พอรู้ผลลัพธ์ เธอก็แทบจะเป็นบ้าไปเลย อยู่หัวใจก็บีบรัด แล้วก็ดึงโม่เทียนยวี๋เข้ามาพัวพันด้วยอย่างไม่ลังเล ไม่ได้แค่เพียงเปิดเผย เป็นโม่เทียนยวี๋โกหกโม่โยวแล้วเอาแบบร่างมาให้เธอเองกับมือ แถมยังใส่สีตีไข่ร้อยเรียงเป็นเรื่องเป็นราวอีก
จุดประสงค์ของเธอนั้นง่ายดาย เรื่องๆนี้โม่เทียนยวี๋ก็สะบัดไม่หลุดตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว ตัวเองนั้นจบเห่แล้ว ตายก็ต้องตายด้วยกัน
แต่ว่าโม่เทียนยวี๋กับถังหว่านเอ๋อร์ไม่เหมือนกัน โม่เทียนยวี๋ยังมีตระกูลโม่หนุนหลังอยู่ บวกกับความสัมพันธ์กับโม่โยว ลู่จิ้นยวนไม่ได้วางแผนจะจบการเขาให้จบไปเลยในรวดเดียว
ดังนั้น ก็เลยจัดการแค่เบาๆไปก่อน ให้โม่เทียนยวี๋โดนขังคุกสักสิบสองวัน คนนึงสิบสองปี อีกคนนึงสิบสองวัน ตัวเลขสองตัวที่เหมือนกันแต่ก็แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ดูแล้วก็เหมือนการเยาะเย้ยรูปแบบหนึ่ง
แน่นอน กับเรื่องทั้งหมดพวกนี้ โม่โยวไม่ได้รู้อะไรด้วย
เธอเพียงแค่รู้ว่า ชื่อเสียงของตัวเองโดนกอบกู้กลับมาได้แล้ว ช่วงเวลาก่อนหน้านี้ สำหรับเธอแล้ว ก็เหมือนกับฝันร้ายที่ยาวนานฉากหนึ่ง ตอนนี้ เพียงแค่ตื่นมาจากฝันร้ายแล้ว
โม่โยวรู้ เรื่องในครั้งนี้ คนที่เธอควรจะขอบคุณมากที่สุดคือลู่จิ้นยวน ถ้าเกิดว่าไม่ใช่เขาล่ะก็ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองจะเป็นยังไงบ้าง
แต่ว่าตั้งแต่เย็นวันนั้น หลังจากที่ถูกลู่จิ้นยวนแต๊ะอั๋งไปในห้องหนังสือ โม่โยวก็เหมือนไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับเขายังไงดี
หลังจากเรื่องๆนี้ผ่านมาระยะหนึ่งแล้ว เธอก็ย้ายออกมาจากที่พักบ้านตระกูลลู่ กลับมาที่บ้านของตัวเอง เกี่ยวกับจุดนี้ ลู่จิ้นยวนพ่ายแพ้อย่างราบคาบ
บ้านตระกูลลู่
วันนี้คือวันที่สองที่โม่โยวย้ายไป เจ้าเพื่อนตัวน้อยลู่อันหรานนั้นหงุดหงิดเป็นอย่างมาก ในตชสายตาของเขา แม่ไม่ยอมอยู่ด้วย ล้วนเป็นเพราะว่าพ่อของตัวเองนั้นไม่ดีพอ
“ป่ะป๊า พ่อนี่มีหน้าแบบนี้เสียเปล่าแล้วนะ” หนุ่มน้อยบ่นออกมา
ลู่จิ้นยวน “……”
เขาอดไม่ได้ที่จะลูบใบหน้าของตัวเอง มีวินาทีหนึ่งที่สงสัยกับตัวเอง เขาเจอกับโม่โยวอีกครั้งเป็นเวลานานแค่ไหนแล้วนะ แต่กลับยังไม่มีความคืบหน้าที่เป็นชิ้นเป็นอันเลย
“หึ ในเวลาที่สำคัญยังต้องให้ผมออกโรง”
ลู่อันหรานพูดขึ้นอย่างอวดดี หยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมาแล้วจิ้มๆหน้าจออยู่แป๊บหนึ่ง หลังจากนั้นก็ส่งให้กับลู่จิ้นยวน “ดูสิครับ”
คนหลังรับโทรศัพท์ไป มองผ่านๆ คิ้วก็ขมวดขึ้น มุมปากก็ยกขึ้นในทันที
“สบายใจเถอะ ผมโทรศัพท์หาแม่แล้ว ตอนบ่ายเธอจะมารวมตัวกับพวกเราที่โรงเรียนอนุบาล แน่นอนแหละ ผมไม่ได้บอกแม่ว่าพ่อจะไปด้วย ถ้าเกิดว่าในตอนนั้นแม่เห็นพ่อแล้วก็หนีไปอีก อย่างนั้นก็ไม่เกี่ยวอะไรกับผมแล้ว”
สิ่งที่ปรากฎบนโทรศัพท์ของหนุ่มน้อย คือบ่ายวันนี้โรงเรียนอนุบาลจะจัดกิจกรรมครอบครัว ข้อเรียกร้องก็คือ ให้ดีที่สุดก็คือให้ผู้ปกครองทั้งสองคนสามารถมาร่วมงานได้ทั้งคู่
ตอนบ่าย ที่ประตูของโรงเรียนอนุบาล
เพราะว่ากิจกรรมครอบครัวนี้ที่โรงเรียนจัด ด้านนอกประตูโรงเรียนจึงคึกคักเป็นอย่างมาก ดูเหมือนว่าเด็กๆทุกคนจะมีผู้ใหญ่มาด้วย
แต่ว่าถ้าเกิดดูโดยละเอียดแล้วล่ะก็ จะพบว่า ภายในผู้ใหญ่พวกนี้ ส่วนมากแล้วไม่ใช่พ่อแม่ แต่เป็นพี่เลี้ยงหรือไม่ก็พ่อบ้านที่อยู่ในบ้าน มีเพียงแค่ส่วนน้อยที่จะพาพ่อแม่ของตัวเองมา
เด็กที่เรียนในโรงเรียนอนุบาลแห่งนี้ ครอบครัวถ้าไม่ใช่เศรษฐีก็เป็นคนรวย ผู้ปกครองพวกนั้นจะยอมเสียเวลาได้ยังไง มาเข้าร่วมกิจกรรมที่โรงเรียนจัดขึ้น
“หม่าม้า……”
เพื่อนตัวน้อยลู่อันหรานพอลงจากรถ ก็เห็นเงาคุ้นเคยยืนอยู่ใกล้ๆแปลงดอกไม้ วิ่งไปด้วยรอยยิ้มสดใสในทันใด
โม่โยวอุ้มลูกเอาไว้ในอ้อมกอดในทันที เจ้าหนุ่มน้อยใกล้จะหกขวบแล้ว บางทีอาจะเป็นเพราะเข้าไปฝึกร่างกายในค่ายทหารทุกปี ส่วนสูงก็เลยดูสูงกว่าเด็กรุ่นเดียวกันทั่วไปอยู่มาก
เธออุ้มอยู่พักใหญ่ก็รู้สึกว่าเสียพลังไปมาก ทนไม่ไหวจนต้องปล่อยหนุ่มน้อยลง พอเงยหน้า ก็มองเห็นลู่จิ้นยวน ที่เอามือซุกกระเป๋าไว้ข้างหนึ่งที่กำลังเดินเข้ามาหา จากนั้นก็ชะงักไปทันที
ในเวลาปกติส่วนใหญ่โม่โยวจะอยู่ด้านนอก ก็เลยสวมชุดทำงาน แต่เพราะว่าคิดได้ว่าวันนี้เป็นกิจกรรมครอบครัว เดาว่าอาจจะมีพวกเกม
เธอเลยใส่เสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ขาสั้นสีอ่อนแล้วก็รองเท้าผ้าใบ มัดผมหางม้าสูงๆ ดูแล้วเด็กลง เหมือนกับนักศึกษามหาวิทยาลัยอย่างไรอย่างนั้น
ลู่จิ้นยวนเองก็แต่งตัวสบายๆ ใส่รองเท้ากีฬาสีขาว กางเกงขาสั้นเจ็ดส่วนสีกากี แล้วก็เสื้อเชิ้ตสีขาวหนึ่งตัว ดูแล้วราวกับเด็กหนุ่มที่อายุยี่สิบต้นๆเท่านั้น
ที่สำคัญก็คือ การแต่งตัวของทั้งสองคน ดูแล้วเหมือนชุดคู่รัก
โม่โยวมองเขา อดไม่ได้ที่จะคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องหนังสือของเย็นวันนั้น ในความทรงจำห้าปีนี้ของเธอ นั่นเป็นครั้งแรกที่ใกล้ชิดกับผู้ชายมากขนาดนั้น ใบหน้าก็เลยแดงขึ้นมาอีกครั้ง
“อันหราน เขา เขามาได้ยังไง?” เธอพูดขึ้นอย่างติดๆขัดๆ
“คุณครูสั่งครับ พ่อแม่มาทั้งคู่จะดีที่สุด หม่าม้า หม่าม้าสัญญากับผมแล้ว ห้ามผิดสัญญานะครับ” ลู่อันหรานกอดต้นขาของเธอเอาไว้แน่น
โม่โยว “……”
ถึงแม้ว่าการมาของลู่จิ้นยวนจะทำให้เธอนั้นประหลาดใจแล้วก็อาย แต่ว่าเรื่องที่รับปากลูกไปแล้ว เธอก็ไม่มีทางผิดสัญญาเพราะเรื่องนี้ ลูบศีรษะของหนุ่มน้อย
ลู่จิ้นยวนเดินมามองเธอ ในเวลานั้นก็ไม่ลืมที่จะเอาเปรียบเธอ ไม่ว่าจะเป็นบนร่างกายหรือว่าบนปาก “ดูสิว่าใจของเรานั้นตรงกันแค่ไหน เสื้อผ้ายังใส่มาเหมือนกัน เป็นคู่ที่ชะตาฟ้าลิขิตมาแน่”
“ใครเป็นคู่ที่ชะตาฟ้าลิขิตมากับคุณกันคะ” โม่โยวโมโหเล็กน้อย ถลึงตาใส่เขาไปครั้งหนึ่ง จูงมือของลูกชายแล้วเดินเข้าไปในโรงเรียน ลู่จิ้นยวนเดินตามอยู่ทางด้านหลังอย่างสบายใจ
สนามหน้าตึกเรียนที่เงียบเหงาเตรียมที่นั่งเอาไว้เป็นแถวๆ ครอบครัวของลู่จิ้นยวนทั้งสามคนเลือกที่ๆหนึ่งแล้วก็นั่งลง
เพื่อนตัวน้อยลู่อันหรานไม่ยินดีที่จะนั่งลง ต่อให้ยืนอยู่ก็ต้องพิงอยู่ระหว่างขาของโม่โยว
ในตอนนี้ น้ำเสียงหวานนุ่มก็ดังลอยมา “อันหราน……”
คนสามคนมองไป เด็กผู้หญิงตัวน้อยที่สวมกระโปรงสีเหลืองอ่อน มีใบหน้ากลมน่ารักเดินเข้ามาหา ดวงตาที่กลมโตและสีดำเหมือนกับลูกองุ่นมองลู่อันหราน หนุ่มน้อยยิ่งกว่าดีใจเสียอีก
โม่โยวมองเด็กสาวตัวน้อยคนนี้ อยู่ๆก็นึกถึงที่หน้าประตูโรงเรียนอนุบาลครั้งก่อน ได้เจอกับ เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆสวมกระโปรงบานๆน่ารักๆที่บอกว่าจะแต่งงานกับลูกชายของตัวเอง
นี่……คงไม่ใช่คนที่ลูกชายของตัวเองก็ชอบอยู่เหมือนกันหรอกใช่ไหม
ลู่อันหรานเหลือบมองเธอครั้งหนึ่ง ไม่ได้สนใจเธอ
เด็กน้อยหน้ากลมก็ไม่ได้สนใจ หยิบกล่องใสออกมาจากกระเป๋าเป้ ที่อยู่ตรงด้านหลังออกมา “อันหราน นี่เป็นคุ้กกี้ที่เราทำ อร่อยมากเลยนะ เธออยากกินหรือเปล่า”
“ไม่เอา ออกไปนะ” แต่การกระทำของหนุ่มน้อยไม่สามารถพูดได้เลยว่าไม่น่ารังเกียจ
ลู่จิ้นยวนกลับไม่ได้สนใจ แต่หัวคิ้วของโม่โยวกลับขมวดแน่น ตีก้นของลูกชาย “ห้ามไร้มารยาทนะครับ”
หนุ่มน้อยเบะปาก “แต่ว่าผมไม่อยากกิน”
“อย่างนั้นก็ต้องพูดดีๆ เพื่อนคนอื่นชวนเรากินของ ต่อให้จะกินหรือไม่กิน ก็ควรจะพูดขอบคุณก่อน เข้าใจไหมครับ?”
ลู่อันหรานทำหน้าตึง มองเด็กหญิงหน้ากลม พูดขอบคุณออกมาแบบแข็งๆ “ขอบคุณ ฉันไม่อยากกิน”
โม่โยว “……”
เด็กหญิงตัวน้อยผิดหวังอยู่เล็กน้อย แล้วก็เก็บคุ้กกี้กลับไป “อย่างนั้นก็ได้”
โม่โยวเลยทำได้เพียงยิ้มแล้วพูดขึ้นเสียงอ่อน “หนูจ๊ะ อันหรานไม่ชอบกินของหวาน หนูเก็บไว้กินเองเถอะนะ”
เด็กน้อยหน้ากลมกลับมายิ้มอีกครั้ง มองโม่โยวแล้วก็พูดขึ้นมา “คุณน้า คุณน้าสวยจังเลยค่ะ”