อวี้อี่มั่วหลุบตาลงต่ำ สายตาสบมองตกลงไปยังอาหารเหล่านั้น ก่อนจะอดขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อยไม่ได้ หลังจากนั้นจึงช้อนสายตาขึ้นสบมองไปยังซูอวี้เฉิง ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างติติงเล็กน้อยขึ้นมาว่า “นายรู้ทั้งรู้อยู่แล้วว่าท่านเจ้าอาวาสเคยกำชับมาอย่างชัดเจนแล้ว ว่าไม่ให้ดื่มเหล้าทานเนื้อสัตว์”
ซูอวี้เฉิงยิ้มกว้าง “ร่างกายของนาย ไม่ทานเนื้อแล้วจะสามารถฟื้นฟูได้อย่างไรกัน? ปกตินายบอกว่าไม่ได้ทานเนื้อนี่ ฉันก็คิดหาวิถีให้ตู้เยี่ยนำเนื้อสัตว์มาใส่ในโจ๊กให้นายบ้าง หรือไม่ก็ตุ๋นเป็นน้ำแกง”
เมื่อได้ยินคำพูดของซูอวี้เฉิงแล้ว นัยน์ตาทั้งสองข้างของอวี้อี่มั่วเบิกกว้าง ก่อนจะหันสบมองไปยังตู้เยี่ยที่อยู่ทางด้านข้าง แทบจะร้องขอหลักฐานที่แท้จริงมาประกอบกับคำพูดของซูอวี้เฉิงในทันที
สีหน้าของตู้เยี่ยฉายประกายลังเลออกมาอยู่เล็กน้อย หลังจากนั้นจึงเหยียดยิ้มไปมา ก่อนจะเปิดปากเอ่ยขึ้นมาว่า “เป็นเรื่องจริงครับ”
ในคราแรกที่เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ก็ถูกเจ้าอาวาสของวัดในป่านำกลับมารักษา ท่านเจ้าอาวาสเคยกำชับว่าหากพวกเขาอยากที่จะพักอยู่ที่นี่ต่อ ก็ต้องเคารพกฏของวัด ลำดับแรกเลยกฏข้อหนึ่งที่บอกว่าห้ามดื่มเหล้าทานเนื้อสัตว์ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา อวี้อี่มั่วก็ไม่เคยแตะต้องเหล้าและเนื้อสัตว์อีกเลย
แต่ทว่าหลังจากนั้นเมื่อมาคำนึงถึงร่างกายของเขาแล้ว ซูอวี้เฉิงกับตู้เยี่ยก็ลอบเสริมโภชนาการให้กับเขา คิดอยากที่จะให้ร่างกายของเขาได้รับการฟื้นฟูกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว จึงลงมือในทุกมื้ออาหารประจำวันของเขา แต่ทว่าเรื่องเหล่านี้เดิมทีอวี้อี่มั่วก็ไม่เคยทราบมาก่อนเลย
“พวกนาย……” สีหน้าของอวี้อี่มั่วบันดาลโทสะจนเกิดสีซีดเผือก “จุ้นจ้านกันทั้งหมด!”
อยู่ที่นี่มาเดือนกว่า เขารู้สึกว่าตนเองสร้างปัญหาให้กับท่านเจ้าอาวาสที่วัดแล้ว ทุกครั้งที่หวนนึกขึ้นได้ก็มักจะรู้สึกว่าไม่รู้ว่าจะต้องตอบแทนบุญคุณอย่างไรดี แต่ตอนนี้เป็นเพราะว่าไม่สามารถเคารพกฏได้ ภายในหัวใจของเขาจึงรู้สึกละอายใจเป็นอย่างมาก
ซูอวี้เฉิงเห็นเขาบันดาลโทสะขึ้นมาแล้ว ก่อนจะรีบกุลีกุจอเอ่ยขึ้นอย่างปลอบประโลมว่า “พอพอพอ ฉันก็บอกความจริงกับนายไปแล้วนี่ไง จริงๆแล้วเรื่องพวกนี้ท่านเจ้าอาวาสก็ทราบแล้ว! ฉันเคยเปรยเรื่องนี้กับท่านแล้ว บอกว่านายจำเป็นที่จะต้องฟื้นฟูร่างกาย หลังจากนั้นท่านก็เลยตอบตกลง แล้วก็บอกเพียงแค่ว่าให้พวกเราเก็บเรื่องนี้เอาไว้ให้เป็นความลับต่อสามเณรน้อย”
เมื่อได้ยินดังนั้นแล้ว ริมฝีปากที่ยังคงขบเม้มเข้าหากันของอวี้อี่มั่วยังคงไม่คลายออก แต่ทว่าเมื่อสบมองไปยังท่าทีของซูอวี้เฉิงแล้ว ก็ไม่ได้ดูเหมือนกับว่ากำลังพูดปดอยู่ แล้วก็ไม่ได้เอ่ยอะไรขึ้นมาอีก
ซูอวี้เฉิงเห็นเขาไม่ได้มีโทสะขึ้นอีกแล้ว ดังนั้นจึงแอบลอบถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะรีบเรียกตู้เยี่ยให้มานั่งที่ม้าหินด้วยกัน หลังจากนั้นก็รินเหล้าให้กับพวกเขาคนละแก้ว
“จะว่าไปแล้ว พวกเราก็ไม่ได้ดื่มด้วยกันมานานมากแล้วนะ”
พูดไป เขาก็ยกแก้วเหล้าขึ้นเพื่อสื่อให้รับรู้ถึงการคารวะเหล้า อวี้อี่มั่วที่เดิมทีไม่ได้ขยับตัวอะไร หลังจากนั้นก็ไม่ทราบว่านึกอะไรขึ้นมาได้ ก็ยกแก้วเหล้าขึ้นมาชนกับพวกเขา
จะว่าไปแล้ว หนึ่งเดือนกว่าๆที่ผ่านมา เขาผ่านมาอย่างมืดมน
ความรู้สึกหดหู่ทั้งหลายแหล่ถูกกดทับเอาไว้อยู่ภายในหัวใจ เดิมทีก็ไม่ได้มีความคิดที่จะระบายออกไปเลยแม้แต่คำเดียว
เขายกแก้วเหล้าขึ้นมา สายตาสบมองไปยังของเหลาสีใสที่อยู่ภายในแก้ว ก่อนจะยกขึ้นอีกครั้ง แล้วดื่มจนหมดภายในครั้งเดียว
ของเหลวเย็นๆไหลลงจากลำคอไปสู่กระเพาะ ไม่นานหลังจากนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกแสบร้อนอย่างรวดเร็ว
ไม่ได้พบเจอกันนานเลย ไอ้ความรู้สึกแปลกๆแบบนี้
เหล้าแก้วที่สามไหลลงสู่ท้อง บรรยากาศบนโต๊ะค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นผ่อนคลายขึ้นอยู่มากโข แทบจะเป็นเพราะฤทธิ์ของเหล้าทที่แรงขึ้น จึงทำให้คำพูดของอวี้อี่มั่วค่อยๆมากขึ้นกว่าเดิม
ทั้งสามคนพูดคุยสัพเพเหระกันไปมา แต่ก็ไม่ได้พูดคุยกันถึงปัญหาจริงๆนัก ยกตัวอย่างเช่นสถานการณ์ของอวี้กรุ๊ปในเมืองเจียงโจวตอนนี้ หรือไม่ก็เป็นปัญหาเรื่องการฟื้นฟูขาทั้งสองข้างของวอี้อี่มั่ว
เรื่องราวไม่ดีเหล่านั้นที่ทั้งสามคนกำลังเผชิญอยู่ไม่ถูกเอ่ยถึง พูดไปยิ้มไป จู่ๆกลับทำให้พวกเขาหวนนึกถึงช่วงเวลาที่ยังเป็นวัยรุ่นขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ ความสัมพันธ์จู่ๆก็ถูกลากเข้ามาใกล้ชิดกันมากขึ้นกว่าเดิม
สายตาสบมองไปยังขวดเหล้าทั้งสองที่วางอยู่บนโต๊ะโดยไม่รู้ตัว จู่ๆอวี้อี่มั่วกลับยื่นมือออกไป ยกขวดเหล้าขึ้น ก่อนจะรินให้กับตนเองจนเต็มแก้ว หลังจากนั้นจึงยกไปทางซูอวี้เฉิงที่อยู่ทางด้านข้าง สีหน้าค่อยๆแปรเปลี่ยนไปเป็นเคร่งขรึมและจริงจังมากขึ้น
“อวี้เฉิง เหล้าแก้วนี้ฉันขอคารวะให้กับนาย”
ซูอวี้เฉิงพลันชะงักนิ่งไป นึกไม่ถึงเลยว่าจู่ๆเขาจะมีท่าทางเคร่งขรึมจริงจังมากขึ้นขนาดนี้ “เจ้าอวี้ ในระหว่างพวกเรานั้น……”
ไม่รีรอให้ซูอวี้เฉิงได้เอ่ยขึ้นจนจบ อวี้อี่มั่วก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ขึ้นมาเรียบร้อยแล้วว่า “ถึงแม้ว่าจะเป็นสหายที่ดีต่อกัน เมื่อถึงเวลาที่จะต้องพูดขอบคุณก็ควรที่จะต้องพูด”
ในคราแรกหากไม่ได้เป็นเพราะซูอวี้เฉิง เกรงว่าเขาคงถูกหมาป่าคาบไปกินนานแล้ว แม้กระทั่งกระดูกก็คงไม่เหลือเอาไว้แน่
ถึงแม้ว่า ในช่วงเวลาก่อนหน้านี้พวกเขานั้นแตกหักกัน ความสัมพันธ์ฉันท์สหายแตกหักกันไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่ทว่าหลังจากนั้น ความจริงได้ปรากฏขึ้น เขาที่เป็นสหายที่ดีก็ไม่ได้ติดต่อกัน
ในตอนนั้น เขาถูกคนของอวี้กู้เป่ยและลั่วจิ่วเหยี่ยสลับเปลี่ยนกันรุมทำร้าย ถูกทุบตีอย่างเอาเป็นเอาตาย กระดูกแตก ขาทั้งสองข้างหัก ร่างทั้งร่างเต็มไปด้วยเลือด ตั้งแต่หัวจรดเท้าไม่มีที่ที่ดูดีเลย เขาถูกโยนเข้าไปในเขา แทบจะคล้ายคนพิการครึ่งร่าง
ในช่วงเวลานั้นเอง ไม่มีแรงที่จะเคลื่อนไหว เขาที่สติสัมปชัญญะไม่สมบูรณ์มากนั้นก็นึกว่าตนเองจะต้องใกล้ตายแล้วแน่ๆ แทบจะฝืนลมหายในเอาไว้ไม่ถึงค่อนคืน จนกระทั่งมีแสงสว่างสาดส่องเข้ามา
ซูอวี้เฉิงปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเขาในช่วงเวลานั้น เขายังคิดว่าอยู่เลยว่าตัวเองกำลังฝันไป
พวกเขาเคยเอ่ยขึ้นอย่างชัดเจนว่าตั้งแต่วันนี้ต่อไปจะไม่ใช่สหายที่ดีต่อกันอีกต่อไปแล้ว พวกเขาทะเลาะกันอย่างรุนแรงมาก แต่ทว่าหลังจากนั้น ซูอวี้เฉิงคุกเข่าอยู่ต่อหน้าเขา สายตาร้อนรน ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางที่ทั้งโกรธทั้งเกลียดต่อเขาว่า “อวี้อี่มั่ว อดทนเอาไว้นะเว้ย!”
เขาเอ่ยขึ้นว่า “คำพูดที่พวกเราเคยพูดเอาไว้นายลืมไปแล้วหรือไง!”
เขาบอก “ตั้งแต่เกิดจนตายไป จะเป็นสหายกันตลอดไปไง!”
“……”
หลังจากนั้น เขาก็ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะค้นพบว่าร่างของตนเองอยู่ในห้องที่มีสภาพเก่าและผุพัง หลังจากนั้นจึงรับรู้ว่า เขาถูกนำตัวมาส่งที่วัดชิงซานในเขาชิงซาน
วันชิงซานเป็นสถานที่ที่ท่านเจ้าอาวาสภายในวัดใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติบำเพ็ญธรรม เพื่อรักษาความเงียบสงบ จึงเลือกสถานที่ที่ลึกที่สุดในเขาชิงซาน ไม่ค่อยจะมีผู้คนรับรู้มากนัก
หลังจากนั้น วันชิงซานค่อยๆเสื่อมสภาพลง แล้วก็ไม่มีตะเกียงและธูปที่ใช้บูชาแล้ว พระสงฆ์ภายในวัดก็ค่อยๆทยอยออกไป เหลือไว้เพียงแค่ท่านเจ้าอาวาส พระสงฆ์ชราภาพรูปหนึ่ง แล้วก็ยังมีสามเณรน้อยที่ถูกรบมาเลี้ยงภายในวัดอีกสองสามท่าน ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงย้ายเข้ามาในวัด ตัดขาดจากโลกภายนอก
เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว พวกเขาอาศัยกันอยู่ในวัดใกล้จะครบสามปีแล้ว ชีวิตถึงแม้จะยากจนแต่ทว่ากลับเป็นชีวิตที่มีอิสระเสรี
เมื่อได้รับอนุญาตจากท่านเจ้าอาวาส อวี้อี่มั่วพักอาศัยอยู่ที่นี่ มีบางครั้งที่ซูอวี้เฉิงส่งลูกน้องขึ้นมาส่งข้าวของเครื่องใช้ประจำวันเล็กๆน้อยๆบ้าง จำพวกข้าวสารและน้ำมัน มีบางครั้งที่ขึ้นมาเยี่ยมเยียนเขาในตอนกลางคืน
วันเวลาหมุนเวียน ก็ผ่านไปเดือนกว่าแล้ว
จนกระทั้งตอนนี้ ขาทั้งสองข้างของอวี้อี่มั่วก็ยังคงไม่มีทิศทางที่ดีขึ้นเลย
ณ ช่วงเวลานี้ ซูอวี้เฉิงฟังอวี้อี่มั่วเอ่ยขอบคุณขึ้น ภายในใจจึงรู้สึกตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก เขายกแก้วเหล้าขึ้นมาชนกับเขาไปมา หลังจากนั้นจึงฉีกยิ้มที่มุมปาก สายตาสบมองไปยังขาทั้งสองข้างของวอี้อี่มั่ว
อวี้อี่มั่วนั่งอยู่บนวีลแชร์ที่ทำขึ้นจากไม้ เป็นท่านพระสงห์ชราภาพกับเหล่าสามเณรน้อยภายในวัดที่ช่วยกันทำขึ้นจากไม้ให้แก่เขา ถึงจะเป็นงานหยาบมาก แต่ทว่ากลับสามารถใช้การได้จริงมากๆเลย
ซูอวี้เฉิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “เจ้าอวี้ ขาทั้งสองข้างของนาย จำเป็นที่จะต้องได้รับการรักษาที่ดีกว่านี้นะ มิฉะนั้น……”
เขากลืนน้ำลายลงคอ คำพูดที่เหลือไม่ได้เอ่ยออกไป
ถ้าหากว่ายิ่งประวิงเวลามากต่อไปแล้วล่ะก็ เกรงว่าขาทั้งสองข้างของเขาก็คงต้องไร้ประโยชน์
นัยน์ตาดำขลับของอวี้อี่มั่วหม่นแสงลงเล็กน้อย ก่อนจะช้อนสายตาขึ้นสบมองไปไกลๆโดยไม่มีจุดโฟกัส ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
ตู้เยี่ยที่อยู่ด้านข้างขมวดคิ้วแน่น ก่อนจะเอ่ยแนะนำขึ้นตามหลังมาว่า “ที่คุณพูดก็ถูกนะครับ อี่มั่ว ขาทั้งสองข้างของคุณไม่สามารถประวิงเวลาต่อไปได้แล้วนะครับ”
นัยน์ตาของอวี้อี่มั่วเรียบเฉยมากขึ้นกว่าเดิม ก่อนจะยกมือขึ้นแล้วใช้นิ้วบีบแก้วเหล้า หลังจากนั้นจึงขบเม้มริมฝีปากแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “รักษาหายแล้วอย่างไรต่อ? สามารถเปลี่ยนอะไรได้ไหม?”
หรือว่าถ้าขาหายดีแล้ว ของที่สูญเสียไปจะสามารถกลับคืนมาใหม่ได้ไหม? การพ่ายแพ้ที่เคยพ่ายไปจะสามารถยืดออกไปได้ไหม?คนที่เลือกที่จะจากไปจะสามารถเปลี่ยนใจกลับมาได้ไหม?
ซูอวี้เฉิงจับจ้องเขาเขม็ง ไม่ขยับเขยื้อนไปไหน สุดท้ายแล้วจึงเผยให้เห็นนัยน์ตาโกรธแค้นที่เพิ่มมากขึ้นออกมา
อวี้อี่มั่วไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน เขาไม่เคยยอมรับการพ่ายแพ้ ไม่เคยหวาดกลัว ไม่เคยกลัวอนาคต ไม่เคยลังเล แต่ทว่าตอนนี้ เขาเปลี่ยนไปแล้ว แปรเปลี่ยนไปมาก
ทั้งสามคนตกอยู่ในความเงียบงัน ไม่มีเสียงอะไรเอ่ยออกมาเลยเป็นเวลานาน
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว นัยน์ตาของซูอวี้เฉิงเข้มขึ้นกว่าเดิม จู่ๆกลับเงยหน้าขึ้นมา ก่อนจะสบมองไปทางอวี้อี่มั่วที่อยู่ทางด้านข้างแล้วเอ่ยขึ้นทีละคำทีละประโยคว่า “เจ้าอวี้ หร่วนซือซือน่ะ เธอกลับมาแล้วนะ”