ซูอวี้เฉิงรีบเดินออกมาอย่างรวดเร็ว แล้วนั่งลงข้างๆเขา สายตามองไปยังไวน์แดงที่อยู่บนโต๊ะ พอเห็นแล้วก็เอะใจ
เขายื่นมือยกขวดไวน์แดงขึ้นมา : “นาย…ทำไมจู่ๆถึงเปิดเหล้าขวดนี้!”
อวี้อี่มั่วได้ยินแล้ว เขาเงยหน้าขึ้นช้าๆ ไม่พูดอะไรสักคำ
ซูอวี้เฉิงเดือดจัด : “นายรู้หรือเปล่ากว่าจะได้เหล้าขวดนี้มาฉันต้องลงทุนลงแรงไปเท่าไหร่! เหล้าชุดปีเดียวกันมีเยอะแยะ ทำไมนายต้องเลือกขวดนี้เนี่ย!”
อวี้อี่มั่วทำหูทวนลม เขายกแก้วเหล้าขึ้นมาอย่างใจเย็น เขย่าเบาๆ แล้วก็จิบไปหนึ่งคำ
ซูอวี้เฉิงเห็นท่าทีของเขาแล้ว ก็โกรธจนพูดอะไรไม่ออก : “อวี้อี่มั่ว นาย…”
อวี้อี่มั่วเงยหน้าขึ้น พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบ เฉยตัดบทสนทนาของซูอวี้เฉิง : “แค่เหล้าขวดเดียว”
ซูอวี้เฉิงโกรธจนพูดอะไรไม่ออก เขายื่นมือออกมาชี้แล้วชี้อีก มองไปที่ขวดเหล้าที่ดื่มไปแล้วครึ่งค่อนขวด เขาพูดอะไรไม่ออกแล้ว
“ชั่งเถอะ” หมดคำจะพูดแล้ว เขาจึงหย่อนตัวนั่งลงบนโซฟา : “ใครไปทำอะไรให้นายอีก? ทุกครั้งที่นายอารมณ์ไม่ดี ฉันก็ต้องเสียเหล้าดีๆทุกที”
อวี้อี่มั่วเงียบสนิท สีหน้าเย็นชา ไม่พูดอะไรสักคำ
ซูอวี้เฉิงยื่นมือไปหยิบแก้วไวน์ทรงสูงมา แล้วรินไวน์ให้ตัวเองหนึ่งแก้ว หันไปมองอวี้อี่มั่ว : “คงไม่ใช่หร่วนซือซือหรอกใช่ไหม? ฉันได้ยินมาว่าเธอกลับมาแล้ว”
ได้ยินชื่อนี้แล้ว สีหน้าของอวี้อี่มั่วยิ่งแย่ลงไปอีก เขายกแก้วขึ้นมา แล้วกระดกเหล้าที่เหลือหมดภายในคำเดียว
ซูอวี้เฉิงพูดต่อว่า : “ดูแล้ว คงเป็นเพราะเธอสินะ”
“ปัง!”
อวี้อี่มั่ววางแก้วลงบนโต๊ะแรงพอควร เงยหน้าขึ้นมองเขา แล้วหัวเราะออกมาเบาๆด้วยความเย็นชา : “เป็นเพราะเธอเหรอ? จะเป็นไปได้ยังไง?”
ซูอวี้เฉิงเลิกคิ้วขึ้น : “งั้นนายลองว่ามาสิ ว่าที่นายเป็นแบบนี้มันเป็นเพราะใคร?”
คนอื่นไม่เข้าใจเขา เขายังจะไม่เข้าใจตัวเองด้วยเหรอ?
อวี้อี่มั่วพยายามสงบสติอารมณ์ จะไม่ยอมดื่มเหล้าเมาอย่างไม่มีสาเหตุ ไม่ให้เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นเหมือนเหตุการณ์เมื่อห้าปีที่แล้ว
ตอนนั้น เขาใช้เวลาตามหาหร่วนซือซือร่วมหนึ่งเดือนกว่า เขาออกไปดื่มเหล้าคนเดียว เมาจนหัวราน้ำ สุดท้ายแล้วซูอวี้เฉิงเป็นคนมารับเขากลับบ้าน
เขารู้จักอวี้อี่มั่วมาหลายปี นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาเห็นอวี้อี่มั่วไม่สุขุมเข้มขรึมเหมือนอย่างที่เคย
ตั้งแต่นั้นมา หลายปีมานี้ นอกจากกินเลี้ยงสังสรรค์เพื่องาน อวี้อี่มมั่วก็ไม่ค่อยดื่มเหล้าอีกเลย
แต่ตอนนี้ เขาเริ่มกลับมาดื่มอีกแล้ว เห็นได้ชัดว่ามีเรื่องไม่สบายใจ ก็ยังมาบังเอิญกับหร่วนซือซือที่กลับมา
เพราะฉะนั้น เรื่องทั้งหมดคงจะเป็นเพราะผู้หญิงคนนั้นไม่ผิดแน่
ซูอวี้เฉิงสีหน้าจริงจัง พูดขึ้นอย่างเป็นทางการว่า : “ตาอวี้ ฉันว่านายอย่าเข้าใกล้ผู้หญิงคนนั้นอีกเลย ห้าปีที่แล้วก็เป็นเพราะเธอคนนั้น นายทุ่มเทเงินไปเท่าไหร่ลืมไปแล้วเหรอ ถึงแม้วันนี้เธอคนนั้นจะกลับมาแล้ว นายก็ไม่ควรไปข้องเกี่ยวอะไรกับเธออีก”
อวี้อี่มั่วได้ยินแล้ว สีหน้าก็เครียดขรึมขึ้น เขายกขวดเหล้าขึ้นมาเติมลงไปในแก้ว แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ซูอวี้เฉิงเมื่อเห็นท่าทางเขาแล้ว ก็รู้สึกร้อนใจขึ้นมา : “ตาอวี้ ฉันไม่เข้าใจจริงๆ ผู้หญิงคนนั้นมีอะไรดีเหรอ! ห้าปีที่แล้วนายทุ่มเทเงินทองไปเท่าไหร่เพื่อที่จะช่วยเธอ แต่เธอกลับทำให้นายทรมานแบบนี้ นายยังไม่พออีกเหรอ? อีกอย่างตอนนี้เธอก็มีครอบครัวไปแล้ว หรือว่านายยังคิดจะ……”
ซูอวี้เฉิงหยุดคำพูดไว้เพียงแค่นั้น อวี้อี่มั่วจู่ๆก็เงยหน้าขึ้นมา จ้องไปยังเขา : “นายรู้เรื่องนี้ได้ยังไง?”
เขาไม่เพียงแค่รู้ว่าหร่วนซือซือกลับมาที่เมืองเจียงโจวแล้ว แต่รู้แม้กระทั่งเรื่องที่เธอมีครอบครัวใหม่……
ซูอวี้เฉิงที่หยุดพูดไป เมื่อได้สติ เขาก็สูดลมหายใจเข้า จับแก้วไวน์ไว้แน่น ไม่ได้พูดอะไรออกมา
อวี้อี่มั่วขมวดคิ้วแน่น ถามต่อด้วยน้ำเสียงเย็นชา : “นายรู้เรื่องของเธอได้ยังไง?”
ซูอวี้เฉิงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก วางแก้วไวน์ในมือลง ถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วพูดขึ้นว่า : “เมื่อวานฉันให้คนไปตรวจสอบเรื่องของเธอมา”
เขาหยุดไปชั่วครู่ แล้วเงยหน้าขึ้นมองอวี้อี่มั่ว : “ฉันช่วยเย่หว่านเอ๋อตรวจสอบ”
เมื่อได้ยินชื่อนี้ สีหน้าของอวี้อี่มั่วก็เครียดขรึมขึ้นมากกว่าเดิม เขาสูดลมหายใจเข้า รู้สึกแน่นไปทั่วอก
เย่หว่านเอ๋อทำไมต้องตรวจสอบเรื่องของหร่วนซือซือ ไม่ต้องบอกเขาก็พอจะเดาออก
“ตั้งแต่นี้ต่อไป ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากฉัน ห้ามใครตามสืบเรื่องของหร่วนซือซืออีก”
เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา เมื่อพูดจบก็หมุนตัวเดินออกไป
ซูอวี้เฉิงเงยหน้าขึ้น มองแผ่นหลังของอวี้อี่มั่วที่ค่อยๆไกลออกไป สีหน้าเย็นชาขึ้นมา
หร่วนซือซือผู้หญิงคนนั้นมีอะไรให้น่าหลงใหล จนทำให้อวี้อี่มั่วหลงเธอได้หัวปักหัวปำขนาดนี้
เขาจะไม่ยอมให้เพื่อนรักของเขา ถลำตัวเข้าไปอีก
เมื่อออกมาแล้ว อวี้อี่มั่วก็ขึ้นรถ สั่งกับตู้เยี่ยว่า : “ไปคฤหาสน์เฟิงหนาน”
เมื่อได้ยินแล้ว ตู้เยี่ยอึ้งไปเล็กน้อย แต่เขาไม่ได้ถามอะไรมาก รถแล่นตรงไปที่คฤหาสน์เฟิงหนาน
คฤหาสน์เฟิงหนานเป็นเรือนหอของอวี้อี่มั่วและเย่หว่านเอ๋อ แต่โดยปกติแล้วเขากลับไปพักแต่คฤหาสน์ของตัวเอง เขาไปที่คฤหาสน์เพียงสองครั้งต่อหนึ่งเดือน
แต่วันนี้จู่ๆอวี้อี่มั่วบอกว่าจะกลับไป เขาจึงรู้สึกแปลกใจไม่น้อย
รถสีดำสนิทวิ่งบนถนนที่มืดมิด ราวสี่สิบนาที รถก็แล่นไปจอดที่หน้าคฤหาสน์เฟิงหนาน
อวี้อี่มั่วลงจากรถ สั่งตู้เยี่ยอยู่สองสามประโยค แล้วจึงเดินเข้าประตูใหญ่
เพียงเดินไปถึงที่หน้าประตู แม่บ้านที่อยู่ในห้องโถงเห็นอวี้อี่มั่ว ก็ตกใจ รีบทักทายขึ้นว่า : “คุณผู้ชาย กลับมาแล้วเหรอคะ!”
อวี้อี่มั่วรับคำทักทาย แล้วจึงกวาดสายตาไปรอบๆห้องโถง แต่ไม่เห็นเงาของหว่านเอ๋อ จึงถามขึ้นว่า : “หว่านเอ๋อล่ะ?”
“คุณผู้หญิงอยู่ห้องนอนชั้นบนค่ะ ให้ดิฉันขึ้นไปตาม……”
อวี้อี่มั่วยกมือขึ้น : “ไม่ต้อง”
พูดจบ เขาก็หมุนตัว เดินขึ้นบันไดตรงไปยังห้องนอน
เขาเดินมาจนถึงหน้าประตู กำลังจะเปิดประตู ก็ได้ยินเสียงดังมาจากข้างใน : “แม่คะ แม่ก็ลองคุยกับพ่อดูสิ พ่อเขารู้จักกับเถ้าแก่เจ้าของบริษัทนิตยสารนี่นา……”
เย่หว่านเอ๋อยังพูดไม่ทันจบ ก็ได้ยินเสียงเปิดประตูดังขึ้น เธอจึงรีบหันไปตะคอกเสียงดังว่า : “ใคร เข้ามาไม่รู้จักเคาะประตู……”
พูดยังไม่ทันจบ เมื่อเห็นคนที่เปิดประตูเข้ามาแล้ว ก็อึ้งไปทันที : “พี่มั่ว ทำไมถึงเป็นพี่ได้ล่ะ?”
อวี้อี่มั่วเลิกคิ้วขึ้นสูง สีหน้าเข้มขรึม : “เธอนึกว่าเป็นใครล่ะ”
“เปล่าค่ะ……” เย่หว่านเอ๋อกดวางสายอย่างรีบร้อน แล้วรีบเดินเข้ามาหาเขา : “น้องก็นึกว่าเป็นคนใช้ที่ไม่รู้เรื่อง เข้ามาไม่รู้จักเคาะประตู”
อวี้อี่มั่วได้ยินแบบนี้แล้ว จึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า : “ปกติเธอทำตัวแบบนี้กับคนใช้ที่บ้านเหรอ?”
คำพูดที่เรียบง่าย แต่ทำให้คนฟังรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว เธอสูดลมหายใจเข้า ส่ายหน้าเบาๆแล้วพูดขึ้นว่า : “ไม่ใช่ค่ะ เมื่อกี้เป็นเพราะกำลังคุยโทรศัพท์กับคุณแม่……”
เธอรีบยิ้มให้อวี้อี่มั่ว แล้วเดินไปข้างๆยื่นมือกอดแขนเขาไว้ ถามขึ้นเสียงหวาน : “วันนี้ทำไมจู่ๆกลับมาคะ?”
อวี้อี่มั่วค่อยๆเอาแขนออกจากมือของเธอ พร้อมกับถอดเสื้อนอกออก ทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟา : “ไม่มีอะไร แค่อยากรู้ว่าช่วงนี้เธอกำลังทำอะไร”
“น้องเหรอคะ ช่วงนี้ก็ไปเดินห้างกับเพื่อนๆ แล้วก็เข้าคอร์สโยคะบ้าง ประมาณนี้ ก็ออกจะน่าเบื่ออยู่ค่ะ……”
เย่หวานเอ๋อพูดพลางเดินไปนั่งข้างๆอวี้อี่มั่ว เห็นเขายกมือขึ้นนวดหว่างคิ้ว เธอจึงรีบถามขึ้นว่า : “พี่มั่ว เป็นอะไรไปคะ? งานหนักมากเลยใช่ไหมคะ?”
อวี้อี่มั่วตอบกลับสั้นๆ : “อืม”
เย่หว่านเอ๋อเห็นสถานการณ์แล้ว ก็แอบดีใจขึ้นมา รีบอ้อมไปด้านหลังของเขา ช่วยเขานวดขมับอย่างหวังผลตอบแทน : “ลำบากพี่แล้ว น้องนวดให้นะคะ”
เมื่อเห็นว่าอวี้อี่มั่วไม่ได้ปฏิเสธ เย่หว่านเอ๋อก็ดีใจขึ้นมา เธอได้กลิ่นเหล้าอ่อนๆจากตัวของเขา ก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาในหัวของเธอ
นานๆเขาจะกลับมาที แล้วยังจะดื่มเหล้ามาอีก นี่ถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับเธอเลยทีเดียว!