ถึงแม้ว่าท่าทีของท่านเจ้าสำนักจะเย็นชา แต่ฉินเฉิงก็รู้สึกชินกับเธอแล้ว
ขอแต่เธอรับปากกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งไปแล้วเธอก็จะไม่กลับคำ
ฉินเฉิงเองก็ถอนหายใจออกมา และคิดในใจว่า “การเดินทางครั้งนี้คุ้มค่าจริงๆ”
หลังจากนั้นฉินเฉิงยืนอยู่บนดาดฟ้าของเรือสำราญลำนี้ จ้องมองไปทางเหนือ และพูดอย่างเย็นชาว่า “รอฉันก่อนเถอะ ตระกูลซู”
…..
เรือเบี่ยงเบนไปจากเส้นทางเดิมมานานมากแล้ว และการเดินทางกลับดูเหมือนยากสักหน่อย
“อีกกี่วันถึงจะถึง? ฉันยังมีเรื่องอื่นที่ต้องทำนะ!” ในห้องควบคุมคุณชายหวังบ่นออกมา
ผู้ควบคุมเรือยิ้มและพูดว่า “คุณชายหวัง เพราะเราออกจากเส้นทางมามาก ดังนั้นต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 สัปดาห์ หรืออาจจะมากกว่านั้น”
“แม่งเอ้ย เสียเวลาจริงๆ!” คุณชายหวังอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา “กลับไปถึงเมื่อไหร่ฉันจะไปบอกกับเจ้านายของแก ว่าให้ไล่แกออกไป”
ผู้คุมเรือไม่ได้พูดอะไร แค่ยิ้มออกมา
เวลาหนึ่งสัปดาห์ถือได้ว่าเป็นโอกาสที่สำคัญของฉินเฉิง
“ในเจ็ดวันนี้มันเพียงพอที่จะใช้ยาเม็ดทองคำในการฝึกฝนพลังปราณของเขา” ฉินเฉิงคิดกับตัวเองในขณะที่เขากำลังลูบยาเม็ดทองคำที่ได้มาจากสัตว์ประหลาด
ในตอนกลางคืน บนเรือก็มีการจัดงานเลี้ยงขึ้น
ตอนแรกไม่มีใครสนใจฉินเฉิง แต่ในตอนนี้พวกเขาปฏิบัติกับฉินเฉิงเหมือนกับแขกคนสำคัญ แต่ทางด้านของหยวนเหมิงก็ยังคงไม่สนใจเหมือนเดิม
“เจ้าฉินเฉิง!” หยวนเหมิงมองไปหาฉินเฉิงที่กำลังมีความสุข เขาก็รู้สึกขุ่นเคืองในใจ
และเมื่อมองไปที่ซูวานที่กำลังควงแขนฉินเฉิงอยู่ หยวนเหมิงก็ยิ่งอิจฉาและริษยามากขึ้นไปอีก!
“รอฉันได้ยาถอนพิษมาก่อนเถอะ ฉันจะจัดการแกทันทีเลย คอยดู!” หยวนเหมิงแอบสบถในใจ
ภายในงานเลี้ยงเห็นได้ชัดว่าฉินเฉิงได้พูดคุยกับคนในงานอย่างเหน็ดเหนื่อย วันนี้ฉินเฉิงดื่มไวน์ไปอย่างน้อยสองถัง
ฉินเฉิงปาดเหงื่อที่ไหลออกมาจากหน้าผากของเขา และอดไม่ได้ที่จะบ่นออกมา “การสังสรรค์กับผู้คนนี้มันเหนื่อยจริงๆ”
ซูวานหยิบผ้าออกมาจากกระเป๋าของเธอและเช็ดเหงื่อให้กับฉินเฉิง เธอแอบยิ้มและพูดออกมาว่า “นายในสภาพแบบนี้ มันน่าดึงดูดจริงๆ!”
“จริงเหรอ?” ฉินเฉิงยืดอกขึ้นมาและพูดว่า “ดูสิสามีของเธอเหมือนคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกหรือยัง?”
“วุ๊!” ซูวานอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
วันรุ่งขึ้น ฉินเฉิงเริ่มเข้าสู่การฝึกวิชาของเขา
เขาเลือกห้องที่ดีที่สุดและขังตัวเองไว้ในนั้น
นี่คือท้องทะเลยที่กว้างใหญ่ เหมาะกับการฝึกเป็นอย่างมาก
ฉินเฉิงหยิบยาเม็ดทองคำออกมาจากกระเป๋าของเขา ถูมันในมือครู่หนึ่งแล้วพูดออกมาว่า “ประโยชน์ของสิ่งนี้น่าจะเทียบได้กับยาอายุวัฒนะที่มียายุมากกว่า 5000 ปี”
ถ้าหากชายชุดดำสามารถหาสัตว์ประหลาดแบบนี้ได้มาอีกสามตัวหละก็ ฉินเฉิงมั่นใจว่าเขาจะต้องก้าวข้ามไปขั้นจอมยุทธอย่างแน่นอน
“จะมัวเสียเวลาอยู่ไม่ได้แล้ว” ฉินเฉิงหยิบยสเม็ดทองคำเข้าปากทันที จากนั้นก็หลับตาลง
พลังปราณจากจุดตันเถียนของเขาค่อยๆกระจายออกมาไปทั่วร่างของเขา
……
จิงตู ตระกูลซู
ผู้พิทักษ์อาวุโสกำลังนั่งอยู่กลางห้องประชุมที่ใบหน้าที่เคร่งขรึม
สิ่งที่กำลังฉายอยู่ตรงหน้าเขาก็คือ ภาพการต่อสู้ของตงเทียนหนานกับฉินเฉิง
ด้านหนังของพวกเขามีหนังสือเต็มไปหมด
เห็นได้ชัดเจนเลยว่าหนักสือมีอายุหลายปีมาก หน้าปกของมันเหลือง แถมบางเล่มก็ขาด
นี่เป็นวันที่ 40 ที่ผู้พิทักษ์อาวุโสนั่งอยู่ในห้องประชุม และ 40 วันที่ผ่านมาเขาก็เอาแต่นั่งศึกษาเรื่องของฉินเฉิง
“จริงเหรือเนี่ย!”
และในที่สุดวันที่ 40 นี้ ผู้พิทักษ์อาวุโสก็พบข้อมูลหนังสือของร่างจินซวน
หนังสือเล่มนี้หายไปหลายหน้า แต่ก็ยังพอมีข้อมูลเกี่ยวกับร่างจินซวน
ตามบันทึกในหนังสือเล่มนี้ ร่างจินซวนเป็นร่างกายที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก ไม่เพียงเท่านั้นตอนที่ยังมีชีวิตเขาถือได้ว่าเป็นอัจริยะแห่งยุค ในรุ่นเดียวกับเขาไม่มีใครสามารถสู้กับเขาได้
เมื่อผู้พิทักษ์อาวุโสยิ่งดูหัวใจของเขาก็ยิ่งเยือกเย็น จู่ๆเขาก็ยืนขึ้นและวิ่งออกไป
ที่ห้องทำงานของซูฉีไห่
ที่โต๊ะน้ำชา ซูฉีไห่กำลังนั่งอยู่ด้วยรอยยิ้มกับชายวัยกลางคนที่อยู่ด้านหน้า
ชายวัยกลางคนนี้ไม่ใช่ใคร เขาคือราชครูของประเทศ โจวติ่ง
“พี่โจว ลูกของผมคลั่งไคล้ในตัวคุณมาก” ซูฉีไห่รินน้ำชาให้โจวติ่ง
โจวติ่งพูดออกมาว่า “ฉีไห่ คุณวางใจเถอะ ซูหยู่ก็เหมือนกับลูกของฉัน ฉันก็ถูกใจเด็กคนนี้เหมือนกัน”
“งั้นก็ต้องขอขอบคุณคุณโจวมากจริงๆ” ซูฉีไห่ยิ้มออกมา “คุณวางใจ พรุ่งนี้ผมจะไปขอร้องให้ผู้อาวุโสให้คุณได้ถือหุ้นของตระกูลซู”
โจวติ่งส่ายหน้า “ชื่อเสียงของฉันไม่เหมาะกับทางด้านธุรกิจ เมื่อถึงเวลาฉันจะส่งคนไปหาคุณเอง”
“ครับ เอาแบบที่พี่โจวพูดแล้วกันครับ!” ซูฉีไห่พยักหน้าและพูดออกมา
และในตอนนั้นจู่ๆประตูก็ถูกเปิดออก
จากนั้นก็เห็นใบหน้าที่ร้อนรนของผู้พิทักษ์อาวุโสกำลังเดินเข้ามา
สีหน้าของซูฉีไห่เยือกเย็นทันที จากนั้นเขาก็ปล่อยหมัดออกไปที่หน้าของผู้พิทักษ์อาวุโส
หมัดนี้โดนเข้ากับผู้พิทักษ์อาวุโสเต็มๆจนกระเด็นไปติดกับกำแพงทำให้เกิดรูขนาดใหญ่!
“ทำไมไม้เคาะประตู?” ซูฉีไห่ถามออกไปด้วยสีหน้าที่เยือกเย็น “ขอโทษพี่โจวเดี๋ยวนี้”
ผู้พิทักษ์อาวุโสลุกขึ้นมาจากพื้น โน้มตัวลงและพูดว่า “ขอโทษครับคุณโจว ผมไม่มีมารยาทเอง”
โจวติ่งโบกมือเหมือนกับไม่ได้ใส่ใจอะไร
หลังจากนั้นผู้พิทักษ์อาวุโสก็รีบเข้ามาหาซูฉีไห่และพูดออกมาว่า “คุณซู ผมมีเรื่องด่วนจะมาบอกคุณ!”
ในขณะที่พูดเขาก็พลิกหนังสือให้กับซูฉีไห่ดู “ร่างกายของฉินเฉิงมีคุณสมบัติเหมือนกับร่างจินซวน และหลายพันปีที่ผ่านมานี้ ร่างกายที่มีคุณสมบัติแบบร่างจินซวนก็ไม่เคยพ่ายแพ้แม้แต่ครั้งเดียว!”
ใบหน้าของซูฉีไห่เย็นชาราวกับว่าไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น
ผู้พิทักษ์อาวุโสรีบอธิบายออกมาว่า “นี่มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆนะครับ! กล่าวอีกอย่างก็คือ ถ้าหากฉินเฉิงสามารถก้าวมีถึงระดับสูงสุดของจอมยุทธ ถึงตอนนั้นเขาอาจจะเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในระดับของจอมยุทธเลยก็ว่าได้!”
“พูดจาไร้สาระ!” ในตอนนั้นโจวติ่งอดไม่ได้ที่จะพูดออกมา “ไม่มีใครบนโลกนี้ที่ก้าวไปสู้ขั้นสูงสุดของจอมยุทธได้ แม้แต่เย่อชิงยุนก็ยังไปไม่ถึง!”
หน้าผากของซูวานมีเหงื่อไหลออกมามากมาย เขายื่นหนั่งสือให้โจวติ่งและพูดออกมาว่า “คุณโจว ฉินเฉิงคนนี้เป็นคนพิเศษ! ผมแนะนำให้รีบส่งจอมยุทธไปจัดการกับเขาทันที ไม่อย่างนั้น…..”
“เขาจะทำไม?” โจวติ่งมองมาที่หน้าของผู้พิทักษ์อาวุโสด้วยความเยือกเย็น
สีหน้าของผู้พิทักษ์อาวุโสเปลี่ยนไปทันที เขาไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก
“ไม่อย่างนั้นเขาจะเอาชนะซูหยู่ได้ ใช่ไหม?” โจวติ่งพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแห่งความโกรธ
ผู้พิทักษ์อาวุโสยังคงไม่กล้าพูดอะไร เนื่องจากเขารู้ว่าประโยคนี้เป็นการดูถูกโจวติ่ง
“งมงาย!” โจวติ่งหยิบหนังสือเล่มนั้นออกมาฉีกเป็นชิ้นๆและโยนใส่หน้าของผู้พิทักษ์อาวุโส!
เขาพูดออกมาด้วยความโกรธว่า “ฉีไห่ คนคนนี้เป็นคนหลอกลวง ฉันแนะนำให้ไล่เขาออกไปจากกลุ่มผู้พิทักษ์ของตระกูลซู”
ซูฉีไห่ผงะ ผู้พิทักษ์อาวุโสภักดีต่อตระกูลซูมาก ถ้าหากจะไล่เขาออก ซูฉีไห่ก็ยังเตรียมใตที่จะรับมันไม่ไหว
แต่โจวติ่งก็พูดออกมาถึงขนาดนี้แล้ว ถ้าไม่ทำก็ถือว่าเป็นการหักหน้า
ดังนั้นซูฉีไห่จึงมองไปที่หน้าของผู้พิทักษ์อาวุโสและพูดออกมาว่า “ได้ยินแล้วใช่ไหม? ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป นายไม่ใช่ผู้พิทักษ์อาวุโสของตระกูลซูแล้ว!”