ฉินเฉิงหันกลับไป ยิ้มและพูดออกมาว่า “ฉันก็แค่พูดความจริงออกไปเท่านั้น”
“ความจริง?” ชายชราคนนั้นพูดออกมาว่า “นายรู้ไหมว่าใครเป็นเจ้าของผลงานชิ้นนี้?”
“ไม่สนหรอกว่าเขาเป็นใคร แต่ที่ฉันพูดไปทั้งหมดมันก็เป็นความจริงอยู่ดี” ฉินเฉิงพูดออกไปโดยไม่มีอาการหวั่นเกรง
ชายชราคนนั้นพูดออกมาว่า “ฉันมีความจริงอยากจะมาบอกกับนาย ฉันเป็นเจ้าของผลงานชิ้นนี้เองและฉันก็เป็นประธานสมาคมสมาคมพู่กันจีนของปีนังมาแล้วมากกว่า 10 ปี! นายมันก็เป็นแค่เด็กหัดเดินเมื่อเทียบกับฉัน จะเอาอะไรมาเข้าใจการเขียนพู่กันจีนได้อย่างไร? ”
และในตอนนี้ก็มีคนเดินเข้ามาล้อมรอบพวกเขา
ตามที่กล่าวกันไว้ คนมีความสามารถทางเรื่องพู่กันเหมือนกันมักจะดูถูกกัน ที่จริงคนเหล่านี้ก็ไม่ได้รู้ว่าอีกฝ่ายเก่งแค่ไหน แต่ทุกคนล้วนมีความมั่นใจและภาคภูมิใจในตัวเอง และยิ่งเป็นพวกหัวเดิมๆ คนที่มีอายุมากก็จะยิ่งได้รับความเคารพมากไปตามการเวลา
แต่ในความเป็นจริง พวกเขาก็เป็นแค่เด็กฝึกงานเท่านั้น
“เจ้าหนุ่ม นายจะมองมันก็ไม่มีใครว่า แต่นายไม่มีสิทธิที่จะไปวิจารณ์แบบนั้น” มีคนพูดออกมา
“ประธานจี้เป็นถึงคนที่สูงที่สุดในสมาคมพู่กันจีน ของพวกเรา ฉันคิดว่าที่นายทำแบบนี้ก็เพราะอยากจะอวดสาวน้อยคนนั้นใช่ไหมหละ ไม่เข้าใจแต่แกล้งทำเป็นเข้าใจ ถูกไหม?”
ฉินเฉิงเหลือบมองไปที่พวกเขาแล้วพูดออกมาว่า “ถ้าหากนี่คือมาตราฐานของคนที่อยู่สูงสุดของที่นี่ งั้นก็แสดงว่าสมาคมพู่กันจีน คงจะต่ำต้อยน่าดู”
“เจ้าหนุ่ม นายพูดออะไรออกมา!” เมื่อทุกคนได้ยินแบบนั้นก็โกรธขึ้นมาทันทีและกล่าวหาฉินเฉิงซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถ้าหากไม่ได้เป็นเพราะว่าพวกเขาอายุมาก พวกเขาคงลงมือกับฉินเฉิงไปแล้ว
“ทุกคนไม่จำเป็นต้องโกรธ” ในตอนนั้นประธานจี้ก็พูดออกมา
หลังจากนั้นเขาก็มองมาทางฉินเฉิงและพูดออกมาว่า “ในเมื่อนายบอกว่าผลงานของฉันนั้นมาตราฐานต่ำ งั้นนายลองให้คำแนะนำกับฉันหน่อยได้ไหม”
เมื่อเสียงเงียบลง ทุกคนก็หัวเราะและมองมาที่ฉินเฉิง ใบหน้าของพวกเขาแสดงถึงความดูถูก
“ได้” ฉินเฉิงตอบไปอย่างไม่เกรงใจ เขาก้าวออกมา และชี้ไปที่ผลงานของประธานจี้และพูดออกมาว่า “ถ้าหากฉันมองไม่ผิด นี่น่าจะเป็นเทคนิคของการเขียนตัวอักษรจีนด้วยพู่กัน”
“ใช่” ประธานจี้ยิ้มและพูดออกมา
ฉินเฉิงพูดออกมาต่อว่า “ต้องบอกเลยว่าตัวอักษรและรายละเอียดต่างๆที่อยู่ด้านบนนั้นยอดเยี่ยม แต่น่าเสียดายที่นี่เป็นเพียงเทคนิคของผู้เริ่มต้นเท่านั้น การเขียนตัวอักษรจีนด้วยพู่กันจะงดงามหรือสื่อถึงความรู้สึกได้หรือไม่นั้นก็ต้องดูที่ความสามารถ ทัศนคติ การวางแผนของผู้เขียน ”
“บางคนเขียนออกมาแสดงความรู้สึกที่ร้อนรน บางคนเขียนออกมาถึงความรู้สึกของความกระหายเลือด บางคนเขียนออกมาแล้วทำให้รู้สึกสบายใจ แต่ขอโทษนะ พูดกันตามตรงสิ่งที่นายเขียนออกมามันไม่ได้แสดงถึงความรู้สึกอะไรเลย ความสามารถในการเขียนของคุณพูดตรงๆมันเหมือนกับการเขียนของเด็กประถมมากกว่า” ฉินเฉิงพูดออกมา
ทันทีที่คำพูดนี้ออกมา ทุกอย่างก็โกลาหลขึ้นทันที
ใบหน้าของประธานจี้แดงก่ำ เขาตบหน้าโต๊ะอย่างดุเดือด และพูดอย่างโมโหว่า “นายพูดอะไรของนาย! ฉันเขียนเหมือนกับเด็กประถม? ฉันมันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ!”
ฉินเฉิงพูดออกมาอย่างเฉยชา “ในแง่ของความสามารถในการเขียน นายนั้นถือได้ว่าเป็นมือใหม่จริงๆ ฉันขอถามหน่อยว่านายอยู่ในวงการนี้มากี่ปีแล้ว?”
ประธานจี้ตอบออกมาอย่างเยือกเย็น “ถ้าหากฉันไม่มีความสามารถ ฉันจะอยู่ในวงการนี้มาได้ถึง 40 ปีไหม!”
“40 ปีแต่กลับทำได้เพียงเท่านี้ ฉันแนะนำว่านายออกไปจากอาชีพนี้ดีกว่า เพราะว่ามันไม่เหมาะสมกับนาย” ฉินเฉิงกล่าวอย่างประหลาดใจ
สิ่งนี้ทำให้ประธานจี้หายใจหอบ เขาชี้ไปที่ฉินเฉิงและด่าออกมาว่า “ฉันอยู่มาถึงทุกวันนี้ก็เพิ่งจะมีนายคงแรกนี่แหละที่มาดูถูกผลงานของฉัน! ในเมื่อนายบอกว่าฝีมือของฉันเป็นแค่เด็กประถม ถ้างั้นฝีมือของนายคงดีน่าดูเลยใช่ไหม? ถ้าแบบนั้นนายเคยมีผลงานสักชิ้นไหมหละ?”
“ไม่มี” ฉินเฉิงตอบกลับไป “แต่ฉันสามารถเขียนให้นายตอนนี้เลยก็ได้”
“ได้!” ประธานจี้พูดออกมา “ฉันอยากจะเห็นจริงๆความสามารถของนาย! เอากระดาษกับพู่กันมาให้เขาที!”
“ครับ ประธานจี้!”
จากนั้นไม่นาน ชายชราอีกคนหนึ่งก็ถือกระดาษกับพู่กันเดินเข้ามา
ฉินเฉิงหยิบพู่กันนั้นมาและลองวัดดูน้ำหนักส่ายหัวและพูดออกมาว่า “นี่มันพู่กันขนกระต่าย ฉันอยากได้พู่กันขนสุนัขจิ้งจอก”
“พู่กันขนสุนัขจิ้งจอก?” ประธานจี้พ่นลมหายใจออกมา “นายอย่ามาทำเป็นเก่ง สำหรับคนอายุเท่านายแค่ขนกระต่ายก็พอแล้ว”
“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ” ฉินเฉิงยิ้มออกมา “แต่ฉันยังอยากได้ขนสุนัขจิ้งจอก”
“หยิบพู่กันขนสุนัขจิ้งจอกมาให้เขา!” ประธานจี้พูดออกมา
ภายใต้การร้องขอของฉินเฉิง ในที่สุดเขาก็ได้พู่กันขนสุนัขจิ้งจอก
ฉินเฉิงหยิบปากกามาชั่งน้ำหนักแล้วพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ถึงแม้มันจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ก็พอใช้ได้อยู่”
หลังจากนั้นฉินเฉิงก็ลากพู่กันของเขาลงไปบนกระดาษสีขาว
การเคลื่อนไหวของเขามีสง่าผ่าเผย และจังหวะ ความหนา และความเข้มข้นของนั้นดูมีเสน่ห์มาก
เมื่อมองแล้วสามารถสื่ออารมณ์ของคนเขียนได้
วันนี้จิตใจของฉินเฉิงมีแต่ความเกลียดชังและการเข่นฆ่า งานที่เขาเขียนออกมาจึงมีความน่ากลัว!
พู่กันตวัดลงบนกระดาษ ออร่าของความสง่าเผยออกมาอย่างเต็มที่
ในตอนนั้นทุกคนตกตะลึงมาก!
ภายในระยะเวลาครึ่งชั่วโมง งานเขียนของเขาก็เสร็จสมบูรณ์
ชื่อของผลงานชิ้นนี้คือ “จิ่วฮัวเทีย” งานชิ้นนี้เต็มไปด้วยความอาฆาตร แค่คุณเห็นมัน คุณก็สามารถรับรู้ความรู้สึกของผู้เขียนได้ทันที!
“เสร็จแล้ว” ฉินเฉิงโยนพู่กันไปข้างๆ
ทุกคนตกใจกับผลงานที่เกิดขึ้นมาก แม้แต่ประธานจี้เองก็ตกใจ!
“สุดยอดมากเลย!” ฉูเสี่ยวจิงพูดออกมา เธอเงยหน้าขึ้นและมองตรงไปที่ฉินเฉิง ดวงตาของเธอมีแสงแวววาวออกมา
“มี…มีอะไรน่าตื่นเต้นตรงไหน!” ประธานจี้พูดออกมา “งานชิ้นนี้ยังสู้กับงานของเด็กประถมไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! นายเขียนอะไรของนาย!”
“ใช่! ตอนแรกฉันก็คิดว่าเก่งมาจากไหน ที่แท้ก็ไม่ได้เรื่อง!”
ทุกคนต่างเข้าข้างประธานจี้และต่อว่าฉินเฉิง
ฉินเฉิงรู้อยู่แล้วว่ามันจะต้องเป็นแบบนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้โกรธอะไร
“เจ้าหนุ่ม นายมีความสามารถเพียงเท่านี้ ก็อย่าคิดที่จะมาเทียบกับสมาคมพู่กันจีน ของพวกเราเลย!” ประธานจี้หัวเราอย่างเยือกเย็น
ฉินเฉิงตอบกลับไปว่า “ฉันก็ไม่ได้ต้องดารที่จะไปเทียบอะไรกับพวกนาย ฉันก็แค่วาดๆไปเท่านั้น”
จากนั้นฉินเฉิงก็หันมายิ้มกับฉูเสี่ยงจิงและพูดออกมาว่า “เธอเห็นแล้วหรือยัง โลกในปัจจุบันนี้เต็มไปด้วยคนที่ประจบสอพลอ แม้แต่เรื่องของงานศิลปะเองก็ยังหลีกไม่พ้น”
“พี่ฉินเฉิง ฉันไม่มีวันเป็นแบบนั้นแน่!” ฉูเสี่ยงจิงตอบกลับมาอย่างจริงจัง
“พี่เชื่อเธอ” ฉินเฉิงยิ้มออกไป “ที่นี่ไม่มีอะไรน่าสนใจเลย พวกเราไปกันเถอะ”
“ได้คะ!” ฉูเสี่ยงจิงพยักหน้าเล็กน้อย
ในตอนนั้นชายชราผมขาวก็เดินมาอยู่ตรงหน้าผลงานที่ฉินเฉิงได้เขียนเอาไว้
เขามองไปที่ผลงานของฉินเฉิงด้วยความตื่นเต้นและประหลาดใจ มือทั้งสองข้างของเขาสั่นเทา
“ผลงานชิ้นนี้ ใครเป็นคนเขียน?” เขาตะโกนถามออกมาด้วยความตื่นเต้น
ทุกคนหันหน้าไปทางชายชราคนนั้น
“อาจารย์เว่ย? คุณมาที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่?” ประธานจี้รีบออกไปกล่าวทักทาย ท่าทางที่เขาวิ่งไปหาเว่ยชุนนั้นเปลี่ยนไปจากเมื่อสักครู่มาก
เว่ยชุนไม่ได้สนใจเขาเลย เขาถามออกมาด้วยความตื่นเต้นอีกครั้งว่า “ใครเป็นคนเขียนผลงานชิ้นนี้!”