ตอนที่อาศัยอยู่ในชุมชนเดียวกัน เธอและลู่เสี่ยวมั่นมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมากคุยกันเกือบทุกเรื่อง แต่สถานการณ์ในชีวิตเธอตอนนี้ เธอไม่สามารถเล่าทุกอย่างของตัวเองให้เธอฟังได้จริงๆ
ลู่เสี่ยวมั่นเองก็ดูออกว่าหร่วนซือซือลำบากใจ เธอลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะดึงมือหร่วนซือซือให้ไปนั่งลงตรงที่ผู้คนไม่พลุพล่าน สีหน้าเธอจริงจังมากขึ้น ” ซือซือ เกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่? มีอะไรที่ไม่สามารถพูดได้เธอระบายให้ฉันฟังได้นะ อีกอย่างฉันเป็นพยาบาลมานานหลากปี อาการหลายๆอบ่างฉันก็ค่อนข้างเข้าใจดี เธอบอกฉันได้ ”
คำพูดพวกนี้ออกมาจากใจเธอจริงๆ ถึงแม้ว่าทั้งสองคนจะไม่ได้เจอกันมานานหลากปี แต่ความสัมพันธ์มิตรภาพของพวกเขาก็ยังคงอยู่
” ฉัน……”
หร่วนซือซือก้มหน้า เธอทำมือประสานกันอย่างกังวล เธอท้องทั้งๆที่ยังไม่ได้แต่งงาน เธออับอายมากจริงๆ
ลู่เสี่ยวมั่นก็กังวลตามไปด้วย ” เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ”
หร่วนซือซือสูดหายใจเข้าลึกๆและรวบรวมความกล้าในการพูด ” ฉันท้อง……”
เมื่อลู่เสี่ยวมั่นได้ยินแบบนี้ ก็อึ้งไปชั่วครู่ เธอแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเหลือเชื่อจริงๆ
ถึงแม้ว่าก่อนที่เธอจะมา อวี้กู้เป่ยจะบอกว่ามันมีทางเป็นไปได้ แต่ตอนนั้นเธอตัดข้อนี้ออกไปในทันที แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องนี้จะเป็นความจริง
เมื่อเห็นการแสดงออกทางสีหน้าของเธอในตอนนี้ หร่วนซือซือก็ยิ้มอย่างขมขื่น เธอพูดอย่างไม่สบายใจ ” เมื่อสองวันก่อนฉันเจาะเลือดไปในปริมาณที่มากถึง 400cc วันนี้รู้สึกวิงเวียนศีรษะก็เลยรู้สึกกังวล ก็เลยจะมาตรวจร่างกายสักหน่อย ”
ลู่เสี่ยวมั่นรีบดึงสติกลับมา เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ และปรับตัวให้กลับมาเป็นปกติจากนั้นก็พูดขึ้นว่า ” 400cc เป็นปริมาณที่มากเกินไปอาจจะส่งผลกระทบจ่อเธอได้ อีกอย่างหญิงตั้งครรภ์มักจะโลหิตจาง เธอต้องบำรุงเลือดให้มากๆนะ คุณหมออาจจะจ่ายยาเสริมธาตุเหล็กให้เธอ และเธอต้องให้ความสำคัญกับร่างกายตัวเองให้มากๆ ”
เมื่อได้ยินลู่เสี่ยวมั่นพูดแบบนี้ หร่วนซือซือที่รู้สึกไม่สบายใจก็ค่อยๆดีขึ้น เธอยิ้มและพูดขึ้นเบาๆ ” ขอบคุณนะลู่เสี่ยวมั่น ได้ยินเธอพูดแบบนี้ฉันเองก็สบายใจ ”
” ไม่เป็นไรนะ ” ลู่เสี่ยวมั่นยกมือลูบไหล่เธอพร้อมกับถามขึ้นว่า ” ฉันขอถามได้ไหม พ่อของเด็ก…….”
หร่วนซือซือขบกรามตัวเอง เธอตอบกลับเสียงเบาแต่เต็มไปด้วยความหนักแน่น ” เขาไม่มีพ่อ เขามีฉันแค่คนเดียว ”
ลู่เสี่ยวมั่นยิ้ม และเธอก็รู้ว่าไม่ควรถามต่อ เธอเลยเปลี่ยนประเด็น ” เอาแบบนี้ไหม วันนี้ฉันไม่มีธุระพอดี ฉันรอผลตรวจเป็นเพื่อนเธอ หลังจากนั้นเราไปทานข้าวกัน เราจะได้คุยกันสักหน่อย ”
หร่วนซือซือตอบรับอย่างยิ้มแย้ม ” ได้สิ ”
ไม่นานก็มีคนเรียกชื่อหร่วนซือซือ เธอลุกไปรับผลการตรวจร่างกาย ลู่เสี่ยวมั่นมองดูเธอพร้อมกับหลับตาอย่างขมขื่น เธอสับสนอยู่พักหนึ่งก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความให้อวี้กู้เป่ย
” คุณอวี้ ที่คุณเดาไม่ผิดเลยเธอท้องค่ะ ถ้าฉันเดาไม่ผิดพ่อของเด็กในท้องน่าจะเป็นของพี่ชายคุณอวี้อี่มั่ว ”
เดิมทีอวี้กู้เป่ยก็แค่อยากจะส่งตัวเธอมาสืบข่าวของหร่วนซือซือ แต่ไม่คาดคิดว่าเขาจะเดาทุกอย่างถูกทั้งหมด
ในเวลาเดียวกัน ทางด้านอวี้กู้เป่ยนั้น พอเห็นข้อความ เขาก็หรี่ตามองในแววตาของเขามีความสุขมาก
หร่วนซือซือท้อง สำหรับเขาแล้วช่างเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างหาที่สุดไม่ได้ นี่มันบ่งบอกว่าจะมีเรื่องไปกดดันและขู่อวี้อี่มั่วเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งข้อ
ดูเหมือว่าครั้งนี้ เรื่องที่ลั่วจิ่วเหยี่ยรับปากเขาไว้ คงสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีแน่ๆ
ในคืนวันนั้น หลังจากที่กินข้าวกับลู่เสี่ยวมั่นเสร็จ ทันทีที่เธอกลับถึงบ้านก็นึกขึ้นได้ถึงเรื่องสัญญาจ้างที่ต้องสำเร็จภายในสามวัน และวันนี้ก็ได้ผ่านพ้นไปหนึ่งวันแล้ว เธอสูดหายใจเข้าลึกๆและรู้สึกไม่สบายใจเลย
เหลือเวลาเพียงสองวัน ถ้าเธอยังจัดการเรื่องสัญญาเป็นพรีเซ็นเตอร์ไม่สำเร็จ เรื่องที่เธอต้องการลาออกคงจะเป็นไปได้ยากแน่ๆ
หร่วนซือซือยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด สุดท้ายเธอก็รวบรวมความกล้าในการหยิบมือถือขึ้นมาแล้วส่งข้อความให้เจียงฮ้วนเฉิน ” คุณเจียง พรุ่งนี้คุณว่างไหมคะ? ฉันอยากพบคุณหน่อยค่ะ ”
ไม่นาน เจียงฮ้วนเฉินก็ตอบกลับมา ” ว่างช่วงกลางคืน เธอมาที่บ้านฉัน ”
แล้วยังส่งอิโมจีรูปยิ้มมาด้วย
หร่วนซือซือตัวสั่นจนขนลุกซู่ไปทั้งตัว
ทำไมไม่ว่าประโยคไหนที่ออกจากปากเจียงฮ้วนเฉิน ถึงได้มีความรู้สึกที่แตกต่างออกไปกันนะ?
เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ สงบอารมณ์ตัวเองสักหน่อย ” ตอนกลางวันของวันมะรืนว่างไหมคะ? ฉันมีเรื่องสำคัญต้องการคุยกับคุณ ”
ไม่นาน ก็มีข้อความตอบกลับ ” คิดถึงฉันหรอ? ถึงอยากเจอฉันมากขนาดนี้ งั้นก็ได้พรุ่งนี้ตอนเย็นเธอมาที่กองถ่ายละคร ฉันจะพยายามหาเวลามาเจอเธอ ”
พอเห็นประโยคนั้น หร่วนซือซือถึงกับมองบน จากนั้นก็ตอบเขาไปว่า ” ได้ ”
ไม่ว่ายังไงก็แค่สองวันนี้เท่านั้นแหละ ถ้าผ่านสองวันนี้ไปเธอสามารถจัดการเรื่องสัญญานี้สำเร็จ เธอก็ไม่จำเป็นต้องคอยเอาใจเจียงฮ้วนเฉินอีกต่อไป และไม่ต้องฟังคำสั่งเขาอีกต่อไป!
เมื่อคิดแบบนี้ หร่วนซือซือค่อยสบายใจขึ้นมาบ้าง
ในช่วงบ่ายของวันถัดมา หร่วนซือซือรีบไปที่กองละคร เธอเห็นผู้คนกำลังถ่ายละครจากที่ไกลๆ
ครั้งที่แล้วที่หร่วนซือซือมาเป็นผู้ช่วยให้เขาชั่วคราว ตอนเธอเบื่อก็เลยเปิดบทละครของเจียงฮ้วนเฉินดู เธอเห็นฉากนี้ผ่านตาอยู่บ้าง เธอรู้ว่าฉากนี้อยู่ช่วงท้ายๆของบทละครแล้ว เป็นฉากที่เจียงฮ้วนเฉินต้องรับบทครั้งสำคัญ เขาต้องแสดงฉากที่เขาสูญเสียคนที่เขารักไป เขาทุกข์ทรมานใจมากๆ แต่ก็ไม่สามารถขัดคำสั่งได้
ทั้งฉากเศร้าและสูญเสียแบบนี้ใช้สำหรับทดสอบทักษะของนักแสดงได้ดีมาก การถ่ายทอดอารมณ์กับฉากแบบนี้ต้องใช้พลังงานร่างกายเป็นอย่างมาก
” action!”
เมื่อได้ยินเสียงนี้ของผู้กำกับ นักแสดงทุกคนก็แสดงอย่างเต็มที่ ทุกคนส่งอารมณ์เข้าบทละครได้เร็วมาก เจียงฮ้วนเฉินเองก็เข้าบทบาทได้อย่างรวดเร็ว
เขาแตกต่างจากวันปกติมาก เขาขมวดคิ้วสีหน้าน่าสงสารแล้วน้ำตาก็ล่วงลงมา ทุกการกระทำของเขามันสมบทบาทมากๆ
หร่วนซือซือที่มองดูอยู่นอกฉาก มองดูคนที่อยู่ในฉากจากที่ไกลๆ เธออินเข้าไปในละคนอย่างไม่รู้ตัว
พระเอกสูญเสียคนที่ตัวเองรักไป การแสดงออกของพระเอกเศร้าและเสียใจมากๆ ทำให้เธอก็รู้สึกอินตามไปด้วย และน้ำตาเธอก็ไหลออกมาอย่างไม่ทันตั้งตัว
เธอเหมือนจะไม่เคยเจอผู้ชายที่รักเธอมากขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต อีกทั้งผู้ชายที่เธอรัก เขากลับมีผู้หญิงที่เขารักอยู่ในใจอยู่แล้ว
พอคิดได้แบบนี้ หร่วนซือซือก็ยิ่งต้องหาวิธีควบคุมอารมณ์ของตัวเองให้ได้ เธอก้มหน้าด้วยความเสียใจเลยไม่ทันได้สังเกตว่าผู้กำกับตรงนั้นได้สั่ง ” คัต! ” แล้ว
เมื่อผ่านฉากนี้ไป ผู้คนต่างปรบมือให้เจียงฮ้วนเฉิน เขาจัดการกับอารมณ์ของตัวเองอยู่ชั่วครู่ หลังจากออกจากฉากเขาก็มองเห็นหร่วนซือซือพอดีเขาจึงส่งยิ้มให้หร่วนซือซือ
พอเห็นเธอตาแดงๆ เจียงฮ้วนเฉินก็ขมวดคิ้วและรีบเดินเข้าไปหาเธอจากนั้นก็ดีดไปที่หน้าผากของเธออย่างไม่เกรงใจ ” เป็นอะไรไป? อินไปกับการแสดงของฉันหรือยังไง?”
หร่วนซือซือได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว พอเห็นเจียงฮ้วนเฉินก็รีบเช็ดน้ำตา ” ไม่เป็นไร ฉันเอาเอกสารสัญญามาด้วย ถ้าคุณสงสารฉันจริงๆคุณเซ็นเถอะนะ ”
เธอพูดพร้อมกับหยิบสัญญาฉบับหนึ่งออกมาจากกระเป๋าและยื่นให้เขา
เจียงฮ้วนเฉินก้มมองแวบหนึ่ง เขายิ้มพร้อมกับพูดติดตลก ” ถ้าฉันไม่เซ็นล่ะ? ”
หร่วนซือซือยิ้ม และพูดอย่างติดตลกเช่นกัน ” งั้นเจ้านายฉันต้องฆ่าฉันให้ตายแน่ๆ ”
เจียงฮ้วนเฉินชะงัก และถามขึ้นว่า ” เจ้านายของเธอคือ อวี้อี่มั่ว ใช่ไหม? ”
หร่วนซือซือชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้าตอบ
เมื่อเจียงฮ้วนเฉินได้ฟัง เขาก็นั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ เขาหัวเราะพร้อมกับพูดขึ้นว่า ” งั้นฉันก็ยิ่งไม่อยากเซ็น ”
เมื่อได้ยินแบบนั้น หร่วนซือซือก็สูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นเธอก็ถามขึ้นว่า ” หรือว่าระหว่างคุณสองคนมีเรื่องบาดหมางอะไรกัน? ”
ครั้งที่แล้วที่เอ่ยถึงอวี้อี่มั่ว สีหน้าของเจียงฮ้วนเฉินก็ไม่พอใจแบบนี้ หรือว่าเป็นแบบที่เธอคาดเดาไว้จริงๆ ระหว่างเจียงฮ้วนเฉิน อวี้อี่มั่วและซูอวี้เฉิงมีความสัมพันธ์บางอย่างที่ยากที่จะพูดออกมางั้นหรอ?