้รับบาดเจ็บ ช่วงนี้เจ้าคงจะลำบากไม่น้อยเลย”
หยุนชางส่ายหน้า “การดูแลท่านอ๋องถือเป็นสิ่งที่หม่อมฉันควรทำอยู่แล้วเพคะ หม่อมฉันเพียงแต่กังวลเรื่องสิ่งที่ฮ่องเต้แคว้นเซี่ยได้ตรัสไปเมื่อคืน เกรงว่าหลายๆคนจะเคลือบแคลงในตัวท่านอ๋อง ท่านอ๋องเป็นวีรบุรุษยอดนักรบของแคว้นหนิง หากเรื่องนี้ถูกแพร่ออกไปล่ะก็ หม่อมฉันเกรงว่าจะทำให้ราษฎรเสียขวัญและกำลังใจเพคะ”
จักรพรรดิหนิงนิ่งไปสักพักหนึ่งแล้วจึงตรัสว่า “ข้าได้ยินมหาเสนาบดีจิ่งพูดว่า ข่าวนี้ได้เริ่มแพร่ออกไปภายในวังบ้างแล้ว บอกว่าจิ้งอ๋องเป็นองค์ชายใหญ่แห่งแคว้นเซี่ย และยังแต่งเติมเรื่องเท็จเข้าไปอีกมากมาย” จักรพรรดิหนิงเห็นหยุนชางเงยหน้าขึ้นมามองตน จึงยิ้มให้นางอย่างอ่อนโยน “แต่ข้าได้ทำข้อตกลงกับฮ่องเต้แคว้นเซี่ยเอาไว้แล้ว ภายใน 100 ปี ห้ามแคว้นเซี่ยส่งทหารมารุกรานแคว้นหนิง เพื่อเป็นการกระตุ้นขวัญและกำลังใจให้กับราษฎร”
ตรัสเสร็จ ก็ทรงถาม “เรื่องที่จิ้งอ๋องเป็นลูกของฮองเฮาแคว้นเซี่ยเป็นเรื่องที่เจ้าเคยพูดกับข้าเอง เจ้ากับจิ้งอ๋องคงเตรียมการรับมือเอาไว้บ้างแล้ว พวกเจ้ามีแผนว่าอย่างไร?”
หยุนชางเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “เรื่องนี้หม่อมฉันและจิ้งอ๋องก็เพิ่งทราบเหมือนกันเพคะ เสด็จพ่อเองคงจะทราบดี เมื่อครั้งที่หม่อมฉันไปอยู่เมืองคังหยาง เซี่ยโหเหยียนองค์รัชทายาทแห่งแคว้นเซี่ยจู่ๆก็ได้นำทหารจำนวน 4 แสนนายมาล้อมเมืองจิ้งหยางไว้ สร้างความสูญเสียให้กับเมืองจิ้งหยาง ตอนนั้นท่านอ๋องกับหม่อมฉันคิดว่า ไม่ว่าองค์รัชทายาทแห่งแคว้นเซี่ยจะมีเหตุจำเป็นอย่างไร นี่ก็ถือเป็นเรื่องที่ไม่สมควรกระทำ ในตอนนั้นฮวากั๋วกงได้นัดหมายให้ท่านอ๋องไปพบและบอกเรื่องนี้กับท่านอ๋อง เขาบอกว่าเซี่ยโหเหยียนได้นำทหารมาล้อมเมืองไว้แล้ว เพราะเขาเกรงว่าหากสถานะที่แท้จริงของท่านอ๋องถูกเปิดเผย จะทำให้ตำแหน่งรัชทายาทของเขาสั่นคลอน เขาจึงลงมือทำเรื่องนี้ลงไปเพคะ”
“แต่หลังจากนั้น ท่านอ๋องก็ได้รับบาดเจ็บระหว่างออกรบในเมืองจิ้งหยาง เขาสลบไปเป็นเวลานาน เมื่อฟื้นขึ้นมาแล้ว หม่อมฉันเป็นห่วงเขามากจนไม่อยากถามว่าเขาคิดจะทำอย่างไรต่อไป จนกระทั่งวานนี้ ฮ่องเต้แคว้นเซี่ยได้พูดเรื่องนี้ขึ้นมา ระหว่างที่พวกเราออกมาจากวังก็ถูกลอบทำร้าย ท่านอ๋องก็ยิ่งรู้สึกไม่ดี หม่อมฉันจึงมิได้พูดถึงเรื่องนี้เพคะ”
จักรพรรดิหนิงครุ่นคิด ก่อนจะยิ้มและตรัสว่า “ในเมื่อจิ้งอ๋องเป็นองค์ชายแห่งแคว้นเซี่ย หากจะกลับคืนสู่ฐานันดรศักดิ์ที่แท้จริงก็เห็นเป็นเรื่องที่สมควร” ตรัสจบก็ทรงน้อมตัวลงมากระซิบที่ข้างหูของหยุนชาง “ชางเอ๋อร์ เจ้าเป็นลูกของพ่อ พ่อปรารถนาดีกับเจ้าเสมอ หากแม้นจิ้งอ๋องกลับคืนสู่ฐานันดรศักดิ์ที่แท้จริง ด้วยความรู้ความสามารถที่เขามี ตำแหน่งฮ่องเต้แคว้นเซี่ยคนต่อไปได้ก็คงอยู่ไม่ไกลนัก หากเขาได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้แคว้นเซี่ยแล้ว ตำแหน่งฮองเฮาแห่งแคว้นเซี่ย เจ้าจะต้องกำเอาไว้ในมือเจ้าให้แม่นมั่น”
หยุนชางเมื่อได้ยินดังนั้นแล้ว นางถึงกับสั่นสะท้านไปทั้งร่าง นางเงยหน้ามองจักรพรรดิหนิง นัยน์ตาเต็มไปด้วยความสับสน
จักรพรรดิหนิงหัวเราะออกมาเบาๆแล้วยืนตัวตรง แล้วทอดพระเนตรไปยังภาพวาดมังกรเคียงหงส์ฟ้าที่แกะสลักอยู่บนเสาด้านข้าง “เจ้าเป็นเด็กที่เฉลียวฉลาด เจ้าฉลาดจนบางครั้งข้าเองก็นึกไม่ถึง เจ้ามีความอดทนและรอบรู้ แคว้นหนิงกับแคว้นเซี่ยทำสงครามกันมาเป็นร้อยๆปี พวกเราสูญเสียวีรชนคนกล้าไปเป็นจำนวนไม่น้อย หากเจ้าได้ขึ้นเป็นฮองเฮา คงจะช่วยพูดกับลั่วชิงเหยียนได้ ขอให้ต่อจากนี้ไป ทั้งสองแคว้นรักใคร่ปรองดองกัน การทำศึกสงครามแต่ละครั้ง ผู้ที่ลำบากก็คือราษฎรของเรา……”
จักรพรรดิหนิงถอนหายใจ “การเป็นฮองเฮา คงไม่ปรารถนาให้มีศึกสงครามเกิดขึ้น คงจะปรารถนาเพียงให้ไพร่ฟ้าได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข แคว้นหนิงเจริญรุ่งเรือง หากเจ้ารับปากข้าเรื่องนี้ได้ ข้าก็จะรับปากเจ้า ว่าตำแหน่งฮ่องเต้แคว้นหนิงคนต่อไป จะต้องเป็นของเฉินซีเพียงผู้เดียว”
“เสด็จพ่อ……” หยุนชางอ้าปากค้างหลังจากได้ฟังคำพูดของจักรพรรดิหนิง นางเกิดความลังเล ผู้เป็นฮองเฮาย่อมปรารถนาให้ไพร่ฟ้าได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข แผ่นดินเจริญรุ่งเรืองเป็นธรรมดา แต่ก็มีฮองเฮาหลายองค์ที่ปรารถนาในการยึดครองอำนาจ เป็นผู้ยืนอยู่เหนือผู้คนทั่วดินแดน สิ่งที่นางกลัวก็คือ วันหนึ่งในภายภาคหน้า เสด็จพ่อหรือสวามีของนาง อาจจะมีความคิดเช่นนี้ขึ้นมาก็เป็นได้……
“สถานะของท่านอ๋องในตอนนี้ยังคงไม่เป็นที่แน่ชัด จะพูดถึงเรื่องนี้เห็นทีคงจะเร็วเกินไปเพคะ แล้วอีกอย่าง ตอนนี้แคว้นเซี่ยก็มีองค์รัชทายาทอยู่แล้ว หม่อมฉันมิทราบว่าท่านอ๋องคิดเห็นประการใด หม่อมฉันเพียงหวังว่า ท่านอ๋องจะได้ใช้ชีวิตที่สงบสุขปราศจากความวุ่นวาย หม่อมฉันไม่ชอบเรื่องการชิงดีชิงเด่น เหนื่อยเปล่าๆเพคะ……” หยุนชางพูดอย่างหนักแน่น นางเงียบไปสักพัก แล้วจึงเอ่ยว่า “หากท่านอ๋องคิดแผนการไว้เช่นนั้น แคว้นหนิงเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของหม่อมฉัน มีเสด็จพ่อเสด็จแม่อยู่ด้วย และยังมีน้องชาย หม่อมฉันจะพยายามรักษาความสงบสุขภายในแคว้นหนิงอย่างสุดกำลังเพคะ”
จักรพรรดิหนิงได้ฟังดังนั้นแล้วจึงยิ้มพลางพยักหน้า “ดีๆๆ ได้ยินชางเอ๋อร์พูดแบบนี้แล้ว ข้าก็สบายใจ”
จักรพรรดิหนิงดีพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ทรงให้หยุนชางอยู่คุยเล่นด้วยสักพักแล้วจึงให้นางกลับไป ในขณะที่เดินออกมาจากตำหนักฉินเจิ้ง หยุนชางก็ได้พบเจิ้งมามายืนรออยู่ตรงประตู เมื่อนางเห็นหยุนชางเดินมาก็ส่งยิ้มทักทาย “จิ่นเฟยเหนียงเหนียงทราบมาว่าพระชายาจะเสด็จเข้ามาในวัง จึงให้หม่อมฉันมายืนรอ เมื่อพระชายาเสด็จออกมาแล้วให้เชิญไปที่วังจิ่นซิ่วเพคะ”
หยุนชางเพิ่งจะได้ยิ้มออกมาอย่างเต็มที่ก็ครานี้ “เสด็จแม่ดีที่สุดเลย เตรียมของอร่อยอะไรเอาไว้ให้ข้าบ้าง?”
เจิ้งมามาได้ยินก็หัวเราะ “จิ้งอ๋องมิได้ประทานขนมให้พระชายาเสวยเลยใช่ไหมเพคะ? ดูท่าทางพระชายาจะอยากเสวยเอามากๆ วางพระทัยเถิดเพคะ ของอร่อยที่เตรียมไว้มีแต่ของที่พระชายาโปรดทั้งนั้นเลยเพคะ”
หยุนชางยิ้มและพยักหน้า แล้วเสด็จไปที่วังจิ่นซิ่วพร้อมเจิ้งมามา
เฉินซีเพิ่งจะตื่นนอน เขาร้องไห้งอแง จิ่นกุ้ยเฟยกำลังอุ้มเขาและเดินไปเดินมาอยู่ในตำหนัก นางพยายามปลอบลูกชายตัวน้อย หยุนชางเดินเข้าไปจับแก้มของเฉินซี “พี่มาแล้ว ไม่ต้องร้องไห้แล้วนะ……”
เมื่อพูดจบ พลันเฉินซีก็หยุดร้องไห้จริงๆ จิ่นกุ้ยเฟยกับหยุนชางมองหน้ากันแล้วหัวเราะ “พี่สาวคนนี้นี่ไม่เลวเลยจริงๆ ข้าปลอบเขามาตั้งนาน เขาไม่สนใจข้าเลย” จิ่นกุ้ยเฟยส่งเฉินซีให้กับแม่นม แล้วพาหยุนชางมาพูดคุย “เมื่อวานนี้ข้าเห็นสีหน้าของจิ้งอ๋องไม่สู้ดีนัก ได้ยินว่าตอนค่ำก็ถูกลอบทำร้ายอีก ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
หยุนชางส่ายหน้า “ไม่เป็นอะไรแล้วเพคะ จิ้งอ๋องเพียงแค่รู้สึกว้าวุ่น หม่อมฉันเองก็ไม่รู้จะช่วยได้อย่างไร คงต้องรอให้เขารู้สึกดีขึ้นมาเองเพคะ” พูดจบ หยุนชางก็เปลี่ยนเรื่องคุย “เสด็จแม่ทรงทราบหรือไม่เพคะ ตอนนี้หัวจิ้งอยู่ในวัง นางไปเป็นผู้หญิงคนโปรดขององค์รัชทายาทแห่งแคว้นเย้หลางแล้วนะเพคะ ตอนนี้กำลังตั้งครรภ์อยู่ด้วย”
เมื่อจิ่นกุ้ยเฟยได้ฟังก็ถึงกับตะลึง นางส่ายหน้าเบาๆ “ตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นกับฮองเฮา ข้าก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องขององค์หญิงหัวจิ้งเลย สิ่งที่เกิดขึ้นกับคนตระกูลหลี่ทำให้ข้านึกถึงคำกล่าวของพระคำหนึ่ง ก็คือเวรกรรมตามสนอง หลี่อี้หรานที่เคยทำตัวสูงส่ง กลับต้องเจอจุดจบที่น่าเวทนา องค์หญิงหัวจิ้งผู้ที่คิดว่าตนเองเลอเลิศที่สุดในปฐพี ตอนนี้กลับกลายมาเป็นเพียงนางบำเรอไปเสียแล้ว