รายชื่อในมือของหยูเหม่ยเหริน ก็ถูกหยิบออกมา
ในรายชื่อปึกหนานี้ มีแค่ชื่อจริงๆ
ฉินเฉิงเหลือบมองและถอนหายใจอย่างอดไม่ได้
ไม่น่าแปลกใจที่ตระกูลซูอยู่ที่จิงตูได้ รวมไปถึงครอบครองเขตทางเหนือทั้งหมดมานานหลายปี และไม่เคยพึ่งพาศิลปะการต่อสู้เลย เป็นเพราะความแข็งแกร่งของพวกเขานั้นมากเหลือล้น!
แค่เฉพาะตระกูลศิลปะการต่อสู้ที่ควบคุมโดยซูฉีไห่ ก็มีมากกว่าสิบตระกูลแล้ว
แล้วยังมีบริษัทและตระกูลอื่นๆอีกนับไม่ถ้วน! บริษัทเกือบทั้งหมดที่สามารถออกมาทำตลาดนั้นจะถูกควบคุมโดยตระกูลซูหรือไม่ก็มีหุ้นอยู่!
“ดูเหมือนว่าฉันจะประเมินตระกูลซูต่ำเกินไป” ฉินเฉิงกระซิบ
“ใช่” หยูเหม่ยเหรินพูดพร้อมกับหัวเราะ “ถ้าตระกูลซูต้องการจะจัดการกับนายจริงๆ แค่พูดคำเดียวก็เรียบร้อยแล้ว”
“ก็ถูก” ฉินเฉิงไม่ปฏิเสธ ตระกูลซูเป็นตระกูลใหญ่ แต่ฉินเฉิงมีเพียงตัวคนเดียว เทียบกันไม่ได้เลย
แต่ก็ถือเป็นข้อดีของฉินเฉิง ทำให้ตระกูลซูไม่มองเขาอยู่ในสายตา
มีข้อดีก็มีข้อเสีย
สิ่งที่ตระกูลซูแข็งแกร่งที่สุดไม่ใช่พลังในการต่อสู้ แต่เป็นความสามารถในการเอาตัวรอด
ตัวอย่างเช่น สามสาขาที่มีค่าที่สุดของตระกูลซู แยกได้เป็นธุรกิจ เครือข่าย และกองกำลังรักษาความปลอดภัย
ตราบใดที่ทั้งสามส่วนนี้ไม่เปลี่ยนแปลง ตระกูลซูก็จะสามารถรักษาสถานะปัจจุบันได้เสมอ
และด้วยเหตุนี้ทำให้ตระกูลซูไม่จำเป็นต้องลงมือกับฉินเฉิง
เพราะในความคิดของพวกเขา ฉินเฉิงไม่มีอะไรเลย เพียงแค่ใช้พลังศิลปะการต่อสู้ได้แล้วยังไง? หากใช้อำนาจมาจับกุม ฉินเฉิงก็จบแล้ว เป็นเรื่องที่น่ากังวลจริงๆ
“เริ่มจากสาขาที่8 ซูฉีไห่แล้วกัน” หยูเหม่ยเหรินยักไหล่ “ตอนนี้มีเพียงซูฉีไห่เท่านั้นที่จริงจังกับนาย”
ฉินเฉิงก็หัวเราะ โชคดีที่ศัตรูของเขาคือตระกูลซู หากเป็นตระกูลชูหรือตระกูลฮั่นที่ใช้ศิลปะการต่อสู้ พวกเขาคงจะมาจัดการฉินเฉิงตั้งนานแล้ว
“ขอบคุณ” ฉินเฉิงเก็บใบรายชื่อและยืนขึ้นพูด
“นายบอกฉันได้ไหม จุดประสงค์ในการขอรายชื่อนี้คืออะไร”หยูเหม่ยเหรินถาม
ฉินเฉิงตอบ “ฉันจะยังไม่บอกในตอนนี้”
ในช่วงนี้ ฉินเฉิงไม่ได้ไปทำงาน
นอกจากการเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆแล้ว เขาจะใช้เวลาที่เหลือในการตรวจสอบคนคนนึง
เขาคือปู่ของซูวาน ซูเป่ย
ข้อพิพาทเรื่องสิทธิของตระกูลซูนั้นเต็มไปด้วยปัญหา
และซูเป่ยก็เป็นหนึ่งในคนที่ต่อสู้แย่งชิงอำนาจนี้ และอีกคนคือคนของตระกูลซูที่มีอำนาจในปัจจุบันคือท่านใหญ่ตระกูลซู
ซูเป่ยเป็นอัจฉริยะด้านธุรกิจ เขาได้ใจคนมากๆ ย้อนกลับไปตอนนั้นก็เคยเป็นศัตรูตัวฉกาจของท่านใหญ่ซู แม้กระทั่งตอนนี้ยังมีหลายตระกูลที่ยังภักดีต่อซูเป่ย และตั้งตารอการกลับมาของเขา
แต่ซูเป่ยนั้นเลิกล้มแผนนี้ไปนานแล้ว เขาต้องการอยู่อย่างสันโดษในปีนัง จนกระทั่งหลังการปรากฏตัวของฉินเฉิง ซูเป่ยก็คิดที่จะกลับไปจิงตูอีกครั้ง
ในการแย่งชิงอำนาจในปีนั้น ซูเป่ยแพ้เพียงกระบวนท่าเดียว ทำให้บุคคลที่น่าเชื่อถือที่สุดของเขาหันไปหาอีกฝั่ง จึงทำให้ซูเป่ยแพ้เกมทั้งหมดและถูกขับออกจากจิงตู
ต่อมาลูกชายของเขา พ่อของซูวานก็เสียชีวิตในสนามรบ
สำหรับซูเป่ยแล้ว สิ่งนี้มันเลวร้ายกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย อำนาจก็ลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้เขาออกห่างจากจิงตูตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
แต่ซูเป่ยที่ไม่มีอะไรเลย กลับสามารถควบคุมทรัพย์สินนับหมื่นล้านได้ในช่วงเวลาสั้นๆ และกลายเป็นตระกูลที่ใหญ่ที่สุดในปินโจว
เท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะแสดงให้เห็นว่าซูเป่ยเก่งในธุรกิจขนาดไหน
บางทีนี่อาจเป็นพรสวรรค์ของบรรพบุรุษตระกูลซู และคนอื่นภายนอกไม่สามารถมีมันได้
หากซูเป่ยต้องการจะพัฒนาต่อ เขาจะคงออกจากปินโจวไปนานแล้ว
เหตุผลที่เขาไม่ทำแบบนั้นก็เพราะซูเป่ยรู้ถึงความอดทนของท่านใหญ่ซูเป็นอย่างดี
หากพัฒนาตนเองและออกจากปินโจว ก็จะต้องถูกตระกูลซูมาแก้แค้นแน่ๆ แต่ถ้าปกครอบปินโจวเล็กๆนี่ ก็ไม่มีความเสี่ยงอะไร
ฉินเฉิงคิดง่ายๆ สามเดือนหลังจากสู้กับซูหยู่เสร็จ ต้องเดิมพันกับนายท่านใหญ่ซูต่อ
“ตระกูลซูต้องใช้สาขาทั้งแปดพื่อควบคุมสิทธิ์รักษาตำแหน่งของพวกเขา และฉันแค่ต้องจัดการเพียงสองสาขาก็เพียงพอแล้ว” ฉินเฉิงกระซิบ
ความมั่นใจนี้มาจากฉินเฉิงมองว่าซูเป่ยเพียงคนเดียว ก็สามารถอยู่เหนือสาขาอื่น ๆ อีกเจ็ดของตระกูลซูได้!
และพลังการต่อสู้ที่ควบคุมของฉินเฉิง ก็เพียงพอที่จะต่อสู้กับซูฉีไห่ได้!
“เฮ้อ” ฉินเฉิงเก็บรายชื่อนั้น
เขามองดูหยูเหม่ยเหรินและขอบคุณเขาอีกครั้ง “อีกสามเดือน ฉันจะเลี้ยงเหล่ายาปลาปิ้งให้นะ”
“ดื่มเพื่อฉลองชัยชนะ หรือดื่มเพื่อการจากลา?” หยูเหม่ยเหรินหัวเราะ
ฉินเฉิงโบกมือและเดินออกไปด้วยรอยยิ้ม
ฉินเฉิงตัวคนเดียว และไม่มีอะไรผูกเขาไว้ ดังนั้นเขาจึงออกจากจิงตูในคืนนั้น
หลังจากเรียกแท็กซี่ได้ เขาก็ตรงไปสนามบิน
ระหว่างทาง ฉินเฉิงได้หยิบมือถือขึ้นมาหาข้อมูลตามใบรายชื่อทั้งหมด
หลังจากที่ดูคร่าวๆแล้ว ฉื่อหยานเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในภาคเหนือในขณะนี้
กองกำลังเล็กใหญ่ของตระกูลซูในทางตอนเหนือต่างก็เคารพฉื่อหยาน
และเป็นเช่นเดียวกับรูปแบบของตระกูลซู ฉื่อหยานไม่ใช่ผู้ใช้ศิลปะการต่อสู้ เขาเป็นเพียงนักธุรกิจ
กองกำลังจำนวนมากในภาคเหนือถูกควบคุมโดยนักธุรกิจเพียงคนเดียว เห็นได้ชัดว่าผู้ใช้ศิลปะการต่อสู้ในตระกูลซูมีน้อยเพียงใด
“ฉื่อหยาน…” ฉินเฉิงจับคางของเขา และข้อมูลต่างๆของฉื่อหยานก็ค่อยๆเผยออกมา
คนคนนี้ ฉินเฉิงเคยพบเขาที่งานเลี้ยงวันเกิดของนายท่านใหญ่ซู และเขาก็นำโลงหนานมู่ทองมาด้วย
“ต้องหาโอกาสไปพบเขา” ฉินเฉิงคิดกับตัวเอง
“เอี๊ยด!”
ในตอนนั้นเอง คนขับเบรกอย่างกะทันหัน ทำให้เกิดเสียงดัง
“แม่งเอ้ย ประสาทหรือเปล่า มาอยู่กลางถนนดึกๆดื่นๆ อยากตายหรือไง” คนขับรถสบถออกมา
สีหน้าของฉินเฉิงเปลี่ยนไป และเขาก็รีบตำหนิ “รีบกลับไปขึ้นรถ! งั้นไม่คุณชีวิตคุณอันตรายแน่!”
“ไม่ต้องตกใจไป” จากนั้น ผู้พิทักษ์อาวุโสที่ขวางทางอยู่บนถนนก็ส่ายหัว
“เป็นหนี้ก็ต้องจ่าย เป็นคนร้ายต้องชดใช้กรรม ฉันไม่เคยฆ่าผู้บริสุทธิ์อยู่แล้ว”
ผู้พิทักษ์อาวุโสที่ขวางทางอยู่นี่ เป็นคนที่ถูกตระกูลซูขับไล่ออกมา
ยากที่จะจินตนาการว่าคนที่ครั้งหนึ่งเคยถูกคุมขังในเรือนจำของสมาคมจะมาพูดแบบนี้
รูปร่างของเขานั้นสูงใหญ่ ราวกับมีภูเขามาขวางทางอยู่
คนขับรถไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น เขาพูดด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย “อะไรกันเนี่ย รีบหลบไปซะ ไม่งั้นฉันจะแจ้งตำรวจ!”
แม้จะโดนว่าแบบนี้ เขาก็ยังเมินเฉย ผู้พิทักษ์อาวุโสยังคงจ้องมองที่ฉินเฉิงด้วยสายตาที่เย็นชา ราวกับว่าในสายตาของเขามีเพียงฉินเฉิง
ฉินเฉิงลงจากรถ ค่อยๆรวบรวมสติ สีหน้าเขาก็เปลี่ยนโดยที่ไม่รู้ตัว
“จอมยุทธ์ เขาเป็นจอมยุทธ์ขั้นห้า!” หัวใจของฉินเฉิงเริ่มเต้นแปรปรวน เขาจะเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดที่ฉินเฉิงเคยเจอ