เขายิ้มมุมปากอย่างอืดอัด ในใจก็กำลังคิด
เมื่อกี้โม่โยวพูดอะไรกับเขานะ?
ลู่จิ้นยวนกับเธอไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัว?
ตัวเองเข้าใจผิดงั้นหรอ?
โม่โยวพยายามปรับสีหน้า ในใจก็โล่งไปที แบบนี้สิถึงเป็นกลาง ถ้าเขาตอบตกลงเงื่อนไขที่ไร้สาระของเจ้านายตัวเอง งั้นก็แย่แน่นอน
สุดท้าย หวังเจี้ยนจางก็ไม่กล้าเสี่ยง แล้วเลือกทางเลือกที่สอง
ลู่จิ้นยวนเอ่ยพูดอย่างเรียบนิ่ง “นอกจากนี้ ยังต้องเพิ่มเงื่อนไขหนึ่งข้อ ในระหว่างร่วมงานกันดีไซน์เนอร์โม่โยวต้องเป็นคนรับผิดชอบการร่วมงานครั้งนี้ เพื่อที่จะยกระดับประสิทธิภาพก็ควรจะเข้ามาฝึกงานแล้วทำงานร่วมกันในบริษัทตระกูลลู่ จนกระทั่งหมดสัญญา”
ถ้าพูดง่ายกว่านี้ก็คือ ให้โม่โยวเป็นตัวแทนดีไซน์เนอร์มาร่วมงานชั่วคราวกับบริษัทตระกูลลู่เป็นเวลาสามเดือน
หวังเจี้ยนจางรีบตอบตกลงทันที ในใจก็อดสงสัยไม่ได้ เพราะฉะนั้น ความจริงระหว่างโม่โยวกับลู่จิ้นยวน คงสนิทกันสินะ
โม่โยวอึ้งไป เธอรู้ว่าถ้าการร่วมงานครั้งนี้คุยกันลงตัว ตัวเองก็จะเป็นดีไซเนอร์ที่รับผิดชอบ แต่ไม่คิดเลยว่าลู่จิ้นยวนจะเอ่ยเงื่อนไขที่ให้เธอมาทำงานในบริษัท
เธอเห็นทั้งสองคนเซ็นสัญญากัน ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ หลังจากที่ครั้งก่อนคุณแม่ของโม่เทียนยวี๋มีรูปภาพแบบนั้น เธอก็คิดมาตลอดเลยว่าจะออกห่างจากพ่อลูกคู่นี้
แต่ตอนนี้ ตัวเองกับพวกเขากลับใกล้ชิดเข้าไปอีก
สองวันหลังจากนั้น โม่โยวก็ไปรายงานตัวที่แผนกออกแบบของบริษัทตระกูลลู่ แล้วเริ่มทำงานตามสัญญาเป็นระยะเวลาสามเดือน ระหว่างพักเที่ยง เธอก็ถูกลู่จิ้นยวนเรียกเข้าไปในห้องทำงาน
“อยู่ที่แผนกออกแบบมาครึ่งวันแล้วรู้สึกเป็นยังไงบ้างครับ? มีตรงไหนที่ไม่พอใจหรือเปล่าครับ ถ้ามีก็พูดออกมาได้”
เธอรีบส่ายหน้า “ฉันรู้สึกว่าดีมาก ไม่มีอะไรที่ไม่ดีเลยค่ะ ขอบคุณที่เป็นห่วงนะคะ”
ลู่จิ้นยวนลุกขึ้นแล้วเดินไปข้างตู้เก็บเอกสาร “วงการเสื้อผ้าก็เป็นธุรกิจหนึ่งที่สำคัญกับบริษัทมาก งานออกแบบครึ่งปีหลังสำคัญมาก เดี๋ยวผมจะให้ข้อมูลกับคุณ คุณก็เอากลับไปศึกษาแล้วกัน”
ทันใดนั้น โทรศัพท์บนโต๊ะก็ดังขึ้น
ห้องทำงานของเขากว้างมาก ระยะห่างระหว่างตู้เก็บเอกสารกับโต๊ะทำงานก็ห่างมาก ลู่จิ้นยวนมองไปที่โม่โยว ให้เธอกดรับ
เสียงของอันเฉินก็ลอยมา
“บอสครับ เกิดปัญหาที่แผนกวิจัยพัฒนา คุณรีบไปดูเถอะครับ”
ลู่จิ้นยวนขมวดคิ้วแล้วเอ่ย “คุณรออยู่ที่นี่ก่อน ผมจะรีบกลับมา” พูดจบ ก็ก้าวเดินออกไปจากห้องทำงานทันที
โม่โยวทำอะไรไม่ได้ ก็เลยต้องรออยู่ที่นี่
ความจริงเธออยากพูดว่า เดี๋ยวตัวเองค่อยขึ้นมาก็ได้ รู้สึกว่าอยู่คนเดียวในห้องทำงานผู้บริหารแบบนี้ไม่ค่อยดีมากนัก
เธอเห็นว่ายังไม่ได้กดวางโทรศัพท์ ก็เลยยื่นมือไปกดวาง พอดึงมือกลับมาก็ไม่ระวังแล้วเผลอทำให้กรอบรูปถ่ายหล่นลงมา
โม่โยวตกใจแล้วรีบหยิบขึ้นมาทันที แต่สายตาก็เห็นคนในรูปก็อึ้งไป
ในรูปมีแค่ผู้หญิงคนหนึ่ง ใส่ชุดเดรสสีขาว กำลังยิ้มอย่างมีความสุข พื้นหลังก็เป็นสวนดอกไม้สีเขียว
ผู้หญิงคนนี้สวยมาก แต่เธอแน่ใจว่าตัวเองไม่รู้จัก แต่พอสบตากับผู้หญิงในรูป ความปวดศีรษะก็มาเยือนทันที
โม่โยวลุกขึ้นยืน แล้วเซถอยหลังไปสองก้าว พร้อมจับกรอบรูปในมือไว้แน่นแล้วเบิกตากว้างดูผู้หญิงในรูปจนมือสั่น
“อ้า……”
ปวดหัวมากจนเส้นเลือดกระตุก ในหัวก็มีภาพเหตุการณ์บางอย่างลอยเข้ามา แต่เธอก็เห็นไม่ชัดเลย ภาพเหตุการณ์พวกนั้นเหมือนใบมีดที่กำลังลอยอยู่ในหัวของเธอ เธอปวดจนสีหน้าเธอซีดไปหมด
เป็นอะไรกันแน่? ทำไมตัวเองถึงเป็นแบบนี้? โม่โยวหาคำตอบไม่ได้เลยใจก็ร้อนไปกว่าเดิม
กรอบรูปในมือตกลงไป จนกระจกแตกกระจาย เธอยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น แล้วความเจ็บปวดก็ค่อยหายไป
ทันใดนั้น ลู่จิ้นยวนก็กลับมา
สายตาของเขามองเห็นเศษกระจกบนพื้น สีหน้าก็เยือกเย็นทันทีแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเข้มงวด “ใครอนุญาตให้คุณแตะต้อง?”
โม่โยวตกใจแล้วมองไปที่เขา แล้วหันกลับไปมองบนพื้น สีหน้าก็ซีดขาวไปกว่าเดิมพร้อมรีบส่ายหน้า “ขอ ขอโทษนะคะ เมื่อกี้ฉัน ฉันไม่ได้ตั้งใจ ขอโทษจริงๆนะคะ”
เธอไม่สามารถอธิบายความผิดปกติเมื่อกี้ของตัวเอง ทำได้แค่เอาแต่ขอโทษ เห็นท่าทางเขาแบบนั้น ผู้หญิงในรูปภาพคงจะเป็นคนที่สำคัญกับเขามากสินะ
โม่โยวก็รู้สึกผิดในใจ วินาทีนั้นก็รู้สึกแปลกๆอย่างบอกไม่ถูก
ลู่จิ้นยวนเดินไปแล้วเก็บรูปถ่ายขึ้นอย่างนี้ระมัดระวัง หยิบเศษกระจกบนนั้นออกด้วยท่าทางที่อ่อนโยน
เขามองไปที่เธออย่างเยือกเย็น พอเห็นว่าสีหน้าของเธอย่ำแย่มากก็คิ้วขมวดแน่นไปอีก แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรแค่เอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “ออกไป”
โม่โยวก็ไม่กล้าอยู่ที่นั่นต่อ โค้งให้อีกครั้งแล้วเอ่ยขอโทษ ก็รีบก้มหน้าออกไปทันที
ลู่จิ้นยวนมองไปที่คนในรูปถ่าย ในสายตาก็มีแต่ความอ่อนโยนแล้วก็เอ็นดูที่ไม่เคยแสดงต่อหน้าใครเลย ทันใดนั้น ตาเขามัวแล้วใบหน้าของผู้หญิงในรูปกับโม่โยวก็ทับซ้อนกัน
เขาอึ้งไปแล้วรีบดึงสติกลับมาทันที พอนึกถึงท่าทางเมื่อกี้ของโม่โยว ก็เดินไปที่โต๊ะทำงาน เปิดย้อนดูกล้องวงจรปิดในคอมพิวเตอร์
เขาจ้องไปที่หน้าจอ ก็เห็นท่าทางโม่โยวกุมหัวตัวเองไว้แน่นอย่างเจ็บปวด ในสายตาก็รู้สึกแปลกๆ
ลู่จิ้นยวนไปขยายภาพให้กว้างขึ้น แล้วดูซ้ำไปซ้ำมาอย่างนั้น ในใจก็มีการคาดเดาอะไรบางอย่าง วินาทีนี้ก็เอ่อล้นออกมาหมดเลย
เขาสูดไทยใจเข้าลึกๆแล้วพยายามสงบสติอารมณ์ตัวเอง จากนั้นก็เรียกอันเฉินเข้ามา
“เรื่องครั้งก่อนที่ฉันให้ไปสืบ ได้ผลหรือยัง?”
อันเฉินรู้ว่าเขาหมายถึงเรื่องไหน สีหน้าก็เข้มงวดขึ้นมาทันที “บอสครับ ผมสืบอะไรเจอแล้วครับ คุณหนูโม่ผิดปกติจริงครับ”
“เรื่องส่วนตัวของเธอ ผมสืบอะไรไม่ได้เลย เหมือนเธอไม่มีอดีตอย่างนั้น ไม่มีร่องรอยอะไรหลงเหลือไว้เลย ทุกครั้งที่ผมอยากจะสืบลึกไปกว่าเดิม ก็เหมือนมีแรงอะไรบางอย่างมาขัดขวาง”
“แต่สืบจากคนข้างกายเธอ ก็เป็นเรื่องง่ายมากครับ จนตอนนี้ผมแน่ใจเรื่องหนึ่งก็คือ คุณหนูโม่ความจำเสื่อมครับ”
คำว่าความจำเสื่อม ทำให้สีหน้าของลู่จินยวนเปลี่ยนไปทันที “ความจำเสื่อม? ช่วงเวลาไหน?”
อันเฉินเอ่ย “ห้าปีก่อนครับ……” ช่วงเวลานี้ เป็นเวลาที่เซนซิทีฟมาก
ลู่จิ้นยวนพยายามไม่ให้ตัวเองเป็นบ้า แต่เสียงก็เริ่มสั่นจนเผยให้เห็นความว้าวุ่นในใจเขา
“อันเฉิน นายว่า เป็นไปได้หรือเปล่า……”
อันเฉินเป็นผู้ช่วยของลู่จิ้นยวน แล้วยังเป็นมือขวาที่รู้ใจมาด้วย กับเรื่องของเจ้านายตัวเอง เขาก็ต้องรู้อยู่แล้ว
“เรื่องที่คุณหนูโม่ความจำเสื่อม ไม่ใช่ความลับอะไรของเธอ บอสจะเริ่มปฏิบัติการแล้วใช่ไหมครับ?”