ลู่จิ้นยวนไม่สนใจเขา หลังจากที่ลู่อันหรานบ่นไปได้สองสามคำ เห็นว่าพ่อของเขาไม่สนใจเขาเลย เขาก็พึมพำแล้วเดินออกไปจากห้องหนังสือ
ลู่จิ้นยวนดูไปที่ไอดีของหญิงสาวที่บนหน้าจอของโทรศัพท์อยู่สักพัก เขารู้สึกว่าตัวเองนั้นไม่ปกติจริงๆ
เรื่องผู้หญิงนั้น เขาไม่ได้ให้ความสนใจมานานมากแล้ว
แต่ทำไมกับผู้หญิงคนนี้ที่ชื่อโม่โยว ทำให้เขามีแรงกระตุ้นอะไรบางอย่างที่อยากจะเข้าไปทำความรู้จัก
เขาหลับตาลง ดวงตาของหญิงสาวก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา
สดใส ชัดเจนมาก และคล้ายกับดวงตาของเวินหนิงในความทรงจำมาก แต่มีความดื้อรั้นและความผันผวนมากกว่าเล็กน้อย
แต่ ทั้งๆที่เวินหนิงไม่อยู่แล้ว …
หลังจากที่เวินหนิงหายตัวไป ลู่จิ้นยวนใช้เวลาและใช้แรงกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อค้นหาเธอ แต่กลับพบศพหญิงร่างหนึ่งที่ไม่มีคนมายอมรับอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำ
ในเวลานั้นอารมณ์และสติของเขาเหมือนกำลังจะพังทลายลง แต่เป็นเพราะยังมีลู่อันหราน ทำให้ลู่จิ้นยวนนั้นไม่อาจล้มลงได้
ถึงแม้ว่าเขาจะเข็มแข็งและลุกขึ้นยืนได้อย่างรวดเร็ว จนเกินความคาดหมายของตระกูลลู่ก็ตาม
แต่มีเพียงตัวเขาเท่านั้นเองที่รู้ว่า ในขณะที่ฝังศพของเวินหนิง หัวใจของเขาก็ตายไปพร้อมกับมัน
ในชีวิตนี้ เขาจะไม่มีทางที่จะรักผู้หญิงคนอื่นได้อีกแล้ว
ซึ่งมันควรจะเป็นไปเช่นนี้ ลู่จิ้นยวนถือว่านี่เป็นการลงโทษสำหรับเขาอย่างหนึ่ง แต่การมีตัวตนของหญิงสาวที่ชื่อโม่โยวคนนี้ ทำให้หัวใจของเขาสั่นคลอน
ลู่จิ้นยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง โทรโทรศัพท์ไปให้อันเฉิน ให้เขาไปสืบประวัติที่มาของผู้หญิงคนนี้
…
โม่โยวที่อยู่ในห้องผู้ป่วย รู้สึกเบื่อหน่ายมาก
ตอนเช้าที่ได้โทรศัพท์ไปหาโม่เทียนยวี๋ ณตอนนี้เขาก็ยังไม่ได้ติดต่อกลับมา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกำลังยุ่งหรือไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า
เธอรู้สึกกังวลเล็กน้อย เขาอยู่ต่างประเทศจะเจอปัญหาอะไรหรือเปล่า
ในขณะที่เธอกำลังมองไปที่ผนังว่างเปล่าด้วยความเหม่อลอย เสียงข้อความโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
เธอเหลือบมองอย่างรวดเร็ว คิดว่าเป็นข้อความของโม่เทียนยวี๋ แต่สิ่งที่ปรากฏคือคำเชิญให้เพิ่มเพื่อน
ลู่ … จิ้นยวน
โม่โยวส่ายหัวไปมา สงสัยว่าตัวเองจะตาลายไปหรือเปล่า
คนใหญ่คนโตอย่างเขา เป็นคนขอเธอเพิ่มเพื่อนในวีแชทก่อน …
เป็นอะไรที่น่าเหลือเชื่อมาก
อย่างไรก็ตามโม่โยวครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง อาจจะเป็นเพราะเรื่องของลู่อันหรานก็ได้ จากนั้นก็ไม่ได้คิดมากอีก ไม่ช้าก็ตอบตกลงคำเชิญของเขา
เมื่อเห็นว่าเธอกดผ่าน ลู่จิ้นยวนก็รีบใช้นิ้วกดเข้าไปดูโมเมนต์ของเธอ แต่ว่าในโมเมนต์ของนั้นเธอแทบจะไม่ได้ลงข้อความใด ๆ เลย มันแทบจะว่างเปล่า ไม่มีร่องรอยของการใช้ชีวิตอะไร
“ คุณหาฉัน มีธุระเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ”
โม่โยวเห็นว่าลู่จิ้นยวนเพิ่มเธอแล้วแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ก็เลยถามขึ้นมาก่อนอย่างระมัดระวังคำพูด
สำหรับผู้ชายคนนี้ เธอเดาไม่ออกและไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่จริงๆ
“ไม่มีอะไรครับ ”
ลู่จิ้นยวนตอบกลับไปอย่างง่ายๆ ” อันหรานบอกว่าอยากจะไปเยี่ยมคุณ น่าจะเป็นพรุ่งนี้ คุณสะดวกไหมครับ”
โม่โยวคิดไปคิดมา เธอไม่มีอะไรให้ทำอยู่แล้ว ” ฉันสะดวกค่ะ ”
“งั้นก็ดี.”
ลู่จิ้นยวนตอบกลับไปอย่างเป็นมารยาท ในเวลานี้อันเฉินก็ได้ส่งข้อมูลที่เขาต้องการรู้มาให้เขา
จะบอกว่าเป็นข้อมูล แต่จริงๆแล้วเป็นเพียงเรซูเม่แผ่นเดียวเท่านั้น
อันเฉินที่อยู่ในโทรศัพท์ได้รายงานว่า ” ขอโทษครับ เจ้านาย แม้ว่าจะใช้ระบบข่าวกรองของบริษัทในการตรวจสอบ แต่ … ผู้หญิงที่ชื่อโม่โยวคนนี้ดูเหมือนว่าประวัติจะไม่ธรรมดา นอกเหนือจากประวัติย่อนี้แล้ว ก็ไม่มีข้อมูลข่าวคราวอะไรอีกเลยครับ ”
อันเฉินก็รู้สึกว่ามันแปลกประหลาดมาก ตามหลักแล้ว เครือข่ายหน่วยสืบราชการลับของตระกูลลู่นั้นน่าเกรงขามมาก ถ้าต้องการค้นหาประวัติความเป็นมาของใครคนหนึ่งแล้วล่ะก็มันง่ายมาก ถ้าหากไม่ใช่เพราะตั้งใจซ่อนหรือปกปิดมัน จะใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที ก็สามารถค้นหาไปยังบรรพบุรุษสิบแปดชั่วโคตรออกมาอย่างชัดเจน
แม้กระทั่ง รวมไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลของบุคคลนั้นตั้งแต่แรกเกิดจนโตก็ยังได้
แต่ว่า โม่โยวคนนี้ไม่มีข้อมูลข่าวคราวพวกนี้เลย มันเป็นเหมือนอย่างกับกระดาษว่างเปล่า
“ โอ้……”
ลู่จิ้นยวนมองไปที่เรซูเม่ที่มีเพียงรูปถ่ายติดบัตรประจำตัวและข้อความธรรมดา ๆ บางส่วน ดูเหมือนว่า มันช่างน่าเบื่อเสียจริงและไม่พบจุดเด่นหรือข้อสงสัยใด ๆ
อย่างไรก็ตามลู่จิ้นยวนก็พบร่องรอยของความผิดปกติได้อย่างรวดเร็ว ในเรซูเม่นี้ไม่มีข้อมูลใด ๆ ก่อนที่เธอจะมาทำงานนี้
ไม่ว่าจะเป็นวุฒิการศึกษา หรือแม้กระทั่งประวัติการเข้ารับการศึกษาก่อนหน้านี้ ก็เว้นว่างเปล่าไว้
ตามหลักแล้ว คนปกติทั่วไปจะต้องกรอกข้อมูลเหล่านี้ลงไปด้วย
ลู่จิ้นยวนขมวดคิ้ว ” ฉันรู้ล่ะ สืบต่อไป หากค้นเจอข้อมูลอะไรเพิ่มเติม ก็รีบแจ้งให้ฉันทราบได้ทันที”
อันเฉินพยักหน้าแล้ววางสายไป
ลู่จิ้นยวนได้หยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมา และเหลือบไปที่ประวัติการแชทของทั้งสองคน ” คุณโม่โยวครับ ขออนุญาตถามหน่อยได้ไหมครับ คุณจบมหาวิทยาลัยที่ไหนครับ ”
โม่โยวที่กำลังดูทีวีอยู่ เมื่อเห็นข้อความที่ลู่จิ้นยวนถาม สีหน้าของเธอเปลี่ยนไป ทำให้เธอทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ
นี่หมายความว่าอย่างไร ลู่จิ้นยวนจะติดต่อหรือพบใครก่อน จะต้องตรวจสอบสืบประวัติไปจนถึงบรรพบุรุษสิบแปดชั่วโคตรเลยเหรอ ยังต้องคัดกรองการศึกษาด้วยเหรอ
ดูเหมือนว่าเธอ … ไม่มีสิ่งเหล่านั้นจริงๆด้วย …
หลังจากที่โม่โยวตื่นขึ้นมา ก็จำอะไรเหล่านั้นไม่ได้แล้ว จะให้มีความจำนั้นได้อย่างไร ถึงแม้ว่าโม่เทียนยวี๋จะเคยบอกว่า สามารถทำเรื่องให้เธอไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัยได้หรือสามารถทำประกาศนียบัตรให้เธอ แต่ก็ถูกเธอปฏิเสธไป
“ต้องขอโทษที่นะคะ นี่ดูเหมือนว่ามันไม่มีความจำเป็นหรือความสำคัญอะไรเลยนะคะ ”
เมื่อเห็นเธอตอบกลับมาเช่นนี้ ความรู้สึกที่ไม่ลงรอยของลู่จิ้นยวนในใจก็ลึกขึ้นเล็กน้อย
“ไม่ได้มีความหมายอย่างอื่นใดครับ เพียงแค่อยากรู้อยากเห็นเล็กน้อย”
ลู่จิ้นยวนไม่ได้ถามอะไรต่อ แต่ในใจนั้น เต็มไปด้วยความคาดหวังกับการที่จะไปพบหน้ากันในวันพรุ่งนี้
ถ้าหากได้พบกันแบบตาต่อตา น่าจะได้ข้อมูลเพิ่มเติมมากกว่านี้
…
เสียงอาบน้ำของถังหว่านเอ๋อร์ เป็นการปลุกให้โม่เทียนยวี๋ตื่นขึ้นมา
โม่เทียนยวี๋พึ่งจะจำเรื่องของโม่โยวขึ้นมาได้
สีหน้าของเขาดูรำคาญขึ้นเล็กน้อย จากนั้นเขาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วโทรกลับไป
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าผู้หญิงคนนี้ยังมีประโยชน์ต่อเขา เขาก็ไม่อยากสร้างภาพเล่นละครหรือมีความสัมพันธ์อะไรกับเธอ
เมื่อนึกถึงอะไรบางอย่าง โม่เทียนยวี๋จึงหยิบบุหรี่เข้าปากอย่างหดหู่ แล้วสูบเข้าไปอย่างแรง
อย่างไรก็ตามรอให้แต่งงานแล้ว ด้วยนิสัยใจคอของผู้หญิงคนนี้ คิดว่าก็คงจะตายใจสักที ถึงเวลานั้นก็ไม่จำเป็นต้องคอยเล่นละครอะไรที่น่าเบื่อกับเธอแบบนี้อีก
ในขณะที่คิด โม่เทียนยวี๋ก็ยิ้มออกมา หลังจากที่โทรศัพท์ดังขึ้นสองสามครั้ง ก็ถูกเชื่อมต่อ
โม่โยวรู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นว่าเป็นสายเรียกเข้าของโม่เทียนยวี๋ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่เจออุปสรรคใด ๆ แต่ในขณะเดียวกันก็มีความรู้สึกกังวลใจ
สิ่งที่พานจื้อหลานพูดนั้น ยังคงก้องอยู่ในหูของเธอ
เธอไม่สามารถปกปิดเรื่องราวของเธอได้ โม่เทียนยวี๋เป็นคนช่วยชีวิตเธอเอาไว้ เธอเป็นหนึ้บุญคุณเขา เธอไม่สามารถตอบแทนเขาด้วยการโกหก นี่มันไม่ใช่นิสัยของเธอ
“ มีอะไรเหรอ วันนี้ตอนที่เธอโทรเข้ามาฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวนิดหน่อย คุณเจอปัญหาอะไรหรือเปล่า”
หลังจากที่สายเชื่อมต่อแล้ว โม่เทียนยวี๋ไม่ได้แสดงถึงความน่าเบื่อรำคาญใดออกมาแม้แต่น้อย แต่กลับถามขึ้นมาอย่างอ่อนโยน
แต่เมื่อเทียบกับการแสดงออกที่ไม่แยแสของเขาในขณะนี้ น้ำเสียงที่อบอุ่นนั้นทำให้คนเขารู้สึกถึงความไม่พอใจอย่างมาก
“คุณโอเคไหมคะ”
เมื่อโม่โยวได้ยินว่าโม่เทียนยวี๋ไม่สบายตัว ก็รีบถามขึ้นมาอย่างเป็นห่วงทันที จนลืมบอกไปว่าตัวเองนั้นยังอยู่ในโรงพยาบาล
“ยังโอเค ไม่เป็นอะไรมากครับ”
เมื่อได้ยินโม่เทียนยวี๋พูดเช่นนี้ โม่โยวก็โล่งใจ จากนั้นก็กัดริมฝีปากแล้วพูดว่า ” มาเข้าเรื่องกันเถอะค่ะ บางทีมันอาจจะยากที่คุณจะยอมรับมัน แต่ไม่ว่าคุณจะตอบยังไง ฉันก็จะเห็นด้วยค่ะ”