“เธอจะไปไหน?” ฉินเฉิงเปิดประตู ขมวดคิ้วและถามออกมา
ฟางเสี่ยวเต๋อโบกมือของเธอขณะที่กำลังทำความสะอาดอยู่และพูดออกมาว่า “นายไม่ต้องถามหรอก ฉันนัดเพื่อนเอาไว้แล้ว”
“เธอมีเพื่อนที่จิงตูด้วยเหรอ?” ฉินเฉิงถามออกมาด้วยความสงสัย
ฟางเสี่ยวเต๋อพูดออกมาว่า “นายอย่ามาดูถูกฉัน คนอย่างฉันฟางเสี่ยวเต๋อมีเพื่อนอยู่ทั่วโลก+”
เมื่อเห็นท่าทางที่มั่นใจของเธอ ฉินเฉิงก็ไม่รู้จะพูดอะไรกับเธอ
แต่เนื่องจากฟางจิ้งเหยามอบหน้าที่ดูแลฟางเสี่ยวเต๋อให้กับฉินเฉิง ดังนั้นฉินเฉิงจึงต้องรับผิดชอบเธอเป็นธรรมดา
“ไปเที่ยวที่ไหน จะกลับกี่โมง ไปกับใคร บอกมาให้หมด” ฉินเฉิงพูดออกมาด้วยเสียงต่ำ
ฟางเสี่ยวเต๋อพูดออกมาอย่างไม่อดทน “ทำไมนายเหมือนกับพ่อฉันเลย? น่ารำคาญ”
“ถ้าไม่บอกก็ห้ามไป” ฉินเฉิงพูด
ฟางเสี่ยวเต๋อหมดทางเลือก จึงต้องบอกความจริงกับฉินเฉิง
หลังจากที่เธอออกไป ฉินเฉิงก็รู้สึกเบื่อ เขาจึงเดินออกมาจากที่พักและเดินเล่นไปรอบๆ
ญานแห่งการหยั่งรู้ของเขาปกคลุมไปทั่วรัศมี 5 กิโลเมตร พบว่ารอบๆนี้มีคนอยู่ไม่มาก และที่นี่เป็นสถานที่ที่มีประชากรเบาบางมากในจิงตู
“ดูเหมือนว่าย่านชานเมืองของจิงตูก็เป็นเมืองร้างเหมือนกัน” ฉินเฉิงพูดออกมาระหว่างที่กำลังเดินเล่นอยู่บนถนน
“เอ๋?” และในตอนนั้นเอง จู่ๆก็มีแสงแวบมาในสมองของฉินเฉิง
ในตอนนั้นญานแห่งการหยั่งรู้ของเขารับรู้ได้ถึงพลังที่แข็งแกร่ง อยู่ห่างไปจากฉินเฉิงประมาณ 4-5 กิโลเมตร
ดูจากพลังแล้วน่าจะเป็นจอมยุทธคนหนึ่ง และการเคลื่อนไหวของเขานั่นน้อยมาก อาจกล่าวได้จอมยุทธคนนี้อาจจะกำลังฝึกฝนตัวเองอยู่หรือไม่ก็กำลังค้นหาสมบัติ
ฉินเฉิงหรี่ตาลง เขสพยายามควบคุมญานแห่งการหยั่งรู้ของเขาให้ไปจดจ่อที่จอมยุทธคนนั้น
ระยะห่างประมาณ 4-5 กิโลเมตร และหรับฉินเฉิงแล้วมันไม่ใช่ระยะทางที่ไกลอะไร ผ่านไปพักหนึ่ง ด้านหน้าของฉินเฉิงก็เต็มไปด้วยต้นไม้ที่เขียวขจี
ป่าไม้มีความเขียวชอุ่มมาก แต่ไม่ได้ใหญ่โตอะไร
มองจากด้านหน้าแล้วน่าจะยาวประมาณหลายร้อยเมตร เมื่อมองเข้าไปก็ไม่เห็นใครสักคน
“ที่นี่มีพลังหยินอ่อนๆอยู่” ฉินเฉิงพูดออกมา “เป็นไปได้ไหมว่ามันจะเป็นสุสาน?”
ฉินเฉิงลูบไปที่คางของตัวเอง และคิดว่าจะเดินเข้าไปด้านใน
ทุกก้าวที่เขาก้าวเดินทำให้เขารู้สึกได้ว่าเขาใกล้กับจอมยุทธคนนั้นมากขึ้นไปทุกที
ในตอนที่ระยะห่างของทั้งสองคนเหลือประมาณ 300 เมตร ก็มีเสียงดังขึ้นมาจากด้านใน
“หยุด! ถ้ายังไม่อยากตาย ก็อย่าเดินเข้ามา” เสียงของอีกฝ่ายเป็นเสียงของคนอายุมาก และฟังดูสง่างาม
ฉินเฉิงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินและเดินหน้าต่อไป
“ฉันบอกให้นายหยุด นายไม่ได้ยินหรือไง?” เสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง
ฉินเฉิงหัวเราะและกระโดดไปอยู่ตรงหน้าของจอมยุทธคนนั้นทันที
จอมยุทธคนนี้มีอายุอย่างต่ำประมาณ 70 ปี ผมยาวสีขาว รูปรางสูง
ถ้าพูดถึงขั้นจอมยุทธ อายุประมาณนี้ถือว่ายังไม่แก่ แต่เมื่อเทียบกับคนหนุ่มสาวในเรื่องของการต่อสู้ พละกำลังของพวกเขาก็ต้องด้อยกว่าเป็นธรรมดา
เขามองมาที่ฉินเฉิงอย่างเยือกเย็นและพูดออกมาด้วยเสียงดุว่า “ฉันบอกให้นายไปจากที่นี่ นายไม่เข้าใจหรือไง?”
ฉินเฉิงยิ้มและตอบกลับไปว่า “นี่ไม่ใช่บ้านของคุณ แถมยังเป็นที่สาธารณะ ฉันอยากมาฉันก็มา อยากฉันก็ไป”
ชายชราหรี่ตาลง และพูดออกมาว่า “ถ้าหากนายยังไม่อยากตาย รีบไสหัวไป+”
“แล้วถ้าฉันไม่ไปหละ?” ฉินเฉิงถามออกไป
ชายชราพูดออกมาอย่างเยือกเย็นว่า “เป็นแค่ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่แต่กลับกล้ามาต่อปากต่อคำกับฉัน ทำไม เบื่อชีวิตแล้วหรือไง?”
ฉินเฉิงนำมือทั้งสองข้าวไขว้หลัง และยืนยิ้มมองไปทางเขา
“รนหาที่ตาย” ชายชราตะโกน ฝ่ามืองอและคว้าหน้าอกของฉินเฉิงราวกับกรงเล็บนกอินทรี!
ในฐานะที่ชายชราเป็นถึงจอมยุทธเขาจึงมีความมั่นใจในตัวเองอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่มาเผชิญหน้ากับแต่ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ธรรมดาๆคนหนึ่ง
ในสายตาของเขา เขาแค่เขาจับไปที่หน้าอกของฉินเฉิงได้ เขาก็สามารถขยี้หัวใจของฉินเฉิงให้แหลกได้
“ปึง!”
ทันที่ที่มือของเขาสัมผัสกับหน้าอกของฉินเฉิงที่แข็งยังกับเหล็ก เสียงก็ดังขึ้นทันที
เขามีอาการเจ็บท่ามือ และทางด้านของฉินเฉิงกลับไม่เป็นอะไรเลย
“เป็นไปได้อย่างไร!” สีหน้าของชายชราเปลี่ยนไป เขารีบถอยหลังไปทันที
ฉินเฉิงยังคงไม่ทำอะไร เขายืนอยู่ที่เดิมนิ่ง ยิ้มและพูดออกมาว่า “คุณลุง คุณไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉัน”
สีหน้าของชายชราคนนี้เคร่งขรึมทันที เขาพูดออกมาว่า “ฉันคือเหอซานแห่งตระกูลเหอของจิงตู ถือว่าเห็นแก่หน้าฉัน นายรีบออกไปจากที่นี่”
ฉินเฉิงยิ้มและพูดออกมาว่า “ฉันพูดไปแล้ว ที่นี่เป็นที่สาธารณะ คุณไม่มีสิทธิที่จะมาไล่ผทมอกไป”
“แน่นอน คุณจะทำอะไรก็ทำไป ฉันแค่ออกมาเดินเล่นที่นี่เท่านั้น” ฉินเฉิงนำมือไขว้หลังและเดินไปราวกับว่าอยู่ที่ลานหน้าบ้าน
เหอซาน ขมวดคิ้วขึ้นมา ลูกตาของเขาขยับ ยิ้มและพูดออกมาว่า “เจ้าหนุ่ม ฉันเองก็แค่ออกมาเดินเล่นเท่านั้น ตอนนี้ได้เวลากลับแล้ว ไว้เจอกันใหม่”
หลังจากนั้น เหอซาน ก็จากไปทันที
เขาเดินอย่างเร่งรีบ ดวงตาของเขาสั่นเล็กน้อย ทำให้รู้สึกได้ถึงความแปลกไป
“เดี๋ยวก่อน” ฝนตอนนั้นฉินเฉิงตะโกนออกไป
แต่ เหอซาน ก็ไม่หยุดฝีเท้า แถมยังเร่งความเร็วมากกว่าเดิม ราวกับว่าจะหนีไปในพริบตา
พอเดินทางมาได้ประมาณสองสามกิโลเมตร เหอซาน ถึงหยุดฝีเท้า
เขาถอนหายใจออกมาและพูดออกมาว่า “เจ้าหนุ่มนั่นไม่ธรรมดาเลย เกรงว่าฉันคงจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ต้องกลับไปจามคนมาช่วย”
“สำหรับหลุมศพนั้น ฉันเชื่อว่ายากต่อการมองเห็นด้วยตาของเขา” เหอซาน พูดออกมาด้วยความมั่นใจ
ใช่แล้ว เขาพบสุสานที่มีค่ามากในป่า และเมื่อเขากำลังจะทำหาสมบัติ ฉินเฉิงก็ขัดขวางแผนการของเขา
เพื่อป้องกันไม่ให้ฉินเฉิงรับรู้ เหอซาน จึงเลือกที่จะหนีออกมาก่อน
ส่วนทางด้านของฉินเฉิงในตอนนี้ เขาไม่ได้รู้สึกอะไร
“จะรีบวิ่งไปไหน…” ฉินเฉิงพูดออกมาด้วยความเบื่อหน่าย
แถวนี้ไม่มีพลังแห่งจิตวิญญาณอยู่เลยแม้แต่น้อย จึงไม่ใช่ที่ที่เอาไว้ฝึกวิชา
ดังนั้นความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวก็คือ แถวนี้จะต้องมีสมบัติซ่อนอยู่
โลกนี้มีความเป็นมาหลายร้อนล้านปีแล้ว ไม่รู้ว่ามีสมบัติอะไรซ่อนอยู่บ้าง
หลังจากการล่มสลายของอารยธรรมต่าง ไม่มีใครรู้ว่ามีสมบัติเหลืออยู่กี่ชิ้น
“เขาวิ่งเร็วซะขนาดนั้น เป็นไปได้ไหมว่าเขาจะเอาสมบัติไปด้วยแล้ว?” ฉินเฉิงจับคางของตัวเองและแอบคิดในใจ
หลังจากนั้นฉินเฉิงก็ใช้ญานแห่งการหยั่งรู้อีกครั้ง เพื่อค้นหาว่ามีอะไรอยู่แถวนี้หรือไม่
แต่หลังจากตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วฉินเฉิงก็ไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ
“แปลจัง” ฉินเฉิงขมวดคิ้วมากกว่าเดิม เขาไม่เต็มใจที่จะจากไปทั้งๆแบบนี้
ดังนั้นฉินเฉิงจึงทำการเดินสำรวจเป็นแนวยาวเพื่อตรวจสอบอีกครั้ง
“หรือว่ามันจะมีค่ายกลอะไรบดบังอยู่”
ค่ายกลบางชนิดสามารถบดบังพลังวิญญาณได้ และเคยได้ยินมาว่าค่ายกลที่แข็งแกร่งที่สุดสามารถปกปิดได้แม้กระทั้งท้องทะเล
เมื่อคิดถึงตรงนี้ก็มีแสงประกายออกมาจากหัวใจของฉินเฉิง และพลังก็ค่อยๆพุ่งขึ้นมาที่ศีรษะของเขา
“ฟุ้ง!”
ค่ายกลทั้งหมดจำเป็นต้องใช้ธาตุทั้งห้า ซึ่งการจัดวางของค่ายกลนี้ส่วนมากเป็นไปตามกฎของสวรรค์
แม้ว่าฉินเฉิงจะไม่รู้วิธีการทำลายค่ายกล แต่พ่อของเขาได้ก็มอบเวทมนตร์ที่เหนือกฎธรรมชาติไว้
เวทมนตร์นั้นมีชื่อว่า หยุนป๋าฉีเหมิน ซึ่งสามารถสร้างภาพลวงตาได้