เมื่อเห็นสีหน้าของอันเฉิน เวินหนิงรู้ดีว่า บางทีเขาอาจจะไม่สามารถให้คำตอบได้ในเร็ว ๆ นี้
แต่เมื่อคิดไปคิดมา ก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ แต่เธอไม่อยากให้เพื่อนรักของตัวเองได้รับผลกระทบในตอนนี้ ดังนั้นเธอถึงได้ถามเรื่องนี้แทนเพื่อนรักของเธอ
” ฉันไม่ได้บังคับอะไรคุณ ฉันแค่หวังว่าคุณจะคิดทบทวนเรื่องที่ฉันพูดเมื่อกี้ให้ดี ตอนนี้สถานการณ์ของเย่ซือเยวี่ยเป็นแบบนี้ ถ้าคุณยังล่าช้าไม่ให้เธอพอเจอกับผู้หลักผู้ใหญ่ของคุณอยู่อย่างงี้ จะทำให้เธอเสียใจและกังวลมากกว่าเดิม ”
” อืม คุณพูดมีเหตุผล ผมจะคิดพิจารณาเรื่องนี้ให้เป็นอย่างดี ”
อันเฉินพูดอย่างจริงจัง เวินหนิงพยักหน้า “ ฉันรู้ว่าคุณเองก็ต้องใช้เวลาพิจารณา แต่ฉันหวังว่าคุณจะสามารถตัดสินใจได้โดยเร็วที่สุด ไม่ว่าคุณจะสามารถยอมรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตหรือ … ตัดสินใจปล่อยวาง แต่อย่าล่าช้าจนเกินไป ”
เวินหนิงพูดอย่างจริงจัง เธอหวังว่าเพื่อนรักของเธอจะอยู่ได้อย่างมีความสุข
น้อยมากที่จะได้เห็นสีหน้าสับสนของอันเฉิน ตอนนี้เขาต้องการอยู่คนเดียวเงียบ ๆ คิดทบทวนเรื่องนี้ดีๆ
” คุณเข้าไปดูเธอหน่อยดีกว่า จะได้พูดคุยกับเธอ ผม ผมกลับไปแป๊ปหนึ่ง”
หลังจากพูดแล้ว อันเฉินก็จากไปทันที เวินหนิงมองไปที่พื้นหลังของเขา แล้วถอนหายใจเธอหวังว่าอย่างยิ่งว่าอันเฉินจะกลับมา แล้วบอกว่าเขาไม่สนใจ เขายินดีที่จะเผชิญหน้ากับเย่ซือเยวี่ยไปด้วยกันไม่ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น
หากเขาทำเช่นนี้ เวินหนิงจะได้วางใจที่เย่ซือเยวี่ยมีเขาดูแล
หลังจากที่เวินหนิงพูดจบ เธอจึงเดินเข้าไปในห้องผู้ป่วย เย่ซือเยวี่ยนั่งอยู่บนเตียง รู้สึกว่ามีคนเข้ามา จึงมองไป แม้ว่าตอนนี้เธอจะมองอะไรไม่เห็นก็ตาม
” ซือเยวี่ย ฉันมาเยี่ยมเธอ ต้องขอโทษที เมื่อวันฉันพึ่งจะบินกลับมาจะเมืองจิงเฉิง เลยไม่มีเวลามาอยู่เป็นเพื่อนเธอ ”
เวินหนิงพูดอย่างรู้สึกผิด เธอมีใจที่อยากจะกลับมาเฝ้าดูแลเย่ซือเยวี่ย แต่สถานการณ์บังคับ ทำให้เธอพลาดโอกาสไป
” ไม่เป็นไร ฉันอยู่ที่นี่ มีแม่กับพ่ออยู่ ไม่จำเป็นต้องมีคนมากมาย ”
เย่ซือเยวี่ยส่ายหัว ” คำพูดที่เธอพูดเมื่อกี้ฉันได้ยินหมดแล้ว ”
“ เธอจะรู้สึกว่าฉันยุ่งเรื่องส่วนตัวของเธอมากเกินไปหรือเปล่า ”
เวินหนิงถามแนวล้อเล่น เธอรู้สึกว่าเธอพูดเรื่องพวกนั้น จะเป็นการไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของเย่ซือเยวี่ยมากไป แต่ก็เพราะเป็นเย่ซือเยวี่ย เธอถึงได้พูดแบบนั้น
” ไม่หรอก จริงๆแล้วฉันก็กำลังคิดที่จะพูดเรื่องพวกนี้กับเขา แค่ว่า ฉันไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากพูดอย่างไงดี ”
สีหน้าของเย่ซือเยวี่ยดูเศร้าลงไปเล็กน้อย
จริงๆแล้วเธอหวังว่าอันเฉินจะพูดมาตรงๆ ไม่ว่าคนที่บ้านจะคิดอย่างไร เขาก็จะอยู่กับเธอ
แต่เขากลับไม่ได้พูดเช่นนั้น
ช่วงนี้ที่อยู่ด้วยกันมา เย่ซือเยวี่ยเข้าใจและรับรู้เรื่องของอันเฉินมาไม่น้อย เธอพึ่งจะรู้ว่า เขาสูญเสียคุณพ่อไปตั้งแต่ตอนเด็กๆ คุณแม่ของเขาเป็นคนเลี้ยงเดี่ยวมาตลอด เขาไม่ได้ทำให้คุณแม่เขาผิดหวัง คนธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่มีชาตตระกูลอะไร สามารถทำถึงตำแหน่งผู้ช่วยของลู่จิ้นยวน อนาคตข้างหน้าไปได้ดีอย่างแน่นอน
บางที ต่อให้เธอจะเป็นคนปกติคนเดิมที่มีสุขภาพแข็งแรง คุณแม่ของอันเฉินก็ไม่น่าจะยอมรับเธอ นับประสาอะไรกับเธอในตอนนี้
ดังนั้น ที่อันเฉินลังเล มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แต่ทำไมถึงรู้สึกเสียใจและเจ็บปวดหัวใจมาก…
เย่ซือเยวี่ยอดหัวเราะเยาะตัวเองไม่ได้ เธอในแต่ก่อน เป็นไปไม่ได้ที่จะมานั่งเสียใจกับผู้ชายคนหนึ่ง ผู้ชายคนไหนกล้าทำให้เธอขุ่นเคือง เธอเตะกลับทันที
” ซือเยวี่ย เมื่อพวกเธอคิดที่จะอยู่ด้วยกันยาวๆ ก็ต้องเผชิญหน้ากับสิ่งเหล่านี้อย่างแน่นอน ดังนั้น ฉันยอมให้เขาตัดสินใจก่อน เพื่อจะได้ไม่มานั่งเสียใจในภายหลัง อย่างกับฉันในตอนนี้ … ”
เวินหนิงพูดไปพูดมา ก็นึกถึงเรื่องของตัวเองไปซะงั้น
เธอกับลู่จิ้นยวนมีความทรงจำมากมาย ยังมีลูก ตอนนี้ต่อให้จะตัดขาดจากกัน ก็ไม่อาจตัดขาดอย่างหมดจด
” เธอจะเลิกกับลู่จิ้นยวนจริงๆแล้วเหรอ ”
เย่ซือเยวี่ยยื่นมือออกไปในทิศทางของเวินหนิง เวินหนิงรีบจับมือของเธอไว้ รู้สึกว่าหลังมือของเธอเย็นมาก
” น่าจะใช่ ยังไงพวกเราก็ไม่เหมาะสมกัน ”
เวินหนิงสงบน้ำเสียงของตัวเองลง ” ไม่พูดเรื่องพวกนี้แล้ว ซือเยวี่ย เธอมีอะไรที่อยากได้หรืออยากกินไหม วันนี้ตอนฉันไปรับอันหรานเลิกเรียนจะไปซื้อของพอดี เธออยากได้อะไรบอกฉัน ”
เย่ซือเยวี่ยส่ายหัว เธอในตอนนี้ไม่มีความคิดใด ๆ ไหนๆก็เป็นแบบนั้นไปแล้ว
เมื่อเห็นความหดหู่ของเย่ซือเยวี่ย เวินหนิงก็รีบปลอบใจเธอทันที ” เธออย่ารีบร้อนจนเกินไป การผ่าตัดสำเร็จเรียบร้อยดี ฉันคิดว่าคงต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูสายตา อย่างกับฉัน ความทรงจำที่หายไปไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น อยู่ๆก็กลับมา เธอจะต้องหายดีอย่างแน่นอน ”
เมื่อได้ยินเวินหนิงพยายามปลอบตัวเอง เย่ซือเยวี่ยพยักหน้า “ ฉันไม่เป็นไร เธอสบายใจได้”
เวินหนิงคุยกับเย่ซือเยวี่ยสักพัก ทั้งสองคุยกันจนเพลิน จนเกือบจะถึงเวลาไปรับลู่อันหรานที่โรงเรียน
“ เธอไปรับอันหรานกลับบ้านก่อนเถอะ ฉันอยู่ที่นี่มีคนดูแล ไม่ต้องห่วง”
เวินหนิงพยักหน้า ” ก็ได้ ฉันกลับไปก่อน ถ้าเธอมีเรื่องอะไร อย่าลืมโทรมาหาฉัน ฉันจะรีบมาโดยเร็วที่สุด”
หลังจากพูดจบ เวินหนิงถึงได้ออกจากห้องผู้ป่วย
ภายในห้องเงียบสงบอีกครั้ง เย่ซือเยวี่ยถอนหายใจ
อันเฉิน ยังไม่กลับมา เขาคิดที่จะปล่อยวางแล้วหรือ
…
ลู่อันหรานเลิกเรียนออกมาโรงเรียน ในมือถือเอกสารเพียบ เพราะว่าเขาไม่ได้มาเรียนเป็นเวลานาน ดังนั้น คุณครูจึงให้แบบฝึกหัดเขามาเป็นจำนวนมาก ให้เขากลับไปเรียนอย่างหนัก เพื่อทดแทนการเรียนที่ขาดหายไป .
เมื่อลู่อันกรานเห็นแล้วรู้สึกหัวใหญ่ขึ้นมาทันที การบ้านที่เยอะขนาดนี้ เขากลัวว่าทำถึงภาคเรียนหน้าก็ไม่น่าจะหมด ถ้างั้นก็หาสถานที่ที่ไม่มีคนเห็น โยนสมุดการบ้านทิ้งไป กลับไปก็บอกว่าหายไปแล้ว อย่างงี้ เขาก็ไม่ต้องทำการบ้านแล้ว
ลู่อันหรานยิ่งคิดยิ่งรู้สึกถูก ในช่วงที่ยังไม่มีคนมารับเขา เขาลับๆล่อๆวิ่งไปตรงถังขยะที่อยู่ห่างออกไปไกลพอสมควร กำลังจะทิ้งของที่อยู่ในมือ ก็มีเสียงที่สดใสอ่อนหวานดังขึ้น ” นั่น เธอจะทิ้งสิ่งของเหล่านี้ไปเหรอ”
เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่แต่งตัวธรรมดาๆคนหนึ่งจ้องมองไปที่ลู่อันหรานอย่างอายๆ ตาจ้องมองหนังสือที่อยู่ในมือของเขา ด้วยสายตาอิจฉา
“ไม่ ไม่มีนี่”
ลู่อันหรานไม่รู้จักเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนี้ แต่เขารู้สึกว่าการโยงการบ้านทิ้งไม่ใช่เรื่องน่ายินดีอะไร จึงแกล้งทำเป็นว่าไม่มีอะไร
” โอ้ ฉันคิดว่าเธอไม่ต้องการมันแล้ว ถ้าเธอไม่ต้องการ เธอสามารถให้ฉันได้ไหม”
เด็กหญิงลังเลอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็พูดออกมาอย่างกับเสียงกระซิบ
ลู่อันหรานครุ่นคิดสักพัก การบ้านนี้เขาเก็บเอาไว้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ทิ้งไปก็ทิ้งไป ” ให้เธอก็ได้ แต่เธอห้ามบอกว่าได้มาจากฉันนะ ถ้าคุณครูรู้เรื่อง ฉันโดนแน่ๆ ”
“ตกลง ฉันเข้าใจแล้ว ฉันจะบอกว่าฉันเก็บได้ก็แล้วกัน”
เมื่อเด็กผู้หญิงตัวน้อยได้ยินลู่อันหรานพูดเช่นนี้ พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง จากนั้นก็หยิบหนังสือในมือขึ้นมาดู หลังจากฉีกตรงที่มีชื่อออกแล้ว ถึงได้เก็บมันไว้ในกระเป๋านักเรียนด้านหลังเธอ
ลู่อันหรานถอนหายใจอย่างโล่งอก เมื่อเห็นเธอให้ความร่วมมือ
” อืม เธอชื่อลู่อันหรานไม่ใช่ ”
ลู่อันหรานพยักหน้า
” ขอบคุณเธอมาก ฉันชื่อไป๋ซินหราน”