หลังจากที่ไม่ได้เจอเค้ามานาน ความแข็งแกร่งของเฉียวไท่กูก็ดีขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
แม้ว่าเค้าจะยืนอยู่ต่อหน้าชายหนุ่มคนนี้ แต่เค้าก็วางตัวได้ดูชิวๆเป็นอย่างมาก มันก็มากเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นแล้วว่าตำแหน่งของเฉียวไท่กูในตระกูลชู มันดีมาก เค้าไม่ใช่แค่บอดี้การ์ดธรรมดาเท่านั้น
“คุณเฉียว ไม่ได้เจอกันนานแล้วนะ” ฉินเฉิงก็พูดขึ้นมาอย่างเฉยชา
ในตอนนี้เอง เฉียวไท่กูก็ขู่เอาชีวิตของฉินเฉิงแล้วก็ยังเตือนไม่ให้ฉินเฉิงเข้ามาในเมืองจิงตู ไม่อย่างงั้นก็อย่าโทษที่เค้าจะหยาบคาย
การมาเจอกันกับตระกูลชูในตอนนี้ มันค่อนข้างแปลก
“รู้จักกันด้วยเหรอ” ชูชีเชิงก็ถามขึ้นมาอย่างประหลาดใจ
เฉียวไท่กูก็ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย: “ชายที่จองหองแบบนี้ ทำไมถึงมาปรากฎตัวที่ตระกูลชูได้หละ?”
ชูชีเชิงก็โบกมือขึ้นมาแล้วพูดว่า: “เค้ามาที่นี่เพื่อมาตรวจดูอาการพ่อของฉัน”
“เค้าดูอาการป่วยได้ด้วยเหรอ?” เฉียวไท่กูอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะ “คุณชู เด็กคนนี้มันก็แค่เด็กสร้างบ้าน คุณต้องระวังเค้าให้มากกว่านี้นะ”
“มันเกี่ยวอะไรกับนายด้วย?” ฉินเฉิงพูดขึ้นมาอย่างเย็นชา
เฉียวไท่กูก็ก้าวไปข้างหน้าแล้วพูดอย่างเย็นชาว่า: “นายคงจะลืมสิ่งที่ฉันพูดที่ปินโจวไปแล้วใช่ไหม?”
ประโยคนี้มันหมายถึงเรื่องที่เค้าเคยบอกไว้ว่าไม่ต้องการให้ฉินเฉิงมาเหยียบที่เมืองจิงตู
บนใบหน้าของฉินเฉิงก็ไม่ได้มีความกลัวอะไรเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามเค้ากลับพูดขึ้นมาว่า: “ถ้านายไม่ให้ฉันมา ฉันก็จะต้องไม่มา นายคิดว่านายเป็นใครกัน?”
“ไท่กู อย่าวุ่นวาย” ในตอนนี้เอง ชายหนุ่มก็โบกมือขึ้นมา
เฉียวไท่กูเหลือบมองเค้าแล้วก็ก้าวถอยหลังออกไป
สีหน้าของชูชีเชิงก็ดูไม่ได้เลย เฉียวไท่กูคนนี้เป็นแขกของตระกูลชู แม้ว่าสถานะเค้าจะไม่ได้ดีอะไรมากในตระกูลชู แต่ก็ยังถือได้ว่าเค้าเป็นคนที่มีความสำคัญ
“ขอแนะนำให้พวกคุณรู้จัก นี่คือฉินเฉิง” ชูชีเชิงเอามือไขว้หลังแล้วเค้าก็พูดในสิ่งที่เค้าคิดออกมา
“ฉินเฉิง? ชื่อนี้มันคุ้นหูจริงๆ ใช่ลำดับที่ 38 คนนั้นใช่ไหม?” ชายหนุ่มก็ถามขึ้นมา
ฉินเฉิงพยักหน้า ท่าทีของเค้ามันดูไม่อ่อนน้อม แต่ในขณะเดียวกันก็ดูไม่หยิ่งยโส
ชายหนุ่มพูดขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ: “ฮ่าฮ่า ผมอยู่อันดับที่ 15 แล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าคุณจะมาอยู่ตรงหน้าผมนะ”
“นี่คือลูกของชายคนที่สองของฉัน ชูเสียว” ชูชีเชิงก็แนะนำขึ้นมา
ฉินเฉิงตอบรับและทักทายชูเสียว
“ตอนนี้เราเข้าไปดูอาการป่วยของคุณปู่ก่อนก็แล้วกัน” ฉินเฉิงพูดกับชูซีเชิงขึ้นมา
ชูกวงยุนกำลังนอนอยู่บนเตียง สภาพของเค้ามันดูอ่อนแอเป็นอย่างมาก
ฉินเฉิงจับชีพจรของเค้าแล้วสแกนดูร่างกายของเค้าด้วยพลังแห่งจิตวิญญาณ จากนั้นไม่นาน เค้าก็มองเห็นความผิดปกติบนร่างกายของเค้า
เขามีเนื้องอกในร่างกายแล้วมันก็มีขนาดที่ใหญ่มาก โรงพยาบาลไม่สามารถรักษาให้หายได้ ที่เค้ายังมีชีวิตอยู่ได้ทุกวันนี้ มันก็เป็นเพราะเคมีบำบัด
แต่สำหรับฉินเฉิงแล้ว นี่มันไม่ใช่โรคที่ร้ายแรงอะไร
“เดี๋ยวฉันจะปรุงยาให้กับคุณปู่เอง ให้เค้าพักผ่อนก่อนก็แล้วกัน” ฉินเฉิงก็พูดขึ้นมา “หลังจากนี้ต่อไป จะต้องมาเอายาที่ฉันเดือนละครั้ง”
ในที่สุด ชูชีเชิงก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เค้าตบหน้าอกของตัวเองแล้วพูดว่า: “คุณสมควรที่ได้เป็นผู้อาวุโสของตำหนักเทพโอสถ สมแล้วที่คุณมีชื่อเสียงมากขนาดนี้!”
“ผู้อาวิโสแห่งตำหนักเทพโอสถ?” ในตอนนี้เอง สีหน้าของเฉียวไท่กูก็ดูไม่ได้เลย
“นายคือผู้อาวุโสของตำหนักเทพโอสถจริงๆอย่างงั้นเหรอ?” เฉียวไท่กูพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าที่เย็นชา
ฉินเฉิงไม่ได้สนใจเค้าเลย ฉินเฉิงเพียงแค่ทำเรื่องที่ตัวเองต้องทำก็เท่านั้น
“ฉันพูดกับแกอยู่ แกไม่ได้ยินที่ฉันพูดเหรอ!” เฉียวไท่กูโกรธจัด เค้าเอื้อมมือไปจับไหล่ของฉินเฉิง
ฉินเฉิงโกรธมาก เค้าหันกลับมาทันทีแล้วตบเฉียวไท่กู!
เฉียวไท่กูไม่รอช้า เค้ายกมือขึ้นเพื่อจัดการกับฉินเฉิง
เฉียวไท่กูรู้สึกราวกับว่าแขนของเค้าชนเข้ากับรถบรรทุก แขนของเค้ามันชาไปหมด!
“ฉันเป็นแขกของคุณชู แต่แกเป็นแค่คนรับใช้ที่พูดจาไม่สุภาพกับฉันซ้ำแล้วซ้ำเล่า แกดูถูกฉันมันก็เท่ากับการดูถูกคุณชู หรือว่าแกมีปัญหากับคุณชูอย่างงั้นเหรอ?” ฉินเฉิงถามเสียงดังขึ้นมา
“แก!” เฉียวไท่กูกำลังจะระเบิดความโกรธออกมา ชูเสียวก็ตะโกนขึ้นมาว่า “หุบปากซะ!”
เฉียวไท่กูก็กัดฟันแล้วกำหมัดแน่น มันเห็นได้ชัดว่าเค้าไม่พอใจมาก
เค้าคิดไม่ถึงเลยว่าความแข็งแกร่งในตอนนี้ของฉินเฉิงจะพุ่งทะยานขนาดนี้
การที่ตระกูลชูออกตัวแบบนี้ แน่นอนว่าเค้าไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง!
“หากนายมีความคับข้องใจใดๆก็อย่าต่อสู้อย่างเปิดเผย” ฉูเสียวก็พูดขึ้นมาอย่างเย็นชา “ตั้งใจจะหาเรื่อง นี่มันใช่เรื่องไหม?”
“ครับ!” เฉียวไท่กูก็ก้าวออกไปทันที เค้าชี้ไปที่ฉินเฉิงแล้วพูดว่า: “อีกสามวัน ฉันจะขอสู้กับแก แกกล้าไหม?”
“เอาสิ” ฉินเฉิงก็เยาะเย้ยขึ้นมา “ฉันกำลังเตรียมที่จะก้าวเข้ามาสู้เมืองจิงตู การใช้แกตะกรุยทางมันก็ไม่เลวเหมือนกัน”
“เอาฉันไปตะกรุยทาง? อย่างั้นฉันจะตะกรุยทางให้แกไปลงนรกก็แล้วกัน!” สีหน้าของเฉียวไท่กูก็ดูจริงจังมาก
ฉินเฉิงขี้เกียจที่จะไปต่อปากต่อคำกับเค้า ดังนั้นเค้าเลยหันหลังแล้วจากไป
เค้ากับชูชีเชิงไปที่โกดังเพื่อเอาตัวยามาสองสามอย่าง จากนั้นฉินเฉิงก็ไปปรุงยา
เค้าใช้เวลาอยู่กว่าสามชั่วโมงในการปรุงวัตถุดิบสมุนไพรให้เสร็จสมบูรณ์
ฉินเฉิงมอบยาให้กับชูชีเชิงแล้วพูดว่า: “ให้ชายชรากินยาเม็ดนี้ก่อน จากนั้นทุกเดือนก็มาหาฉันเพื่อเอายาเดือนละเม็ด ทั้งหมดสิบสองครั้ง”
“ครับ ขอบคุณมาก!” ชูชีเชิงรีบพยักหน้า “ผมเป็นหนี้บุญคุณคุณ”
“ไม่ต้อง” ฉินเฉิงก็ตอบกลับ
สำหรับเรื่องพวกนี้ ฉินเฉิงก็ไม่ได้คิดอะไรจริงจังมาก
เรื่องธรรมดาเล็กน้อยแบบนี้ ตระกูลชูก็ไม่น่าจะจริงจังอะไรกับมันมาก
แต่เมื่อเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น สิ่งที่เรียกว่าบุญคุณมันก็เป็นแค่ลมปาก
หลังจากออกจากห้องมาแล้ว ฉินเฉิงก็เจอเข้ากับเฉียวไท่กูที่ขวางประตูไว้
สีหน้าของเฉียวไท่กูเขียวบูดบึ้งไปหมด หลังจากที่เห็นฉินเฉิง เค้าก็เดินตรงเข้าไปในทันที
ที่รอบข้างมันไม่มีใครอยู่ เฉียวไท่กูก็ไม่จำเป็นที่จะต้องอดทนอีกต่อไป
เค้าพูดขึ้นมาอย่างเย็นชาว่า: “ฉันเคยบอกแกแล้วใช่ไหม ถ้าแกกล้าก้าวเข้ามาในจิงตูแม้แต่ก้าวเดียว ฉันจะฆ่าแก!”
ฉินเฉิงเหลือบมองแล้วพูดว่า: “เมืองจิงตูมันเป็นบ้านของแกอย่างงั้นเหรอ? เฉียวไท่กู แกคิดว่าแกเป็นใครกัน ก็แค่จอมยุทธ์คนหนึ่ง”
“ก็แค่จอมยุทธ์อย่างงั้นเหรอ?” เฉียวไท่กูอดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมา “เด็กน้อยอย่างแก คงจะไม่เคยเห็นความสามารถของจอมยุทธ์สินะ? ฉันใช้พลังหมัดเพียงแค่สามในสิบก็เท่านั้น ไม่อย่างงั้นแกจะมีโอกาสได้มายืนต่อปากต่อคำกับฉันอยู่ตรงนี้เหรอ?”
ฉินเฉิงก็พูดขึ้นมาอย่างเฉยชาว่า: “แกไม่ต้องมาพูดคุยกับฉัน อีกสามวันแกก็จะได้เห็นของจริงแล้ว แน่นอน ถ้าแกโชคดีมากพอที่จะฆ่าฉันได้ บางทีแกอาจจะได้ไปบ้านตระกูลซูนะ”
หลังจากพูดจบ ฉินเฉิงก็หันหลังแล้วจากไป
เฉียวไท่กูตะโกนออกมา: “ไอ้*** อีกสามวันเจอกัน”
ฉินเฉิงไม่ได้กลัวการยั่วยุของเฉียวไท่กูเลยแม้แต่น้อย ในใจเค้าก็แค่รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยเท่านั้น
นี่เป็นครั้งแรกที่เค้าเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์แบบตัวต่อตัว! แม้ว่าเซี่ยฝูซานที่เค้าเจอมาก่อนหน้านี้จะเป็นจอมยุทธ์เหมือนกัน แต่ภาวะถดถอยกว่าครึ่งปี มันก็ทำให้เค้าอ่อนแอลงไปมาก
แต่เฉียวไท่กูคนนี้ มันไม่เหมือนกัน เฉียวไท่กูเต็มไปด้วยศักยภาพ เค้าสามารถให้ศักยภาพเหล่านั้นได้เต็ม 100%
ส่วนหนานหวาง ทั้งคู่ต่างก็พยายามอย่างเต็มที่ ดังนั้นมันก็ตัดสินใจอะไรไม่ได้เลย
“ตั้งแต่ฉันก้าวเข้าสู่ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้นที่แปด ฉันเองก็ยังไม่เคยประลองกันใครเลย” ฉินเฉิงก็พูดเบาๆขึ้นมา “อย่างงั้นก็ลองใช้เฉียวไท่กูเพื่อทดสอบดูก็แล้วกัน”
ที่อีกด้านหนึ่ง ชูเสียวก็ขมวดคิ้วขึ้นมาแล้วพูดว่า: “ไท่กู ตอนจะลงมือก็ระวังหน่อย ฉินเฉิงเค้าเป็นผู้อาวุโสของตำหนักเทพโอสถ อย่าให้เค้าตายเชียวนะ เท่าที่ฉันรู้มา เจ้าสำนักตำหนักเทพโอสถให้ความสำคัญกับฉินเฉิงมาก ”
เค้าไม่สงสัยเลย ถ้าฉินเฉิงต้องมาตายในตระกูลชูจริงๆ ตำหนักเทพโอสถจะต้องทำสงครามกับตระกูลชู ถ้าไม่คำนึงถึงเรื่องของความเสี่ยง มันก็ไม่มีใครอยากที่จะแบกรับความสูญเสีย
“ผมรู้” แม้ว่าเฉียวไท่กูจะพูดออกมาแบบนั้น แต่ในใจเค้าก็ไม่ได้คิดแบบนั้น